ทว่าสายตาที่มองมาของเหม่ยหลิน ทำให้ถิงถิงร้อนตัว “แค่ไปหาอะไรกินแก้เซ็ง ไม่ได้ไปคนเดียว หนานซิงก็ไปด้วย ใช่ไหม...” แล้วหันไปขอแรงเสริมจากหนานซิงที่ยืนสำรวมอยู่ แต่หนานซิงคิดว่าสายตานั้นไม่ใช่ เพราะเขากับถิงถิงลงไปด้านล่างแน่นอน“หนานซิง ช่วยเอาของพวกนี้ไปทิ้งให้ไกลตาเลยนะ” ตามองสิ่งที่วางอยู่เหมือนของพวกนั้นเป็นของเสียทั้งสามอึ้งตกใจ ถิงถิงที่สงสัยก็อดถามไม่ได้“ทิ้ง? ทิ้งเลยหรือคะ ของพวกนี้ยังใหม่อยู่เลย ทำไมต้องทิ้งค่ะ”แล้วเดินไปมองเพื่อให้แน่ใจ ในสภาพที่ยังใช้งานไม่คุ้ม โดยเฉพาะเครื่องดูฝุ่นที่ยังมีสภาพใหม่เอี่ยมเหม่ยหลินไม่ตอบ แต่หันไปเร่งหนานซิงทางสายตาจะไม่ทำตามก็ไม่ได้ เมื่อสายตาพิฆาตเร่งมา จากนั้นหนานซิงรีบทำตามคำสั่งทันที“หือ...” ถิงถิงมองตามด้วยความเสียดายในขณะที่นลินช่วยหยิบของที่ตัวเองเอามา ช่วยหนานซิงอีกแรงหลังจากทั้งคู่เดินออกมาจากห้อง หนานซิงมองไปที่นลิน ซึ่งนลินก็รู้ตัว“ทำไม มองนลินอย่างนั้นคะ”“ผมว่าคุณรู้อยู่แก่ใจ” จากประสบกาณ์และอายุที่มากกว่าก็พอเดาเกมหญิงสาวที่เห็นกันมาหลายปีออกได้ไม่ยากนลินจิกตามอง “ยุ่ง ไม่ใช่เรื่องของคุณ”หยางซิงถอนหายใจ แค่นี้กับการแส
ถิงถิงเดินหน้างอออกมาจากห้อง ซึ่งเลขาแคทก็พอเข้าใจได้ ก็ไม่ทักถาม ครู่ต่อมาเหม่ยหลินก็เดินตามออกมา เลขาแคทรีบก้มหน้าทำงาน ทำทีว่าไม่รู้ไม่เห็นเหม่ยหลินเดินมาทันระหว่างนั้นก็คว้าข้อมือเรียวของถิงถิงไว้ แล้วดันเข้าไปในห้องที่ปลอดสายตาคนนอก“พี่จะทำอะไร...” เสียงนั้นเย็นชา จนเหม่ยหลินใจหาย“ถิงถิง คุยกันก่อนได้ไหม” เสียงอ่อนเอ่ยขอร้องเจ้าของนัยน์ตาที่เคยเปล่งประกาย หากตอนนี้เรียบเฉยอย่างคนไร้อารมณ์มองหน้าผู้เป็นพี่ “มีอะไรจะคุยอีกหรือคะ” น้ำเสียงชืดชาประหนึ่งคนไร้ความรู้สึกเหม่ยหลินห่อเหี่ยว ใจไม่ดี เธอไม่ชอบอาการเช่นนี้ หากอยากให้คนตรงหน้าโวยวายยังดีเสียกว่า เพราะจะได้รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน... “คุยกันดี ๆ เถอะนะ มันไม่มีอะไรจริง ๆ ”ถิงถิงมองคนพูด “หากไม่มีอะไรพี่จะเดือดร้อนทำไมคะ” “แล้วเดินออกมาทำไม”“จะให้ไปอยู่เป็นส่วนเกินหรือไงคะ” น้ำเสียงเริ่มตึงขึ้นใช่ว่าเธอไม่พยายาม แต่ก็อดคิด อดน้อยใจไม่ได้ คนมันหึง! เหม่ยหลินเข้าใจทันที “เป็นไปไม่ได้ ที่ถิงถิงจะเป็นส่วนเกินในชีวิตพี่” “เถอะ... หากช้าอีกนิดคงไม่ใช่แค่ป้อนขนม” “หึงเหรอ”
