หลังจากถูกเพทายปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แพรไหมกลับมาที่โรงงานด้วยความรู้สึกท้อแท้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของพ่อแม่ ความมุ่งมั่นในใจก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอต้องหาทางโน้มน้าวเพทายให้ได้
วันรุ่งขึ้น แพรไหมตัดสินใจไปรอพบเพทายที่หน้าบริษัท MJ ตั้งแต่เช้าตรู่ เธอถือแฟ้มเอกสารและตัวอย่างผ้าไหมติดมือมาด้วย หวังว่าสักวันเขาจะใจอ่อนยอมเปิดโอกาสให้เธอได้นำเสนอผลงานอย่างจริงจัง "คุณครับ ที่นี่ที่ส่วนบุคคลนะครับ เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้นเมื่อเห็นแพรไหมยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า "ดิฉันมาพบคุณเพทายค่ะ" แพรไหมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น "คุณมีนัดหมายไว้หรือเปล่าครับ" "ไม่มีค่ะ แต่ดิฉันมีความจำเป็นต้องพบท่านจริงๆ" เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองแพรไหมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้เธอเข้าไปข้างในได้ แพรไหมจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนระอุ หลายชั่วโมงผ่านไป แพรไหมยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าบริษัท หวังว่าเพทายจะออกมาหรือมีใครสักคนสังเกตเห็นความตั้งใจของเธอ ในที่สุด รถหรูคันคุ้นตาของเพทายก็แล่นเข้ามาจอด แพรไหมรีบเดินเข้าไปขวางหน้าด้วยความหวัง "คุณเพทายคะ!" เพทายลดกระจกลง มองแพรไหมด้วยแววตาเย็นชา "คุณมายืนทำอะไรตรงนี้?" "ดิฉันแค่อยากจะขอโอกาสอีกครั้งค่ะ ได้โปรดพิจารณาผ้าไหมของเราด้วยนะคะ มันจะช่วยกอบกู้โรงงานของครอบครัวดิฉันได้จริงๆ" แพรไหมยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา เพทายมองแฟ้มนั้นด้วยสายตาเฉยเมย "ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่สนใจ" "แต่คุณยังไม่ได้ดูมันเลยนะคะ!" แพรไหมเริ่มรู้สึกร้อนใจ "ได้โปรดให้โอกาสดิฉันสักครั้งเถอะค่ะ" เพทายถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย "คุณนี่มันน่ารำคาญจริงๆ" "ถ้าความอยู่รอดของครอบครัวคุณแขวนอยู่บนเส้นด้าย คุณจะไม่ทำทุกวิถีทางเหรอคะ?" แพรไหมโต้กลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพทายจ้องมองแพรไหมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเลศนัย "ถ้าอย่างนั้น...ผมมีข้อเสนออื่นให้คุณ" หัวใจของแพรไหมเต้นแรงด้วยความหวัง "ข้อเสนออะไรคะ?" "ผมจะพิจารณาเรื่องผ้าไหมของคุณ" เพทายเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของแพรไหม "แต่แลกกับการที่คุณต้องมาเป็น...นางบำเรอของผม" คำพูดของเพทายราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ แพรไหมยืนตัวแข็งทื่อ ความตกใจ ความโกรธ และความรู้สึกถูกเหยียดหยามถาโถมเข้ามาพร้อมกัน "คุณ..." แพรไหมกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "คุณมัน..." "ผมให้เวลาคุณคิด" เพทายพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากผม นี่คือทางเดียว" พูดจบ เพทายก็เลื่อนกระจกขึ้นและสั่งให้คนขับรถออกไป ปล่อยให้แพรไหมยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวและสับสนคำพูดของเพทายดังก้องอยู่ในหัวของแพรไหมซ้ำไปซ้ำมา ข้อเสนอที่แสนต่ำช้าและเหยียดหยามนั้นราวกับตบหน้าเธออย่างแรง ความโกรธ ความขยะแขยง และความรู้สึกเสียใจที่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ถาโถมเข้ามาจนแทบประคองสติไม่อยู่แพรไหมกลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ภาพพ่อแม่ที่นั่งกอดกันด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่เธอต้องทำบางอย่างเพื่อกอบกู้ทุกสิ่ง"ไหม...ทำไมกลับมาเร็วจังเลยลูก? เป็นยังไงบ้าง?" มารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลูกสาวแพรไหมกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า "เขา...เขาไม่สนใจค่ะแม่ เขาบอกว่าเขามีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว" เธอโกหกคำโต ไม่กล้าเอ่ยถึงข้อเสนอที่แสนเลวร้ายนั้นคืนนั้น แพรไหมนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาด้วยความกระวนกระวาย ข้อเสนอของเพทายวนเวียนอยู่ในความคิด หากเธอปฏิเสธ โรงงานของครอบครัวต้องถูกยึด พ่อแม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว แต่ถ้าเธอตอบตกลง...ศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเธอจะเหลืออะไร?เช้าวันใหม่ แพรไหมตัดสินใจเด็ดขาด เธอแต่งตัวและออกจากบ้านอีกครั้ง จุดหมายปลายทางคือบริษัท MJ แห่งเดิม แต่ครั้งนี้ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับเป็นความมุ่งมั่นที
