จิวซิน เปลื้องผ้าลงไปนอนแช่น้ำอุ่นผมยาวสลวย สยายลงกลางหลังใบหน้าผุดผาดประทุมถันเต่งตึงหน้าท้องเรียบเนียนสวยไร้ที่ติ ผิวขาวอมชมพูจนหมิงหลินเป็นผู้หญิงยังถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเผลอมองแบบตรงๆ นายหญิงของนางไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้นหากแต่ใต้หล้านี้คงจะหาใครเทียบเคียงนางไม่
“พอแล้วหมิงหลินเจ้าออกไปเถอะข้าเพียงต้องการ แช่น้ำอุ่นเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น”
หมิงหลินขยับตัวคารวะก่อนจะถอยห่างออกไปด้านนอก
จิวซินครุ่นคิดถึงแผนการที่นางวางขึ้นอย่างแสนจะเร่งรีบนั้นแม้จะไม่รัดกุมหากแต่ก็ยากที่ใครจะพบจุดบกพร่อง ตอนนี้จินเกอองค์ชายใหญ่หายตัวไปลึกลับ ตัวจิวซินเองก็มีหลายคนที่รู้แต่เพียงว่านางป่วยด้วยโรคประหลาดใบหน้าเสียโฉมจนต้องปิดบังใบหน้าไว้บัดนี้นางยังเก็บตัวเงียบอยู่ที่เหอตงหยวนไม่พบปะผู้ใด
หลับตาลงช้าๆ เอนหลังพิงขอบถังไม้ใบใหญ่ต่อแต่นี้ต้องเริ่ม แผนการขั้นต่อไป ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของสองแคว้นแล้วยิ่งหากองค์ชายใหญ่ปฏิเสธองค์หญิง14อีกยิ่งกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่าเดิม
หลับตานิ่งหายทางหนีทีไล่คิดว่าอีกไม่กี่มากน้อยไห่ตงหยวนต้องจับได้ถึงสิ่งที่จิวซินทำอยู่ตอนนี้เมื่อนั้นทุกอย่างยิ่งต้องเลวร้ายกว่าเดิมเป็นแน่
องค์ชายห้าฮุยโม๋เดินเอามือไพล่หลังเยื้องย่างเบากริบมาจากด้านหลังตำหนักบรูพาเขาเดินเรื่อยเปื่อยแต่เหตุใด นำพาตัวเองมายังตำหนักบูรพาได้กลิ่นเครื่องหอมลอยลมมาปะทะเข้ากับจมูก เป็นกลิ่นดอกไม้นานาพรรณคล้ายที่หญิงสาวและไม่สาวในไห่ตงหยวนใช้โรยลงบน อ่างอาบน้ำไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีใครทำอย่างนั้นเพราะที่นี่เป็นตำหนักขององค์ชายใหญ่จินเกอพลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าสู่สมอง หรือว่าสิ่งที่เขาคิดไว้จะเป็นจริงฮุยโม๋เดินเข้าไปด้านหลังใช้เอาหูแนบเข้ากับฝาห้องอาบน้ำ ความเงียบงันน่าสงสัย ความอยากรู้อยากเห็นตามวิสัยของฮุยโม๋ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าใกล้ใช้มีดสั้นที่พกติดตัวเจาะข้างฝาด้วยความระมัดระวังจนเป็นช่องพอที่จะมองผ่านเข้าไปได้เห็นเพียงเรือนผมยาวสลวยห้อยลงมาจากอ่างอาบน้ำใบใหญ่มองไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด
“ข้าต้องการพบเขาไยต้องให้ข้ารอ” เสียงโวยวายด้านนอกดังมาให้พอได้ยิน
“ขออภัยองค์รัชทายาทนายข้ากำลัง แช่น้ำยาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการเมามายจากเมื่อคืนองค์ชายใหญ่สั่งไว้ห้ามใครรบกวน” เสียงจิ่นฉินแก้ต่าง
ชงไฉ่ รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“ยังไม่ทันไรยังไม่ทันได้แต่งเข้าเป็นราชบุตรเขยยังเหิมเกริมอย่างนี้หากมีองค์หญิง14กับเสด็จพ่อคอยให้ท้าย จะขนาดไหนข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทและยังมีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายสิบสองเขาเป็นเพียงเขยสิบสี่ทำไมไม่ให้ความสำคัญแก่ข้าที่เป็นถึงองค์รัชทายาท” น้ำเสียงโมโหสุดขีด