หนานซิงเมื่อได้รับโทรศัพท์จากเหม่ยหลินเพื่อให้ตามดูนลิน โดยกำชับให้เฝ้าห่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันอีกฝ่ายซึ่งในขณะที่กำลังคุยสายกันอยู่ หนานซิงก็เห็นว่านลินนั้นได้กลับขึ้นรถไป พร้อมกับการ์ดฝีมือดีสองคน ที่เหม่ยหลินเป็นคนจัดไว้ให้เธอโดยเฉพาะนลินกลับมาโรงแรมจากนั้นเธอก็ลงไปชั้นใต้ดิน ที่เปิดเป็นไนท์คลับ แน่นอนว่าเป็นสถานที่ ที่ถิงถิงเคยไปสร้างเรื่องไว้นั่นเอง เมื่อรู้จุดหมายปลายทางของนลินเรียบร้อยแล้ว ก็โทรศัพท์ไปรายงานเหม่ยหลิน เธอได้กำชับอีกครั้งว่าให้ดูแลความปลอดภัยอยู่ห่าง ๆ แต่หากมีเหตุการณ์ เหนือการควบคุม ให้โทรมารายงาน จากนั้นก็วางสายไปไนต์คลับนลินไล่ให้การ์ดสองคนไปพักผ่อน แต่เพราะคำสั่งสูงสุดคือเหม่ยหลิน คนพวกนั้นจึงปฏิเสธอย่างมีมารยาท และเดินตามเธอเข้ามา แล้วหาที่เหมาะเพื่อยืนตรวจตราความเรียบร้อย ในขณะที่นลินเลือกนั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นเธอก็สั่งเครื่องดื่มกับหนุ่มบาร์เทนเดอร์ โดยไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้าง จนกระทั่งเสียงเพลงคาสสิกถูกเปลี่ยนเป็นแนวจังหวะเร็วขึ้น ทำให้ภายในร้านเริ่มคึกคัก แขกหนุ่มสาวเริ่มลุกจากเก้าอี้แล้วโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลง ในขณะที่นลิ
ในห้องเหม่ยหลิน “พี่จะอาบน้ำ ไปอาบด้วยกันไหม” เหม่ยหลินพูดขึ้นหลังจากที่กลับมาห้องและนั่งพักไปได้ไม่นาน ถิงถิงหันไปส่งค้อน “ยังจะมีใจอีกนะคะ...” เพราะรู้ หากเข้าไปในห้องน้ำด้วยกันแล้วจะจบลงยังไง แล้วพูดต่อ “ไม่ห่วงคนของตัวเองบ้างหรือไง หนานซิงจะเอานลินอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”เหม่ยหลินหัวเราะร่า “นี่พี่นึกว่าหนูจะหายงอนแล้วนะ”คนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘งอน’ ถลึงตาใส่ “แค่ห่วง เพราะดูแล้ว นลินก็ไม่เบาไปกว่าหนู”เหม่ยหลินยิ้มกริ่ม ส่งสายตาเป็นเชิงล้อ ‘รู้ตัวเหรอ’รู้ตัวสิ ก็อยากงี่เง่าแค่กับพี่... ถิงถิงคิด“พี่ หนูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” ในขณะที่พูดก็เดินไปคว้าผ้าขนหนูแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อน ด้วยใบหน้าที่แดงซ่าน เหม่ยหลินกะโจนเข้าไปตะครุบตัว แต่แค่เฉียด เมื่อคนตัวเล็กไวกว่า จนเธอคว้าได้แต่ลม“ร้ายนะเรา” เธอตะโกนผ่านกำแพงสายตาคาดโทษ เมื่อเดินตามมา ก็พบว่าแม่ตัวร้ายได้ล็อคประตูไว้ ในระหว่างที่รอถิงถิงอาบน้ำ เหม่ยหลินฆ่าเวลาด้วยการหยิบมือถือเพื่อมาเปิดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็มีสายโทรเข้ามาเป็นชื่อของหนานซิง เหม่ยหลินกดรับและกรอกเสียงเข้าไป “หนานซิงว
“คุณหนูใหญ่ เจอปัญหาใหญ่แล้วงานนี้ ...” หนานซิงเปรยขึ้น ด้วยความเป็นห่วง เพราะรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่แต่ก็ไม่ได้เอามาพูดหรือเล่าต่อให้คนอื่นรับรู้ แม้แต่ลูกน้องที่สนิท ซึ่งหลายคนพอดูออก แต่ไม่มีใครเอามาพูดหรือเอามาเป็นประเด็นในหัวข้อสนทนา ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังเจ้านาย เพราะถือว่าการไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวคือการให้เกียรติอีกฝ่าย เพราะมันเป็นสิทธิ์และความชอบของแต่ละคนที่คนนอกไม่ควรไปยุ่ง ในระหว่างนั้นก็ลังเล ว่าจะเข้าไปรายงานเจ้านายดีไหม“นลินหลับแล้ว คุณหยกค่อยออกไปได้ไหมคะ” เสียงนั้นเว้าวอนเหม่ยหลินได้แต่ยิ้มบาง ๆ ใจก็นึกถึงถิงถิง ปานนี้คงรอ จะพิมพ์ข้อความไปบอก ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เอามือถือติดมือมาด้วย...“ได้สิ...” แล้วประคองให้นลินนอนลงไปบนเตียงนลินหลับตาลง เพียงเสี้ยวนาทีที่เหม่ยหลินเบนสายตาไปทางอื่น มุมปากหยักของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็กระตุกยิ้มมุมปากแล้วจางหายไป โดยเหม่ยหลินไม่มีโอกาสได้เห็นน้ำหนักของฝีเท้าที่เดินเข้ามา แล้วหยุดเว้นระยะห่างพอสมควร เหม่ยหลินหันไปมอง และสังเกตเห็นท่าทางของหนานซิง เธอจึงลุกขึ้นไปหา“มีอะไรหรือเปล่า...”“คุณถิงถิง...” เสียทุ้มเบา ๆ เปรย
เมื่อกดเข้าสัญญาณหน้าจอมอนิเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ภายในรถ ก็ขึ้นจุดสีแดงกลม ๆ กำลังเคลื่อนไปตามเส้นทางรถที่พร้อมอยู่แล้วตะบึงออกไปหลังจากได้รับคำสั่ง“คุณถิงถิงกำลังออกนอกเส้นทางสายหลักครับ” หนานซิงหันมารายงานจากที่นั่งนิ่ง ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหม่ยหลินก็ร้อนรนขึ้นทันที “ถิงถิงไม่รู้เส้นทางรีบตามไป” เธอออกคำสั่งทันทีหลังจากที่ขับตามอยู่ประมาณสิบห้านาที จุดแดงก็หยุดการเคลื่อนไหว “คุณถิงถิงไม่ไปต่อครับ”“งั้นเร่งให้ทัน”ไม่นานรถของเหม่ยหลินและการ์ดที่ตามมา ก็ถึงจุดที่รถของ ถิงถิงจอดอยู่ เหม่ยหลินหน้าถอดสี เธอแทบจะพุ่งออกจากตัวรถก่อนที่รถจะจอดสนิท หนานซิงรีบวิ่งตามออกมาเป้าหมายคือด้านคนขับ เหม่ยหลินตรงเข้าไปเกาะที่กระจกรถ เธอเพ่งมองไปด้านคนขับ หากแต่ว่างเปล่าไม่มีใคร เธอหายใจไม่ทั่วท้อง มือสั่นใจสั่น จับประตูแล้วเปิดกว้าง ซึ่งมันย้ำให้เธอรู้ว่าไม่มีคนที่เธอตามหาจริง ๆ“นี่...มันเกิดอะไรขึ้น” เธอเปรยอย่างคนสิ้นหวัง หากมือไม่จับประตูรถไว้เธอคงประคองตัวไม่อยู่หนานซิงวิ่งออกมาสมทบ แล้วมองไปในรถอีกครั้ง ก่อนจะแล้วมองหน้าเหม่ยหลินด้วยความเป็นห่วงตอนนี้เธอประคองสติเกือบไม่ไหว สายตาหวาดหวั