ลิฟต์หรูเคลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนสุดอย่างเงียบเชียบ แพรไหมยืนตัวเกร็ง มองตัวเลขที่เปลี่ยนไปบนแผงควบคุมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ความกังวลและความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกสู่ห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่เย็นชาเพทายยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องพักของเขา ในชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มที่ขับให้ผิวขาวของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่แพรไหมอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกบางอย่าง"เข้ามาสิ" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปในห้องแพรไหมก้าวตามเข้าไปอย่างช้าๆ สำรวจห้องพักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบและไร้ชีวิตชีวาทันทีที่แพรไหมก้าวพ้นธรณีประตู เพทายก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว คว้าเอวบางของเธอเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างดุดันและรุนแรง เป็นจูบที่ปราศจากความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของแพรไหมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เธอรู้สึกเหมือนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเขาครอบครองอย่างไร้สิทธิ์ที่จะต่อต้าน บทรักที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรวดร้าว เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของเธ
เย็นวันนั้น แพรไหมรีบนำเช็คที่เพทายให้มาไปจัดการปิดหนี้นอกระบบที่คอยตามรังควานครอบครัวเธอ เมื่อเจ้าหนี้รับเงินไปและยอมลงลายมือชื่อในเอกสารปลดหนี้ แพรไหมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก น้ำตาแห่งความโล่งใจไหลอาบแก้มกลับถึงบ้าน ภาพที่เห็นคือพ่อและแม่กอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าหนี้สินก้อนใหญ่ได้รับการสะสางแล้ว แพรไหมเองก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่ต้องแลกอิสรภาพของตัวเองมาด้วยเงินจำนวนนี้ยังคงกัดกินหัวใจเธออยู่ลึกๆ"ขอบคุณมากนะลูกไหมแก้ว" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ถ้าเราทำงานนี้สำเร็จ เราจะมีเงินพอที่จะรักษาบ้านของเราไว้ได้"แพรไหมฝืนยิ้มให้พ่อกับแม่ "ค่ะพ่อ...แต่ช่วงนี้ไหมอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะคะ ทางบริษัทคุณเพทายอยากให้ไหมไปช่วยงานที่บริษัทด้วย"พ่อและแม่มองหน้ากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก พวกท่านดีใจที่ลูกสาวกำลังจะมีโอกาสที่ดีในการทำงานหลังจากวันนั้น แพรไหมก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดหรูของเพทายอย่างเต็มตัว ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากลูกสาวเจ้าของโรงงานทอผ้าไหม กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชายที่เธอเคยปฏิเสธรักเพทา
หลังจากเหตุการณ์ถูกทำร้าย เพทายเริ่มแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูแลและใส่ใจแพรไหมมากขึ้น คอยถามไถ่อาการและแสดงความเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเย็นชาที่เคยปกคลุมเริ่มจางหายไป เผยให้เห็นด้านที่อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าเดิมแพรไหมเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เธอเริ่มสังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขา แววตาที่อ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ และคำพูดที่ไม่ได้แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเหมือนแต่ก่อน การดูแลเขาในคืนที่เขาบาดเจ็บทำให้เธอได้ใกล้ชิดและสัมผัสถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ จากความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เริ่มต้นด้วยความขมขื่น กลายเป็นความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แชร์เรื่องราวและความคิดเห็นต่างๆ แพรไหมได้รู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เพทายก็มีความเหงาและความกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายความรู้สึกชอบเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของแพรไหมอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความช่วยเหลือและความเปลี่ยนแปลงของเขา ในขณะที่เพทายเองก็ไม่เคยละสายตาจากแพรไหมตั้งแต่แรก
หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดส่งมอบงานผ้าไหมผืนสุดท้าย บรรยากาศในคอนโดหรูเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างละเอียดอ่อน เพทายไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาและออกคำสั่งเหมือนเคย เขากลับเอาใจใส่ดูแลแพรไหมมากขึ้น สังเกตความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ และมักจะหาเวลามาพูดคุยด้วย แม้จะเป็นเพียงเรื่องทั่วไป แต่ก็ทำให้หัวใจของแพรไหมสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่เย็นวันหนึ่ง ขณะที่แพรไหมกำลังนั่งทำงานเย็บปักผ้าไหมผืนสุดท้ายอยู่ในห้องนั่งเล่น เพทายเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นในมือ"ดื่มหน่อยสิ เห็นนั่งนานแล้วเดี๋ยวปวดหลัง" เพทายวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างๆ เธอด้วยท่าทีอ่อนโยนแพรไหมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ "ขอบคุณค่ะ""ช่วงนี้ดูเธอตั้งใจกับงานมากเลยนะ" เพทายนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองแพรไหมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "ผ้าไหมที่ทอออกมาสวยมากจริงๆ สมแล้วที่เป็นฝีมือของตระกูลเธอ""มันเป็นงานของครอบครัวฉันค่ะ ฉันก็แค่อยากทำให้ดีที่สุด" แพรไหมตอบเสียงแผ่วเบา พยายามซ่อนความรู้สึกสับสนในใจ"เธอรู้ไหมว่าตั้งแต่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้ฉันได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "ความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้มแข็
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านไหมบางเบาในห้องนั่งเล่นของบ้านทรงไทยหลังงาม ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงัน แพรไหม นั่งกอดเข่ามองเอกสารในมือด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ตัวเลขหนี้สินที่สูงจนน่าตกใจราวกับโซ่ตรวนที่กำลังรัดคอครอบครัวของเธอเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ผู้เป็นมารดา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการร้องไห้ ส่วนผู้เป็นบิดา นั่งกุมมือภรรยาแน่น ราวกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีไปให้"พ่อคะ แม่คะ..." แพรไหมเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ "เรา...เราหมดหนทางแล้วใช่ไหมคะ"ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น มองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "พ่อขอโทษนะลูก ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษไว้ได้ โรงงานของเรา..." เสียงของเขาขาดหายไปมารดาของแพรไหมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดลูกสาวแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยแพรไหม ทุกอย่างมัน...มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป"แพรไหมซบหน้าลงบนไหล่มารดา ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"แต่ว่า..." แพรไหมผละออกจากอ้อมกอดมา
หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดส่งมอบงานผ้าไหมผืนสุดท้าย บรรยากาศในคอนโดหรูเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างละเอียดอ่อน เพทายไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาและออกคำสั่งเหมือนเคย เขากลับเอาใจใส่ดูแลแพรไหมมากขึ้น สังเกตความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ และมักจะหาเวลามาพูดคุยด้วย แม้จะเป็นเพียงเรื่องทั่วไป แต่ก็ทำให้หัวใจของแพรไหมสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่เย็นวันหนึ่ง ขณะที่แพรไหมกำลังนั่งทำงานเย็บปักผ้าไหมผืนสุดท้ายอยู่ในห้องนั่งเล่น เพทายเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นในมือ"ดื่มหน่อยสิ เห็นนั่งนานแล้วเดี๋ยวปวดหลัง" เพทายวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างๆ เธอด้วยท่าทีอ่อนโยนแพรไหมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ "ขอบคุณค่ะ""ช่วงนี้ดูเธอตั้งใจกับงานมากเลยนะ" เพทายนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองแพรไหมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "ผ้าไหมที่ทอออกมาสวยมากจริงๆ สมแล้วที่เป็นฝีมือของตระกูลเธอ""มันเป็นงานของครอบครัวฉันค่ะ ฉันก็แค่อยากทำให้ดีที่สุด" แพรไหมตอบเสียงแผ่วเบา พยายามซ่อนความรู้สึกสับสนในใจ"เธอรู้ไหมว่าตั้งแต่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้ฉันได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "ความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้มแข็
หลังจากเหตุการณ์ถูกทำร้าย เพทายเริ่มแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูแลและใส่ใจแพรไหมมากขึ้น คอยถามไถ่อาการและแสดงความเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเย็นชาที่เคยปกคลุมเริ่มจางหายไป เผยให้เห็นด้านที่อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าเดิมแพรไหมเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เธอเริ่มสังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขา แววตาที่อ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ และคำพูดที่ไม่ได้แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเหมือนแต่ก่อน การดูแลเขาในคืนที่เขาบาดเจ็บทำให้เธอได้ใกล้ชิดและสัมผัสถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ จากความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เริ่มต้นด้วยความขมขื่น กลายเป็นความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แชร์เรื่องราวและความคิดเห็นต่างๆ แพรไหมได้รู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เพทายก็มีความเหงาและความกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายความรู้สึกชอบเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของแพรไหมอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความช่วยเหลือและความเปลี่ยนแปลงของเขา ในขณะที่เพทายเองก็ไม่เคยละสายตาจากแพรไหมตั้งแต่แรก
เย็นวันนั้น แพรไหมรีบนำเช็คที่เพทายให้มาไปจัดการปิดหนี้นอกระบบที่คอยตามรังควานครอบครัวเธอ เมื่อเจ้าหนี้รับเงินไปและยอมลงลายมือชื่อในเอกสารปลดหนี้ แพรไหมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก น้ำตาแห่งความโล่งใจไหลอาบแก้มกลับถึงบ้าน ภาพที่เห็นคือพ่อและแม่กอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าหนี้สินก้อนใหญ่ได้รับการสะสางแล้ว แพรไหมเองก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่ต้องแลกอิสรภาพของตัวเองมาด้วยเงินจำนวนนี้ยังคงกัดกินหัวใจเธออยู่ลึกๆ"ขอบคุณมากนะลูกไหมแก้ว" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ถ้าเราทำงานนี้สำเร็จ เราจะมีเงินพอที่จะรักษาบ้านของเราไว้ได้"แพรไหมฝืนยิ้มให้พ่อกับแม่ "ค่ะพ่อ...แต่ช่วงนี้ไหมอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะคะ ทางบริษัทคุณเพทายอยากให้ไหมไปช่วยงานที่บริษัทด้วย"พ่อและแม่มองหน้ากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก พวกท่านดีใจที่ลูกสาวกำลังจะมีโอกาสที่ดีในการทำงานหลังจากวันนั้น แพรไหมก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดหรูของเพทายอย่างเต็มตัว ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากลูกสาวเจ้าของโรงงานทอผ้าไหม กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชายที่เธอเคยปฏิเสธรักเพทา
ลิฟต์หรูเคลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนสุดอย่างเงียบเชียบ แพรไหมยืนตัวเกร็ง มองตัวเลขที่เปลี่ยนไปบนแผงควบคุมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ความกังวลและความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกสู่ห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่เย็นชาเพทายยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องพักของเขา ในชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มที่ขับให้ผิวขาวของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่แพรไหมอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกบางอย่าง"เข้ามาสิ" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปในห้องแพรไหมก้าวตามเข้าไปอย่างช้าๆ สำรวจห้องพักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบและไร้ชีวิตชีวาทันทีที่แพรไหมก้าวพ้นธรณีประตู เพทายก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว คว้าเอวบางของเธอเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างดุดันและรุนแรง เป็นจูบที่ปราศจากความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของแพรไหมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เธอรู้สึกเหมือนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเขาครอบครองอย่างไร้สิทธิ์ที่จะต่อต้าน บทรักที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรวดร้าว เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของเธ
คำพูดของเพทายดังก้องอยู่ในหัวของแพรไหมซ้ำไปซ้ำมา ข้อเสนอที่แสนต่ำช้าและเหยียดหยามนั้นราวกับตบหน้าเธออย่างแรง ความโกรธ ความขยะแขยง และความรู้สึกเสียใจที่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ถาโถมเข้ามาจนแทบประคองสติไม่อยู่แพรไหมกลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ภาพพ่อแม่ที่นั่งกอดกันด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่เธอต้องทำบางอย่างเพื่อกอบกู้ทุกสิ่ง"ไหม...ทำไมกลับมาเร็วจังเลยลูก? เป็นยังไงบ้าง?" มารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลูกสาวแพรไหมกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า "เขา...เขาไม่สนใจค่ะแม่ เขาบอกว่าเขามีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว" เธอโกหกคำโต ไม่กล้าเอ่ยถึงข้อเสนอที่แสนเลวร้ายนั้นคืนนั้น แพรไหมนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาด้วยความกระวนกระวาย ข้อเสนอของเพทายวนเวียนอยู่ในความคิด หากเธอปฏิเสธ โรงงานของครอบครัวต้องถูกยึด พ่อแม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว แต่ถ้าเธอตอบตกลง...ศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเธอจะเหลืออะไร?เช้าวันใหม่ แพรไหมตัดสินใจเด็ดขาด เธอแต่งตัวและออกจากบ้านอีกครั้ง จุดหมายปลายทางคือบริษัท MJ แห่งเดิม แต่ครั้งนี้ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับเป็นความมุ่งมั่นที
หลังจากถูกเพทายปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แพรไหมกลับมาที่โรงงานด้วยความรู้สึกท้อแท้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของพ่อแม่ ความมุ่งมั่นในใจก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอต้องหาทางโน้มน้าวเพทายให้ได้วันรุ่งขึ้น แพรไหมตัดสินใจไปรอพบเพทายที่หน้าบริษัท MJ ตั้งแต่เช้าตรู่ เธอถือแฟ้มเอกสารและตัวอย่างผ้าไหมติดมือมาด้วย หวังว่าสักวันเขาจะใจอ่อนยอมเปิดโอกาสให้เธอได้นำเสนอผลงานอย่างจริงจัง"คุณครับ ที่นี่ที่ส่วนบุคคลนะครับ เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้นเมื่อเห็นแพรไหมยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า"ดิฉันมาพบคุณเพทายค่ะ" แพรไหมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น"คุณมีนัดหมายไว้หรือเปล่าครับ""ไม่มีค่ะ แต่ดิฉันมีความจำเป็นต้องพบท่านจริงๆ"เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองแพรไหมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้เธอเข้าไปข้างในได้ แพรไหมจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนระอุหลายชั่วโมงผ่านไป แพรไหมยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าบริษัท หวังว่าเพทายจะออกมาหรือมีใครสักคนสังเกตเห็นความตั้งใจของเธอในที่สุด รถหรูคันคุ้นตาของเพทายก็แล่นเข้ามาจอด แพรไห
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านไหมบางเบาในห้องนั่งเล่นของบ้านทรงไทยหลังงาม ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงัน แพรไหม นั่งกอดเข่ามองเอกสารในมือด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ตัวเลขหนี้สินที่สูงจนน่าตกใจราวกับโซ่ตรวนที่กำลังรัดคอครอบครัวของเธอเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ผู้เป็นมารดา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการร้องไห้ ส่วนผู้เป็นบิดา นั่งกุมมือภรรยาแน่น ราวกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีไปให้"พ่อคะ แม่คะ..." แพรไหมเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ "เรา...เราหมดหนทางแล้วใช่ไหมคะ"ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น มองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "พ่อขอโทษนะลูก ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษไว้ได้ โรงงานของเรา..." เสียงของเขาขาดหายไปมารดาของแพรไหมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดลูกสาวแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยแพรไหม ทุกอย่างมัน...มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป"แพรไหมซบหน้าลงบนไหล่มารดา ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"แต่ว่า..." แพรไหมผละออกจากอ้อมกอดมา