“องค์ชายใหญ่ องค์รัชทายาทมารอพบท่าน ที่ด้านนอก” เสียงใสหวานของหมิงหลินดังมาจากม่านกั้นชั้นที่สาม จิวซินส่งเสียงขานรับในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกจากอ่างน้ำ
“เฮ๊ยยยหญิงงามหรือนี่”
ฮุยโม๋ตกตะลึงจนเผลอร้องออกมาเสียงหลงดังลั่น
“มีคนร้าย”
หมิงหลินตะโกนก้องลืมไปสนิทว่าจิวซินยังอยู่ในสภาพไหนชงไฉ่และ จิ่นฉินไวดังสายฟ้าถลาเข้ามาทันที จิวซินสะบัดผ้าสีขาวคลุมร่างล่อนจ้อนของตัวเอง จิ่นฉินหันไปสบตาก่อนจะถลาไปที่ข้างฝาห้อง ด้วยความรวดเร็ว ชงไฉ่มาถึงทีหลังถลาตามไปพอดีกับที่จิวซินก้าวขาออกมาจากอ่างน้ำพอดี จึงชนเข้ากับร่างของชงไฉ่เต็มแรงล้มลงบนร่างใหญ่ของชงไฉ่ ชงไฉ่ตกตะลึงเผลอกอดรัด จิวซินเต็มที่เพียงผ้าขาวบางเบาที่กางกั้นร่างเนียนไว้อกอวบเบียดชิดกับอกกว้างแนบสนิทด้วยน้ำหนักตัวและแรงกระแทกตาสบตาชงไฉ่ไม่อาจหลีกหนีดวงตากลมของจิวซินได้ จิวซินอยากจะกรีดร้องหากแต่ยังมีความยับยั้งชั่งใจ ต่างฝ่ายต่างนิ่งด้วยกันทั้งคู่ หมิงหลินยกมือขึ้นปิดปากแน่น จิ่นฉินหันกลับมากระชากแขนจิวซินเข้าสู่อ้อมแขน
“องค์ชายใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม...องค์ชายสิบสองเชิญท่านลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับยื่นมือส่งให้องค์รัชทายาทเป็นการแสดงน้ำใจ ชงไฉ่ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย สบตาจิวซินที่พยายามหลบตาเขาไม่ปริปากเอ่ยคำใดด้วยใจที่เต้นระรัว
ฮุยโม๋ทะยานขึ้นไปเบื้องบนให้พ้นสายตาคนทั้งหมด
“แน่ใจนะองค์ชายว่ามีคนร้าย ข้าไม่เห็นใคร” จิวซินยังตกใจกับ เหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตัวเองล้มทับชงไฉ่ทั้งๆ ที่มีผ้าบางเบาคลุมร่างเพียงผืนเดียว และขณะนี้ยังอยู่ในอ้อมแขนของจิ่นฉินอย่างปฏิเสธไม่ได้
“เจ้าล่ะหมิงหลิน แน่ใจไหม” ยังไม่ยอมปล่อยมือจากจิวซิน ยังห่วงด้วยจิวซินยังอยู่ในสภาพไม่น่าไว้ใจ
“ข้าได้ยินเพียงเสียงร้องจากด้านนอก”
“ไม่แน่มันอาจไหวตัวทันเดี๋ยวข้าตรวจตราดูรอบๆ หมิงหลินดูแล.....องค์ชายด้วย”
หมิงหลินหาเสื้อคลุมอีกตัวมาคลุมทับผ้าขาวที่ห่มคลุมร่างขิงจิวซิน คราวนี้เองที่เพิ่งนึกได้ว่าชงไฉ่จับจ้องมองจิวซินที่ปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้างดงามราวภาพวาดของหญิงงามจากฝีมือของจิตรกรเอก แม้เสื้อคลุมตัวใหม่จะทำให้รู้สึกถึงความเป็นบุรุษ หมิงหลินจึงรั้งแขนจิวซินออกมาจากด้านใน ชงไฉ่มองตามจนลับตา พลางครุ่นคิดตามแบบคนช่างคิด ว่าบุรุษหนุ่มจากเหอตงหยวนยามเขินอายไม่ต่างจากหญิงสาวแก้มแดงสุกปลั่งน่ามอง นึกอิจฉารูปโฉมของจิวซินเหมือนเดิมแต่คิดไปก็ไม่น่าอิจฉาเท่าไหร่สู้เขาก็ไม่ได้ที่มีมัดกล้ามแน่นหนาผิวไม่ขาวซีดเหมือนองค์ชายใหญ่คนนั้น ทั้งยังใบหน้าคมคายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
จิ่นฉินพบรอยมีดเจาะที่ข้างฝาแต่เขาก็ไม่ได้ปริปากว่าอย่างไร
“นายเจ้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในวังหลวงเหตุ ไฉนถึงมีคนคิดปองร้าย” ชงไฉ่เอ่ยปากถามจิ่นฉิน
“อาจไม่ใช่คนร้ายอย่างที่องค์ชายคาดเดาแต่อาจเป็นใครสักคนในวังหลวงแห่งนี้เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้นเอง”