หนานซิงลดกระจกลง เหม่ยหลินหน้าถอดสี เมื่อสัญญาณจีพีเอสสิ้นสุดลง“ลงไป” เธอสั่งจากนั้นหนานซิงก็ลงไป ด้วยความระมัดระวัง การ์ดสองคนที่จอดรถจ่ออยู่ด้านหลังลงตามมาสมทบ“ผมสแตนบายการ์ดทีมซงไปแล้ว ตอนนี้กำลังมาครับ”“ดีมาก”“จากนี้หากมีอะไรเกิดขึ้นเราแค่ยื้อเวลาไว้ก่อน อย่าทำอะไรวู่วาม จนกว่าจะมีคำสั่งเพิ่ม” หนานซิงสั่งการในขณะที่เหม่ยหลินลงจากรถก้าวไปข้างหน้าสายตามองบ้านหลังนั้นอย่างประเมินสถานการณ์ ซึ่งมีรถตู้สีขาวจอดอยู่หากมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านใน จากนั้นหนานซิงส่งสัญญาณให้คนขับรถขับเลยออกไป เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตเมื่อรถสองคันขับเคลื่อนออกไปแล้ว คนที่อยู่ก็หาที่ซ่อนตัวและรอจังหวะเข้าไปใกล้บริเวณบ้านหลังนั้นมากขึ้นหลังจากหาที่ซ่อนได้ไม่นาน รถเก๋งคันใหม่ก็ขับเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้านหลังนั้นทุกคนต่างเพ่งมองไปยังบุคคลที่เข้ามาใหม่ เป็นชายร่างสูงแต่งตัวภูมิฐานหากมองใบหน้าไม่ชัด พร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสองคนถือว่าคนพวกนั้นมีไม่เยอะสำหรับเหม่ยหลิน หากแต่คนด้านในยังไม่รู้จำนวน ทุกคนจึงรอจังหวะที่จะเข้าไปใกล้มากกว่านี้“คนนั้นน่าจะเป็นตัวการ...” เหม่ยหลินเปรยขึ้นหนานซิงที่อยู่ประกบเจ้านายไม
“ใช่ หากเธอกลับไปตอนนี้ฉันจะให้คนไปส่งที่สนามบิน แต่หากไม่กลับ เธอก็เตรียมเป็นปุ๋ยอยู่ที่นี่”ถิงถิงกระตุกยิ้ม ชายที่เป็นนักเลงปลายแถวทั้งสาม หน้าถอดสี เหงื่อตกตกใจกลัว หากแต่สาวสวยกลับไม่มีทีท่าแสดงถึงความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวแต่อย่างใด ทั้งที่มีอาวุธร้ายแรงจี้อยู่ตรงหน้า“สะ เสี่ย พวกเราทำงานเสร็จแล้ว พวกเราขอตัวนะครับ” คนไม่อยากเอี่ยวด้วยรีบพูดขัดขึ้น“ไม่เอาค่าจ้างแล้วหรือ”“อะ เอาครับ แต่หากเสี่ยยุ่งอยู่พวกผมค่อยเอางานหน้าก็ได้ครับ”“จะมีไหมล่ะงานหน้า ถ้าจะเอาก็รอทำงานนี้ให้เสร็จก่อนสิ”“ก็บอกแค่เอาผู้หญิงมา พวกผมก็พามาให้แล้ว ส่วนเสี่ยจะทำอะไร พวกผมไม่อยากรู้ครับ”“ไม่อยากรู้เหรอ...” แล้วจ่อปืนไปที่คนทั้งสาม ส่ายกระบอกปืนไปมา“พะพวกผมไม่เอาแล้วก็ได้ครับ” หนึ่งในนั้นรีบบอก ยกมือขึ้นท่วมหัวแล้วลนลานวิ่งออกไป แต่ชายฉกรรจ์ที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูลั่นไกรครั้งเดียวชายหนึ่งนั้นก็ล้มฟุบชักกระตุกสองสามครั้งแล้วแน่นิ่งไป อีกสองคนเมื่อเห็นเพื่อนถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา ก็เข่าอ่อนทรุดตัวลงไปบนพื้น ยกมือขึ้นพนมชายสูงวัยอย่างคนกลัวตายในขณะที่ถิงถิงทำใจดีสู้เสือ ทั้งที่เธอกลัวจนทรงตัวไม่อยู่ ส่วนห