หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
พื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ
"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานาน
เธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้น
ทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแรง
“ซูหยวนเหม่ย…”
ชื่อนี้ดังก้องอยู่ในหัวของหลันเฟยตลอดเวลา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดเข้าไปในความทรงจำของใครบางคน หญิงสาวในชุดงดงามที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอย่างสง่างามในฐานะธิดาคนรองของตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ภาพที่ปรากฏกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความสูญเสีย
ตระกูลซู ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางที่มีเกียรติในราชสำนัก ถูกใส่ร้ายจากขุนนางฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นกบฏ ซูหยวนเหม่ยถูกจับตัวไปพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวในคืนหนึ่งที่จวนของพวกเขาถูกล้อมด้วยทหาร คำตะโกนก่นด่าของผู้คน เสียงร้องไห้ของหญิงชรา และแววตาโกรธแค้นของพี่ชายที่ต่อสู้จนล้มลง ถูกฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
“ข้าบริสุทธิ์! ครอบครัวของข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!” เสียงของซูหยวนเหม่ยกรีดร้องออกมาขณะถูกลากตัวไปรับโทษในคุก
และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่หลันเฟยจำได้ก่อนที่ภาพในหัวจะดับวูบ
ดวงตาของหลิวหลันเฟยเบิกกว้างเมื่อเธอได้สติกลับคืนมา เธอนั่งอยู่บนกองฟางในห้องขังชื้น ๆ รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของสนิมและความอับชื้น ข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา
“นี่มัน…อะไรกัน” เธอพึมพำ เสียงแผ่วราวกับกำลังพูดกับตัวเอง ความทรงจำที่ไหลทะลักเข้ามาในหัวทำให้เธอสับสนจนหัวใจเต้นแรง
“ซูหยวนเหม่ย ฉัน…กลายเป็นเธออย่างนั้นเหรอ”
หลิวหลันเฟยขมวดคิ้วพยายามตั้งสติ แม้จะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เธอรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในโลกของตัวเองอีกต่อไป และร่างนี้… ชื่อนี้… คือชื่อของเธอในโลกใหม่นี้
ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาบอกเธอว่าตระกูลซูถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการกบฏ หลักฐานทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายตระกูลซูโดยเฉพาะ หลันเฟยรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความโกรธแค้นที่ตกค้างอยู่ในจิตใจของซูหยวนเหม่ย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร่างนี้
ก่อนที่เธอจะได้ใช้ความคิดอะไรมากกว่านี้ก็มีเสียงของเหล่าทหารดังขึ้นด้านนอกคุกของเธอ
"ไอ้พวกกบฏเฮงซวย! มาเอาข้าวซะ นี่เป็นมื้อสุดท้ายของพวกแกก่อนที่พวกแกจะตาย รีบกินข้าวไปซะ” อาหารจำนวนหนึ่งถูกโยนเข้ามาภายในห้องขัง คำพูดนั้นทำให้หลันเฟยสะดุ้ง เธอรีบลุกขึ้นพยายามยืน แต่ด้วยโซ่ล่ามขาทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างทุลักทุเล เธอพยายามควบคุมสติ และมองออกไปนอกกรงขัง เห็นเพียงเงาร่างของชายที่ดูเหมือนทหารในชุดเกราะแบบจีนโบราณกำลังเดินผ่านไป
หลันเฟยมองไปรอบ ๆ คุกอย่างเร่งรีบ พยายามหาสิ่งที่สามารถช่วยเธอได้ แต่ห้องขังกลับดูว่างเปล่า มีเพียงกองฟางและโซ่เหล็กเท่านั้น
เธอหันไปทางประตูกรงเหล็ก "ต้องมีทางออกสิ... คิดสิหลันเฟย คิดสิ!"
เธอสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกสติกลับคืน เธอเคยอ่านนิยายและดูหนังมามากมายเกี่ยวกับการหนีออกจากคุก ถึงตอนนี้มันจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ถ้าเธอไม่หนีออกไปตอนนี้เธออาจจะตายเลยก็ได้
เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินวนไปมาเริ่มใกล้เข้ามาอีกครั้ง หลิวหลันเฟยรีบแกล้งล้มตัวลงไปบนกองฟาง ปล่อยตัวให้นิ่งสนิทราวกับคนหมดสติ ในมือของเธอมีก้อนหินอยู่หนึ่งก้อน
"อย่าบอกนะว่าตายแล้ว" เสียงทหารคนหนึ่งพูดขึ้นขณะเปิดประตูกรงเหล็กเข้ามาดูหลันเฟยที่นอนสลบอยู่
เมื่อชายคนนั้นโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อสำรวจเธอ หลันเฟยลืมตาขึ้นทันที ใช้หินในมือฟาดเข้าไปที่ศีรษะของเขาอย่างแรง
"อ๊าก!" เสียงร้องดังลั่น ก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้นในทันที
"ขอโทษนะ!" หลันเฟยพูดเร็ว ๆ ก่อนจะรีบคว้ากุญแจจากเขามาไขโซ่ที่ข้อเท้าของตัวเอง โดยพลางมองไปทางประตูอย่างระแวงเพราะเธอเกรงว่าจะมีผู้คุมเดินเข้ามาอีก
เมื่อเธอเป็นอิสระจากโซ่ที่ข้อเท้าเธอก็รีบหนีออกจากห้องขังในทันที แม้เธอจะไม่รู้ว่าข้างนอกจะมีอะไรรอเธออยู่ก็ตาม…
———————————————-
มาต่อให้แล้วค่า
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 1ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิตหลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้างหลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัดหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจาก
ตอนที่ 4 แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาทั่วตัวเมือง เสียงผู้คนในตลาดเริ่มคึกคัก หลิวหลันเฟยในร่างซูหยวนเหม่ย เดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตลาด ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเธอเดินไปนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่จุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอคือการที่เธอจะหาข่าวคราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอด้วย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ยังไงคนก็ชอบเล่าข่าวลือหรือชอบเล่าเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว“เอาบะหมี่หนึ่งชาม” หยวนเหม่ยเอ่ยกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน“ได้ ๆ เจ้าไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวข้าเอาไปให้”“ขอบคุณ” เธอพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้กับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่“นี่พวกเจ้า ได้ยินเรื่องตระกูลซูหรือยัง” เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา“อ้อ เรื่องนั้นน่ะหรือ…” เพื่อนของเขาตอบกลับเสียงเบา พลางเหลียวมองรอบ ๆ “ได้ข่าวว่าฮ่องเต้เลื่อนการประหารชีวิตของพวกเขาออกไป เพราะบุตรของตระกูลซูสองคนหนีออกมาได้”ซูหยวนเหม่ยตัวเย็นเฉียบในทันที เธอเงี่ยหูฟังต่ออย่างระมัดระวัง หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น“เลื่อนการประหารหรือ ทำไมล่ะ” ผู้หญิงที่อ
ตอนที่ 3หลังจากที่เธอเดินลัดเลาะริมป่ามาเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านมาหนึ่งชุด เพื่อที่เธอจะได้เดินทางได้สะดวกขึ้นเธอเลือกชุดผ้าฝ้ายธรรมดาที่ดูเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พร้อมทั้งผ้าคลุมไหล่ที่ช่วยปกปิดตัวเธอได้มากขึ้น หลังจากนั้น เธอหาที่ซ่อนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมัดผมยาวให้เรียบง่ายที่สุดเพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเมื่อเปลี่ยนโฉมเสร็จ หลิวหลันเฟยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แม้ชุดที่เธอสวมจะดูธรรมดา แต่ก็ดีกว่าชุดนักโทษที่สะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดหลิวหลันเฟย หรือในชื่อใหม่ ซูหยวนเหม่ย เดินทางมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน สถานที่แห่งนี้คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ดูเก่าโทรมจนไม่มีใครสนใจ มันตั้งอยู่ในมุมอับของป่าใกล้กับจวนเก่าของตระกูลซูกระท่อมหลังนี้เคยเป็นที่พักของคนงานในจวน แต่ท่านพ่อได้ให้คนงานไปพักที่อื่นแทนและเปลี่ยนที่นี่เป็นที่เก็บสมบัติแทน เธอยืนมองกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง พลางสอดส่องไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา แม้สภาพของกระท่อมดูทรุดโทรมจนแทบไม่มีใครคาดคิดว่าภายในจะมีสมบัติใดซ่อนอยู่ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวงเธอค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมเข้าไปและรีบปิดมันอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2หลิวหลันเฟยวิ่งสุดกำลัง เธอวิ่งตามแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ติดอยู่ตามผนังคุก ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการถูกล่ามโซ่ทำให้เธอวิ่งได้ไม่เร็วนัก ด้านหลังของเธอมีเสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งไล่ตามเธอพร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวกดังก้องไปทั่วคุก"หยุดเดี๋ยวนี้! ซูหยวนเหม่ย ถ้าไม่หยุด เราจะฆ่าเจ้าทันที!" เสียงตะโกนตามหลังทำให้เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีกเธอเลี้ยวเข้าไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างห้องขัง ท่ามกลางความมืดและกลิ่นอับของคุกหลวง จนมาถึงมุมหนึ่งที่เปิดออกสู่ทางเดินกว้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็เธอก็นร่างของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดผ้าคลุมยาวสีดำ ดาบข้างเอวสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่แฝงความเยือกเย็นและทรงอำนาจ หลันเฟยหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหารทั่วไป แต่กลับดูเหมือนชนชั้นสูง หรืออาจเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ"ช่วยด้วย!ได้โปรดช่วยข้าด้วย!" หลิวหลันเฟยรีบร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า เพราะเขาดูมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเธอได้ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาในสถานการณ์แบบนี้ "เจ้าเป็นใคร?" เขาถามเสียงเร
หลิวหลันเฟยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เสียงครางเบา ๆ หลุดออกจากปากของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นช้า ๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพื้นแข็งกระด้างที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่เตียงนุ่ม ๆ ในห้องพักของเธอ หากแต่เป็นกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับราวกับไม่ได้ถูกเปลี่ยนมานานหลายปี อากาศรอบตัวของเธอเย็นชื้นจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ไม่ใช่ชุดทำงานที่เธอใส่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุแต่เป็นชุดผ้าหยาบหนาสีหม่นที่ดูคล้ายเสื้อผ้าของชาวบ้านในยุคโบราณ"ที่นี่... ที่ไหน?" หลันเฟยพึมพำกับตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าและอ่อนล้า ลำคอของเธอแห้งผากราวกับคนที่ไม่ได้กินน้ำมานานเธอพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ความรู้สึกหนักที่ข้อเท้าทำให้เธอต้องก้มลงมอง และนั่นทำให้เธอพบว่าข้อเท้าของเธอถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนา!"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!" หลันเฟยอุทานออกมาเสียงดัง ความตกใจทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก เธอดึงขาพยายามแกะโซ่ออก แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นทันใดนั้น คลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอเองก็พลันซัดเข้ามาในสมองของเธออย่างรุนแร
ตอนที่ 1ณ เมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วยผู้คนที่ขวักไขว่เร่งรีบไปทำงานของตน และเสียงรถบนถนนใหญ่ที่วิ่งไปมาอย่างไม่เคยหยุดพัก เป็นภาพที่หลิวหลันเฟยเคยินไปเสียแล้ว เพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองแบบนี้มาทั้งชีวิตหลิวหลันเฟย หญิงสาวในวัย 25 ปีกำลังเดินอยู่บนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ เธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่กำลังมาแรงในยุคปัจจุบัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้นิยายของเธอได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น หลันเฟยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ สมุดโน้ต และแก้วกาแฟที่ลืมล้างหลิวหลันเฟยไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราอย่างที่คนอื่นคิด เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ความฝันของหลันเฟยคือการเป็นนักเขียน เธอมีความฝันนี้มาตั้งแต่เด็กๆ โดยในตอนเด็กนั้นเธอมักชอบอ่านนิยายกำลังภายในและนิยายแฟนตาซีที่พี่ชายของเธอซื้อมาจากตลาดนัดหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาวรรณกรรม หลิวหลันเฟยต้องต่อสู้กับความยากลำบากในการเริ่มต้นอาชีพนักเขียน เธอเคยถูกปฏิเสธจาก