ตอนที่ 1
ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิต
หลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้าง
หลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัด
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์หลายแห่ง เพราะนิยายของเธอถูกมองว่า “ไม่อยู่ในกระแส” แต่หลิวหลันเฟยไม่ยอมแพ้ เธอเริ่มเขียนนิยายออนไลน์ลงบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ จนในที่สุด ผลงานของเธอเรื่อง “ดินแดนแห่งมังกรนิรันดร์” ก็ได้รับการตีพิมพ์ และเธอก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนดาวรุ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ความสำเร็จของหลิวหลันเฟยไม่ได้มาพร้อมกับความสุข เธอใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่กับการเขียน หาความรู้ และสร้างโลกสมมติในจินตนาการของเธอเอง หลันเฟยไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทนัก เพราะเธอเป็นคนเก็บตัวและชอบอยู่เงียบ ๆ มากกว่า
ในสายตาคนอื่น หลิวหลันเฟยอาจดูเป็นคนที่มีชีวิตดีพร้อม เธอมีหน้าตาน่ารักแบบธรรมชาติ ผิวขาวเนียน ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตที่มักแฝงแววฉลาดและขี้สงสัย เธอไม่ใช่คนสวยโดดเด่น แต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าเธอน่าคบหา แต่หลันเฟยกลับมองว่าตัวเองธรรมดา และเธอไม่เคยคิดว่าชีวิตของเธอนั้นน่าอิจฉาเท่าไหร่นัก
เย็นวันนั้น หลิวหลันเฟยเพิ่งเสร็จจากการประชุมกับสำนักพิมพ์ที่กำลังจะตีพิมพ์นิยายเล่มใหม่ของเธอ “ลิขิตดวงดาวแห่งโชคชะตา” เธอรู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนั้น เธอจึงตัดสินใจแวะร้านขายของเก่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ
ร้านขายของเก่าที่เธอเข้าไปดูเหมือนจะเป็นร้านธรรมดา แต่มีบางอย่างดึงดูดเธอเข้าไป ภายในร้านเต็มไปด้วยของสะสมจากยุคต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องเรือนจีนโบราณ ภาพวาด ไปจนถึงเครื่องประดับแปลก ๆ ที่หาดูได้ยาก
ท่ามกลางของเหล่านั้น ดวงตาของหลิวหลันเฟยสะดุดเข้ากับ “หยกสลักลายมังกร” ชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ในตู้กระจก
“สวยจัง…” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ
หยกชิ้นนี้มีสีเขียวอ่อน ขนาดเล็กพอดีมือ มีลวดลายมังกรสลักด้วยฝีมือประณีต บางอย่างในตัวหยกทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังเรียกหาเธอ
“หยกชิ้นนี้มีความพิเศษมากกว่าชิ้นอื่นๆ นะครับ” เสียงของชายชราเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางยิ้มบาง ๆ แววตาของเขาทอดมองมาทางหลิวหลันเฟยที่กำลังจ้องมองหยกสีเขียวอ่อนในตู้กระจก
“พิเศษยังไงหรือคะ” หลิวหลันเฟยถามพลางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างสงสัย
ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีตำนานเล่าขานว่า ผู้ที่ได้ครอบครองหยกนี้ จะได้พบกับโชคชะตาที่เปลี่ยนแปลงโลกของพวกเขาไปตลอดกาล”
“โชคชะตาที่เปลี่ยนแปลงโลก?” หลิวหลันเฟยทวนคำพร้อมกับเลิกคิ้วสูง เธอหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายศีรษะ “ฟังดูเหมือนเรื่องนิยายแฟนตาซีเลยนะคะ”
ชายชรายังคงยิ้มบาง ๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเธอ “ไม่ว่าแม่หนูจะเชื่อหรือไม่ แต่สิ่งของทุกชิ้นในร้านนี้มีเรื่องราวของมัน และบางครั้ง… เรื่องราวเหล่านั้นอาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่า”
คำพูดนั้นทำให้หลิวหลันเฟยนิ่งไปครู่หนึ่ง แม้เธอจะยังคงคิดว่ามันเป็นเพียงแค่นิยายหลอกเด็ก แต่ลึก ๆ ภายในใจกลับรู้สึกถึงความดึงดูดแปลก ๆ จากหยกชิ้นนั้น มันเหมือนกับว่ามันกำลังเรียกหาเธออยู่
“งั้นหยกนี่ราคาเท่าไหร่คะ?” เธอเอ่ยถามขึ้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ชายชรายิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ไม่แพงเลย แค่… ห้าร้อยหยวนก็พอ”
“ห้าร้อยหยวน?” หลิวหลันเฟยเลิกคิ้วอีกครั้ง พลางหัวเราะเบา ๆ “ทำไมราคาถูกจังคะ ฉันนึกว่าราคาจะเป็นหมื่นซะอีก”
ชายชราเพียงพยักหน้าช้า ๆ “หยกบางชิ้นไม่ได้มีค่าในแง่ของเงินทองหรอกแม่หนู แต่สิ่งที่มันนำพามา… ต่างหากที่มีค่า”
หลิวหลันเฟยฟังแล้วรู้สึกขนลุกวาบเล็กน้อย เธอตัดสินใจหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา “ตกลงค่ะ ฉันจะเอาหยกชิ้นนี้”
ชายชรายิ้มพอใจ ก่อนจะหยิบหยกออกมาจากตู้กระจก เขาเช็ดมันเบา ๆ ด้วยผ้าไหมสีขาวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งมันให้เธอ “ดูแลมันให้ดีนะแม่หนู”
“ค่ะ…” หลิวหลันเฟยรับหยกมาอย่างระมัดระวังก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าอย่างดี
“บางครั้ง โชคชะตาจะนำพาเราไปในที่ที่ไม่คาดคิด” ชายชราเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่เธอจะเดินออกจากร้านไป
ระหว่างที่เธอเดินออกมา หลิวหลันเฟยส่ายหัวกับตัวเองเบา ๆ ที่หลงเชื่อกลลวงของเจ้าของร้านซะได้ “โชคชะตาอะไรกัน แค่เรื่องแต่งหลอกขายของน่ะสิ”
ระหว่างทางกลับบ้าน หลิวหลันเฟยนั่งรถประจำทาง เธอหยิบหยกขึ้นมาดูอีกครั้ง และสังเกตว่าลวดลายมังกรบนหยกดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ในแสงไฟ เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย คิดว่าอาจเป็นเพราะแสงสะท้อน
เมื่อถึงสี่แยกใหญ่ รถประจำทางหยุดรอสัญญาณไฟแดง หลันเฟยเงยหน้ามองถนนเบื้องหน้า ขณะนั้นเอง รถบรรทุกคันใหญ่ที่เสียหลักพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว เสียงเบรกดังสนั่นทำให้ทุกคนตื่นตระหนก
ก่อนที่หลันเฟยจะทันตั้งตัว เธอรู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาล และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือแสงสีขาวเจิดจ้า ก่อนทุกอย่างจะดับมืดไป
————————————————————————
ตอนแรกมาแล้วค่า ฝากติดตามด้วยนะคะ
หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานานเธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแร
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานานเธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแร
ตอนที่ 1ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิตหลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้างหลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัดหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจาก