ตอนที่ 3
หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้น
เธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่น
เมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด
หลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซู
กระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวง
เธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะตรงเข้าไปที่กล่องไม้เก่าๆ กล่องหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เตียง เธอรีบก้มลงไปหยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังและระแวดระวังในเวลาเดียวกัน
เมื่อเปิดกล่องไม้ออก หลิวหลันเฟยพบว่าด้านในมีสมบัติมากมายซ่อนอยู่ในนั้น เรียกได้ว่าเธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายโดยที่ไม่ต้องทำงานเลยก็ได้
ตระกูลซูไม่ได้เพิ่งยิ่งใหญ่ในเร็วๆ นี้ แต่ตระกูลซูนั้น เป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดอำนาจและความมั่งคั่งมาหลายชั่วอายุคน ด้วยการรับใช้ราชวงศ์อย่างซื่อสัตย์มาเนิ่นนาน ตระกูลนี้จึงกลายเป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนในยามศึกสงคราม หรือการบริหารจัดการภายในแคว้นก็ดี
ด้วยความจงรักภักดีของตระกูลซู ฮ่องเต้คนก่อนจึงได้พระราชทานที่ดินอันอุดมสมบูรณ์หลายพันไร่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ ที่ดินเหล่านี้กลายเป็นแหล่งรายได้หลักของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรกรรมที่ให้ผลผลิตจำนวนมหาศาล หรือการค้าในเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากความมั่งคั่งแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลซูยังนับว่าดีมากอีกด้วย พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนนางผู้มีคุณธรรม มักบริจาคช่วยเหลือชาวบ้านยากจนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพาน ซ่อมถนน หรือบริจาคอาหารในช่วงภัยแล้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ตระกูลซูกลายเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไป
แต่ท่ามกลางความรักและความนับถือจากผู้คน กลับมีผู้ที่มองตระกูลซูด้วยสายตาริษยา ความมั่งคั่งและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่เกินไปของพวกเขากลายเป็นเป้าหมายของผู้ที่ต้องการช่วงชิงอำนาจ ยิ่งตระกูลซูเป็นที่เคารพมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างศัตรูในราชสำนักมากขึ้นเท่านั้น
การเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แม้จะดูเหมือนเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ตระกูลซูถูกโจมตีจากขุนนางฝ่ายตรงข้ามโดยง่าย ความดีและความสำเร็จของพวกเขากลับกลายเป็นดาบสองคม ที่นำพาความหายนะมาสู่ครอบครัวในที่สุด ซึ่งท่านพ่อของเธอได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงได้แอบซ่อนสมบัติไว้ ณ ที่แห่งนี้
“ท่านพ่อช่างรอบคอบเสียจริง” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ แม้ทุกอย่างจะดูยากลำบาก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เธอพอมีความหวังบ้าง
ขณะที่เธอจัดการเก็บถุงเงินไว้ในกระเป๋าเล็ก ๆ ที่พกติดตัว สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับม้วนกระดาษเล็ก ๆ ที่วางซ้อนอยู่ใต้ถุงเงิน เธอหยิบมันขึ้นมา และเมื่อคลี่ออก เธอพบว่าเป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือที่คุ้นเคย
“ถึงหยวนเหม่ย น้องรักของพี่”
หลิวหลันเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ น้ำเสียงของพี่ชายดังขึ้นในหัวทันที นี่คือลายมือของ ซูหานซิง พี่ชายของเธอที่หายตัวไป
“ถ้าเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ายังรอดมาได้”
“ข้าเองก็สามารถหลบหนีมาได้ด้วยความช่วยเหลือของสหายบางคน แต่ข้าไม่อาจกลับไปหาน้องได้ในตอนนี้ เพราะข้ากำลังถูกตามล่าอย่างหนัก”
“ข้าทิ้งข้อความนี้ไว้ให้เจ้า หากเจ้ามีโอกาส ให้มาพบข้าที่หมู่บ้านชิงหลิน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น”
“จำไว้ว่า อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ แม้จะเป็นคนที่ดูเหมือนจะหวังดีกับเจ้าก็ตาม เจ้าจะปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเจ้า”
“จงระวังตัว และจงเข้มแข็ง ข้าจะรอเจ้า หานซิง”
เมื่ออ่านจบ หลิวหลันเฟยกำจดหมายไว้แน่น น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้ตลอดทางเริ่มเอ่อคลอในดวงตา เธอไม่รู้ว่าควรดีใจที่พี่ชายของเธอยังมีชีวิตอยู่ หรือควรเสียใจกับสถานการณ์ที่ครอบครัวของพวกเธอต้องเผชิญในตอนนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้นเธอต้องอดทน เธอจะมามัวร้องเสียใจแบบนี้ไม่ได้
“หมู่บ้านชิงหลิน…” เธอพึมพำออกมาเบาๆ ชื่อนี้เธอจำได้ว่าเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองนี้ไม่ไกลมากนัก
หากแต่ในเวลานี้ การเดินทางไปที่นั่นทันทีอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย ท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงมืดสนิท และเธอเหนื่อยล้าจากการหนีออกจากคุก การพักผ่อนก่อนจะเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หลังจากนั้นหลิวหลันเฟยได้เดินออกจากกระท่อมด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่เธอจะเดินมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองในทันที เมื่อเดินเข้าเขตตลาดแล้ว เธอใช้เงินส่วนหนึ่งจากถุงสมบัติที่ได้มา เช่าห้องพักในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่อยู่ในมุมเงียบสงบของเมือง
“ขอห้องพักสักคืน” เธอกล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเธอมากนัก
“สองอีแปะ” ชายคนนั้นตอบสั้น ๆ ก่อนที่หลิวหลันเฟยจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว และรับกุญแจห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมแล้วเดินจากไปทันที
ห้องพักของเธอเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงเตียงไม้เรียบ ๆ และโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้สะดวกสบายมากนัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้ เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญเลย เธอควรจะใช้เงินอย่างประหยัดและในยามจำเป็นเท่านั้น
หลิวหลันเฟยวางจดหมายของพี่ชายลงบนโต๊ะ และนั่งลงทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงวันที่ผ่านมา จู่ๆ เธอก็หลุดมาในโลกจีนโบราณและต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ แม้เธอจะอยากรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้เธอมาที่แห่งนี้แต่เธอรู้ว่ามันมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่านั้นรอเธออยู่ เพราะหากร่างซูหยวนเหม่ยตายนั่นก็หมายความว่า เธอที่เป็นผู้มาอาศัยก็ต้องตายเช่นเดียวกัน ดังนั้น หลังจากนี้เธอจะใช้ชีวิตในนามซูหยวนเหม่ยให้ดี
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงวางแผนการในหัวเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนในท้ายที่สุด
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 1ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิตหลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้างหลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัดหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจาก
หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานานเธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแร
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานานเธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแร
ตอนที่ 1ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิตหลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้างหลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัดหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจาก