หลังจากเหตุการณ์ถูกทำร้าย เพทายเริ่มแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูแลและใส่ใจแพรไหมมากขึ้น คอยถามไถ่อาการและแสดงความเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเย็นชาที่เคยปกคลุมเริ่มจางหายไป เผยให้เห็นด้านที่อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าเดิม
แพรไหมเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เธอเริ่มสังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขา แววตาที่อ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ และคำพูดที่ไม่ได้แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเหมือนแต่ก่อน การดูแลเขาในคืนที่เขาบาดเจ็บทำให้เธอได้ใกล้ชิดและสัมผัสถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ จากความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เริ่มต้นด้วยความขมขื่น กลายเป็นความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แชร์เรื่องราวและความคิดเห็นต่างๆ แพรไหมได้รู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เพทายก็มีความเหงาและความกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมาย ความรู้สึกชอบเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของแพรไหมอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความช่วยเหลือและความเปลี่ยนแปลงของเขา ในขณะที่เพทายเองก็ไม่เคยละสายตาจากแพรไหมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น และความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีแข็งกระด้างของเธอ ทำให้เขายิ่งรู้สึกประทับใจ แต่แล้ว ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี อุปสรรคที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏตัวขึ้น เชอรีน คู่หมั้นของเพทาย เดินทางมาหาเขาที่บริษัทอย่างกะทันหัน เธอเป็นหญิงสาวสวยสง่า เพียบพร้อมด้วยรูปร่างหน้าตาและฐานะทางสังคม การปรากฏตัวของเธอสร้างความฮือฮาให้กับพนักงานในบริษัท ทุกคนต่างซุบซิบถึงความเหมาะสมของทั้งคู่ เชอรีนตรงเข้าไปหาเพทายในห้องทำงานของเขา เธอเหลือบมองแพรไหมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แม้จะรู้ว่าแพรไหมคือคู่ควงลับๆ ของเพทาย แต่เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เดินเข้าไปคล้องแขนเพทายอย่างสนิทสนมและส่งเสียงหวาน "ที่รักคะ เชอรีนคิดถึงคุณจังเลยค่ะ" เพทายเพียงแค่ยิ้มบางๆ ให้เชอรีน ไม่ได้แนะนำแพรไหมในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของเขาแต่อย่างใด แพรไหมยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก เธอเป็นใครในสายตาของเขา? เป็นเพียงคู่นอนชั่วคราวที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเลยใช่ไหม? หลังจากนั้น เพทายก็กลับห้องช้าลงทุกวัน และมักจะมีข่าวว่าเขาออกไปทานอาหารค่ำกับเชอรีน แพรไหมรู้สึกน้อยใจและเสียใจ เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มั่นคงก็กัดกินหัวใจเธออยู่ตลอดเวลา คืนหนึ่ง เมื่อเพทายกลับมาถึงห้องด้วยท่าทางเหนื่อยล้า แพรไหมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากประชดประชัน "วันนี้ไปทานอาหารอร่อยกับคู่หมั้นมาอีกแล้วสินะคะ?" เพทายมองเธอด้วยแววตาที่เย็นชาลงทันที "คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?" "ก็เรื่องคู่หมั้นของคุณไงคะ คุณเชอรีน ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเหมาะสมกันมากเลยนะคะ" แพรไหมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น "อย่าลืมสถานะของตัวเองสิ แพรไหม" เพทายพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง "คุณเป็นแค่นางบำเรอของผมเท่านั้น" คำพูดของเพทายราวกับมีดกรีดลงกลางใจ แพรไหมรู้สึกชาไปทั้งตัว เธอเงียบลงทันที พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เธอเข้าใจแล้วว่าสำหรับเพทาย เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเขาด้วยเงื่อนไข และไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องความรู้สึกใดๆ ตั้งแต่นั้นมา แพรไหมจึงตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองอย่างเงียบๆ รอจนกว่าจะถึงวันที่เธอส่งมอบงานผ้าไหมให้เพทายครบถ้วน เธอจะจากไปจากชีวิตของเขาอย่างไม่มีวันหวนกลับ...หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดส่งมอบงานผ้าไหมผืนสุดท้าย บรรยากาศในคอนโดหรูเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างละเอียดอ่อน เพทายไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาและออกคำสั่งเหมือนเคย เขากลับเอาใจใส่ดูแลแพรไหมมากขึ้น สังเกตความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ และมักจะหาเวลามาพูดคุยด้วย แม้จะเป็นเพียงเรื่องทั่วไป แต่ก็ทำให้หัวใจของแพรไหมสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่เย็นวันหนึ่ง ขณะที่แพรไหมกำลังนั่งทำงานเย็บปักผ้าไหมผืนสุดท้ายอยู่ในห้องนั่งเล่น เพทายเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นในมือ"ดื่มหน่อยสิ เห็นนั่งนานแล้วเดี๋ยวปวดหลัง" เพทายวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างๆ เธอด้วยท่าทีอ่อนโยนแพรไหมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ "ขอบคุณค่ะ""ช่วงนี้ดูเธอตั้งใจกับงานมากเลยนะ" เพทายนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองแพรไหมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "ผ้าไหมที่ทอออกมาสวยมากจริงๆ สมแล้วที่เป็นฝีมือของตระกูลเธอ""มันเป็นงานของครอบครัวฉันค่ะ ฉันก็แค่อยากทำให้ดีที่สุด" แพรไหมตอบเสียงแผ่วเบา พยายามซ่อนความรู้สึกสับสนในใจ"เธอรู้ไหมว่าตั้งแต่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้ฉันได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "ความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้มแข็
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านไหมบางเบาในห้องนั่งเล่นของบ้านทรงไทยหลังงาม ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงัน แพรไหม นั่งกอดเข่ามองเอกสารในมือด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ตัวเลขหนี้สินที่สูงจนน่าตกใจราวกับโซ่ตรวนที่กำลังรัดคอครอบครัวของเธอเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ผู้เป็นมารดา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการร้องไห้ ส่วนผู้เป็นบิดา นั่งกุมมือภรรยาแน่น ราวกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีไปให้"พ่อคะ แม่คะ..." แพรไหมเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ "เรา...เราหมดหนทางแล้วใช่ไหมคะ"ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น มองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "พ่อขอโทษนะลูก ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษไว้ได้ โรงงานของเรา..." เสียงของเขาขาดหายไปมารดาของแพรไหมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดลูกสาวแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยแพรไหม ทุกอย่างมัน...มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป"แพรไหมซบหน้าลงบนไหล่มารดา ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"แต่ว่า..." แพรไหมผละออกจากอ้อมกอดมา
หลังจากถูกเพทายปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แพรไหมกลับมาที่โรงงานด้วยความรู้สึกท้อแท้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของพ่อแม่ ความมุ่งมั่นในใจก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอต้องหาทางโน้มน้าวเพทายให้ได้วันรุ่งขึ้น แพรไหมตัดสินใจไปรอพบเพทายที่หน้าบริษัท MJ ตั้งแต่เช้าตรู่ เธอถือแฟ้มเอกสารและตัวอย่างผ้าไหมติดมือมาด้วย หวังว่าสักวันเขาจะใจอ่อนยอมเปิดโอกาสให้เธอได้นำเสนอผลงานอย่างจริงจัง"คุณครับ ที่นี่ที่ส่วนบุคคลนะครับ เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้นเมื่อเห็นแพรไหมยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า"ดิฉันมาพบคุณเพทายค่ะ" แพรไหมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น"คุณมีนัดหมายไว้หรือเปล่าครับ""ไม่มีค่ะ แต่ดิฉันมีความจำเป็นต้องพบท่านจริงๆ"เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองแพรไหมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้เธอเข้าไปข้างในได้ แพรไหมจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนระอุหลายชั่วโมงผ่านไป แพรไหมยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าบริษัท หวังว่าเพทายจะออกมาหรือมีใครสักคนสังเกตเห็นความตั้งใจของเธอในที่สุด รถหรูคันคุ้นตาของเพทายก็แล่นเข้ามาจอด แพรไห
คำพูดของเพทายดังก้องอยู่ในหัวของแพรไหมซ้ำไปซ้ำมา ข้อเสนอที่แสนต่ำช้าและเหยียดหยามนั้นราวกับตบหน้าเธออย่างแรง ความโกรธ ความขยะแขยง และความรู้สึกเสียใจที่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ถาโถมเข้ามาจนแทบประคองสติไม่อยู่แพรไหมกลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ภาพพ่อแม่ที่นั่งกอดกันด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่เธอต้องทำบางอย่างเพื่อกอบกู้ทุกสิ่ง"ไหม...ทำไมกลับมาเร็วจังเลยลูก? เป็นยังไงบ้าง?" มารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลูกสาวแพรไหมกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า "เขา...เขาไม่สนใจค่ะแม่ เขาบอกว่าเขามีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว" เธอโกหกคำโต ไม่กล้าเอ่ยถึงข้อเสนอที่แสนเลวร้ายนั้นคืนนั้น แพรไหมนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาด้วยความกระวนกระวาย ข้อเสนอของเพทายวนเวียนอยู่ในความคิด หากเธอปฏิเสธ โรงงานของครอบครัวต้องถูกยึด พ่อแม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว แต่ถ้าเธอตอบตกลง...ศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเธอจะเหลืออะไร?เช้าวันใหม่ แพรไหมตัดสินใจเด็ดขาด เธอแต่งตัวและออกจากบ้านอีกครั้ง จุดหมายปลายทางคือบริษัท MJ แห่งเดิม แต่ครั้งนี้ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับเป็นความมุ่งมั่นที
ลิฟต์หรูเคลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนสุดอย่างเงียบเชียบ แพรไหมยืนตัวเกร็ง มองตัวเลขที่เปลี่ยนไปบนแผงควบคุมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ความกังวลและความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกสู่ห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่เย็นชาเพทายยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องพักของเขา ในชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มที่ขับให้ผิวขาวของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่แพรไหมอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกบางอย่าง"เข้ามาสิ" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปในห้องแพรไหมก้าวตามเข้าไปอย่างช้าๆ สำรวจห้องพักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบและไร้ชีวิตชีวาทันทีที่แพรไหมก้าวพ้นธรณีประตู เพทายก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว คว้าเอวบางของเธอเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างดุดันและรุนแรง เป็นจูบที่ปราศจากความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของแพรไหมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เธอรู้สึกเหมือนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเขาครอบครองอย่างไร้สิทธิ์ที่จะต่อต้าน บทรักที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรวดร้าว เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของเธ
เย็นวันนั้น แพรไหมรีบนำเช็คที่เพทายให้มาไปจัดการปิดหนี้นอกระบบที่คอยตามรังควานครอบครัวเธอ เมื่อเจ้าหนี้รับเงินไปและยอมลงลายมือชื่อในเอกสารปลดหนี้ แพรไหมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก น้ำตาแห่งความโล่งใจไหลอาบแก้มกลับถึงบ้าน ภาพที่เห็นคือพ่อและแม่กอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าหนี้สินก้อนใหญ่ได้รับการสะสางแล้ว แพรไหมเองก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่ต้องแลกอิสรภาพของตัวเองมาด้วยเงินจำนวนนี้ยังคงกัดกินหัวใจเธออยู่ลึกๆ"ขอบคุณมากนะลูกไหมแก้ว" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ถ้าเราทำงานนี้สำเร็จ เราจะมีเงินพอที่จะรักษาบ้านของเราไว้ได้"แพรไหมฝืนยิ้มให้พ่อกับแม่ "ค่ะพ่อ...แต่ช่วงนี้ไหมอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะคะ ทางบริษัทคุณเพทายอยากให้ไหมไปช่วยงานที่บริษัทด้วย"พ่อและแม่มองหน้ากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก พวกท่านดีใจที่ลูกสาวกำลังจะมีโอกาสที่ดีในการทำงานหลังจากวันนั้น แพรไหมก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดหรูของเพทายอย่างเต็มตัว ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากลูกสาวเจ้าของโรงงานทอผ้าไหม กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชายที่เธอเคยปฏิเสธรักเพทา
หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดส่งมอบงานผ้าไหมผืนสุดท้าย บรรยากาศในคอนโดหรูเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างละเอียดอ่อน เพทายไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาและออกคำสั่งเหมือนเคย เขากลับเอาใจใส่ดูแลแพรไหมมากขึ้น สังเกตความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ และมักจะหาเวลามาพูดคุยด้วย แม้จะเป็นเพียงเรื่องทั่วไป แต่ก็ทำให้หัวใจของแพรไหมสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่เย็นวันหนึ่ง ขณะที่แพรไหมกำลังนั่งทำงานเย็บปักผ้าไหมผืนสุดท้ายอยู่ในห้องนั่งเล่น เพทายเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่นในมือ"ดื่มหน่อยสิ เห็นนั่งนานแล้วเดี๋ยวปวดหลัง" เพทายวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างๆ เธอด้วยท่าทีอ่อนโยนแพรไหมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ "ขอบคุณค่ะ""ช่วงนี้ดูเธอตั้งใจกับงานมากเลยนะ" เพทายนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองแพรไหมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป "ผ้าไหมที่ทอออกมาสวยมากจริงๆ สมแล้วที่เป็นฝีมือของตระกูลเธอ""มันเป็นงานของครอบครัวฉันค่ะ ฉันก็แค่อยากทำให้ดีที่สุด" แพรไหมตอบเสียงแผ่วเบา พยายามซ่อนความรู้สึกสับสนในใจ"เธอรู้ไหมว่าตั้งแต่ได้ร่วมงานกับเธอ ทำให้ฉันได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "ความมุ่งมั่น ความอดทน และความเข้มแข็
หลังจากเหตุการณ์ถูกทำร้าย เพทายเริ่มแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูแลและใส่ใจแพรไหมมากขึ้น คอยถามไถ่อาการและแสดงความเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเย็นชาที่เคยปกคลุมเริ่มจางหายไป เผยให้เห็นด้านที่อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าเดิมแพรไหมเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เธอเริ่มสังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขา แววตาที่อ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ และคำพูดที่ไม่ได้แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยเหมือนแต่ก่อน การดูแลเขาในคืนที่เขาบาดเจ็บทำให้เธอได้ใกล้ชิดและสัมผัสถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางแข็งกระด้างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ จากความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เริ่มต้นด้วยความขมขื่น กลายเป็นความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น แชร์เรื่องราวและความคิดเห็นต่างๆ แพรไหมได้รู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เพทายก็มีความเหงาและความกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายความรู้สึกชอบเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของแพรไหมอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความช่วยเหลือและความเปลี่ยนแปลงของเขา ในขณะที่เพทายเองก็ไม่เคยละสายตาจากแพรไหมตั้งแต่แรก
เย็นวันนั้น แพรไหมรีบนำเช็คที่เพทายให้มาไปจัดการปิดหนี้นอกระบบที่คอยตามรังควานครอบครัวเธอ เมื่อเจ้าหนี้รับเงินไปและยอมลงลายมือชื่อในเอกสารปลดหนี้ แพรไหมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก น้ำตาแห่งความโล่งใจไหลอาบแก้มกลับถึงบ้าน ภาพที่เห็นคือพ่อและแม่กอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าหนี้สินก้อนใหญ่ได้รับการสะสางแล้ว แพรไหมเองก็อดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่ต้องแลกอิสรภาพของตัวเองมาด้วยเงินจำนวนนี้ยังคงกัดกินหัวใจเธออยู่ลึกๆ"ขอบคุณมากนะลูกไหมแก้ว" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ถ้าเราทำงานนี้สำเร็จ เราจะมีเงินพอที่จะรักษาบ้านของเราไว้ได้"แพรไหมฝืนยิ้มให้พ่อกับแม่ "ค่ะพ่อ...แต่ช่วงนี้ไหมอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะคะ ทางบริษัทคุณเพทายอยากให้ไหมไปช่วยงานที่บริษัทด้วย"พ่อและแม่มองหน้ากันด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก พวกท่านดีใจที่ลูกสาวกำลังจะมีโอกาสที่ดีในการทำงานหลังจากวันนั้น แพรไหมก็ย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดหรูของเพทายอย่างเต็มตัว ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากลูกสาวเจ้าของโรงงานทอผ้าไหม กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชายที่เธอเคยปฏิเสธรักเพทา
ลิฟต์หรูเคลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนสุดอย่างเงียบเชียบ แพรไหมยืนตัวเกร็ง มองตัวเลขที่เปลี่ยนไปบนแผงควบคุมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ความกังวลและความกลัวถาโถมเข้ามาจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกสู่ห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่เย็นชาเพทายยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องพักของเขา ในชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มที่ขับให้ผิวขาวของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่แพรไหมอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกบางอย่าง"เข้ามาสิ" เพทายเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินนำเข้าไปในห้องแพรไหมก้าวตามเข้าไปอย่างช้าๆ สำรวจห้องพักที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบและไร้ชีวิตชีวาทันทีที่แพรไหมก้าวพ้นธรณีประตู เพทายก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว คว้าเอวบางของเธอเข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มลงจูบเธออย่างดุดันและรุนแรง เป็นจูบที่ปราศจากความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของแพรไหมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เธอรู้สึกเหมือนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเขาครอบครองอย่างไร้สิทธิ์ที่จะต่อต้าน บทรักที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรวดร้าว เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของเธ
คำพูดของเพทายดังก้องอยู่ในหัวของแพรไหมซ้ำไปซ้ำมา ข้อเสนอที่แสนต่ำช้าและเหยียดหยามนั้นราวกับตบหน้าเธออย่างแรง ความโกรธ ความขยะแขยง และความรู้สึกเสียใจที่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ถาโถมเข้ามาจนแทบประคองสติไม่อยู่แพรไหมกลับมาถึงบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ภาพพ่อแม่ที่นั่งกอดกันด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่เธอต้องทำบางอย่างเพื่อกอบกู้ทุกสิ่ง"ไหม...ทำไมกลับมาเร็วจังเลยลูก? เป็นยังไงบ้าง?" มารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของลูกสาวแพรไหมกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า "เขา...เขาไม่สนใจค่ะแม่ เขาบอกว่าเขามีซัพพลายเออร์อยู่แล้ว" เธอโกหกคำโต ไม่กล้าเอ่ยถึงข้อเสนอที่แสนเลวร้ายนั้นคืนนั้น แพรไหมนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาด้วยความกระวนกระวาย ข้อเสนอของเพทายวนเวียนอยู่ในความคิด หากเธอปฏิเสธ โรงงานของครอบครัวต้องถูกยึด พ่อแม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว แต่ถ้าเธอตอบตกลง...ศักดิ์ศรีและคุณค่าในตัวเธอจะเหลืออะไร?เช้าวันใหม่ แพรไหมตัดสินใจเด็ดขาด เธอแต่งตัวและออกจากบ้านอีกครั้ง จุดหมายปลายทางคือบริษัท MJ แห่งเดิม แต่ครั้งนี้ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับเป็นความมุ่งมั่นที
หลังจากถูกเพทายปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แพรไหมกลับมาที่โรงงานด้วยความรู้สึกท้อแท้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของพ่อแม่ ความมุ่งมั่นในใจก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอต้องหาทางโน้มน้าวเพทายให้ได้วันรุ่งขึ้น แพรไหมตัดสินใจไปรอพบเพทายที่หน้าบริษัท MJ ตั้งแต่เช้าตรู่ เธอถือแฟ้มเอกสารและตัวอย่างผ้าไหมติดมือมาด้วย หวังว่าสักวันเขาจะใจอ่อนยอมเปิดโอกาสให้เธอได้นำเสนอผลงานอย่างจริงจัง"คุณครับ ที่นี่ที่ส่วนบุคคลนะครับ เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้นเมื่อเห็นแพรไหมยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า"ดิฉันมาพบคุณเพทายค่ะ" แพรไหมตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น"คุณมีนัดหมายไว้หรือเปล่าครับ""ไม่มีค่ะ แต่ดิฉันมีความจำเป็นต้องพบท่านจริงๆ"เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองแพรไหมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้เธอเข้าไปข้างในได้ แพรไหมจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนระอุหลายชั่วโมงผ่านไป แพรไหมยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าบริษัท หวังว่าเพทายจะออกมาหรือมีใครสักคนสังเกตเห็นความตั้งใจของเธอในที่สุด รถหรูคันคุ้นตาของเพทายก็แล่นเข้ามาจอด แพรไห
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านไหมบางเบาในห้องนั่งเล่นของบ้านทรงไทยหลังงาม ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงัน แพรไหม นั่งกอดเข่ามองเอกสารในมือด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ตัวเลขหนี้สินที่สูงจนน่าตกใจราวกับโซ่ตรวนที่กำลังรัดคอครอบครัวของเธอเสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังมาจากร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม ผู้เป็นมารดา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการร้องไห้ ส่วนผู้เป็นบิดา นั่งกุมมือภรรยาแน่น ราวกับต้องการส่งผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีไปให้"พ่อคะ แม่คะ..." แพรไหมเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ "เรา...เราหมดหนทางแล้วใช่ไหมคะ"ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น มองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "พ่อขอโทษนะลูก ที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษไว้ได้ โรงงานของเรา..." เสียงของเขาขาดหายไปมารดาของแพรไหมรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดลูกสาวแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยแพรไหม ทุกอย่างมัน...มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป"แพรไหมซบหน้าลงบนไหล่มารดา ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"แต่ว่า..." แพรไหมผละออกจากอ้อมกอดมา