“ข้าจะยินดีด้วยหากเป็นเพียงแค่ใครสักคนที่ผ่านมาอย่างเจ้าว่า”ชงไฉ่ยิ้มหยันกำลังคิดว่าเป็นชิงชาหรือเปล่า
องค์ชายห้าฮุยโม๋ไม่รอฟังอีกต่อไปวิ่งลัดเลาะไปบนกำแพงสูงก่อนจะกระโจนหน้าตำหนักบูรพาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เห็นทีต้องไปดูหน้าองค์ชายใหญ่เสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
จิวซินเร้นกายเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคราวนี้ม่านถูกนำมากลางกั้นรอบทิศทางฮุ่ยโม๋เดินมือไพล่หลังด้วยท่าทีเรียบเฉยปราศจากพิรุธ แต่ทว่าใบหน้า และแววตาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด“ข้าบังเอิญผ่านมา ได้ยินเสียงเอะอะ” ตีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างประหลาด จิ่นฉินเหลือบตามองมีดสั้นที่ด้ามโผล่พ้นชายเสื้อของฮุ่ยโม๋อย่างที่ฮุ่ยโม๋ไม่ทันได้ระมัดระวังตัว“มีคนร้าย ...ผู้บุกรุกขณะที่องค์ชายของเรากำลังแช่น้ำ” องค์ชายห้ากระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก หมิงหลินเอ่ยคำสายตาคมดุจพญาเหยี่ยวเหลือบตามองหมิงหลินเพียงครู่ความคิดว่องไวปานสายฟ้า หญิงรับใช้คนนี้ ใบหน้าหมดจดงดงาม คงเป็นสาวใช้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นแน่ องค์ชายสิบสองนิยมหญิงงาม“องค์ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ชงไฉ่จับน้ำเสียงได้ถนัดชัดเจนพี่ห้าไม่เคยสนใจผู้ใดมาก่อน วันๆเอาแต่ฝึกวิทยายุทธจนซ่ำซองหากแต่วันนี้กับมีความห่วงใยออกมาให้เห็น“พี่ห้า ใจตรงกันท่านเพียงแค่ผ่านมาหรือว่าจงใจกันแน่” จิ่นฉินรู้สึกว่าคำถามที่เขาอยากถามโดนชงไฉ่เอ่ยไปก่อน“ข้าเพียงแค่ลัดเลาะเรื่อยเปื่อยบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายใหญ่เมาหนักตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้จะสร่างหรือยัง”
“ข้ากับท่านถือว่าเสมอกันคราวนี้ข้ายอมให้ท่านเนื่องด้วยคราวก่อนกระบวนท่าเหนือกว่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้คราวนี้แม้เป็นการต่อสู้เพื่อความบันเทิงหากแต่ข้าก็ถือว่าข้าเพลี่ยงพล้ำหากฝึกฝนให้มากกว่านี้ท่านก็คงนำหน้าข้าไปอยู่ดีหากท่านฝึกฝนเคี่ยวกรำเหมือนกัน”“นับว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมน้องสิบสองเจ้าต้องจำคำขององค์ชายใหญ่ไว้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าหากฝึกฝนย่อมเหนือกว่า” จิวซินยิ้มละลายความขุ่นเคืองไปสิ้นทุกอย่างที่ทำเพื่อไห่ตงหยวนหาใช่ตัวเองไม่ราชโองการถูกส่งยังเหอตงหยวนอย่างเร่งด่วนอาชาทะยานป่านลูกธนูเข้าสู่เป้าหมายเหอหยวนกำมัดทุบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่นเมื่อขันทีอ่านราชโองการจบลง“ไห่หยวนเจ้าไม่เหลือทางเลือกใดให้ข้าแม้สักเพียงนิด องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” ถามไถ่ถึงจิวซิน“องค์หญิงยังพำนักอยู่ในตำหนักด้วยอาการป่วยด้วยโรคประหลาดฝ่าบาท” เหอหยวนถอดหายใจก่อนจะส่งเสียงไอออกมาสองสามทีด้วยอาการป่วย เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าจิวซิน ไม่ได้อยู่ที่นี่นางอาสาจากไปพร้อมกับแบกรับความทุกข์ระทมของเขาไว้ ราชโองการของไห่หยวน กดดันเหอหยวนยิ่งนักคนผู้นี้ไม่อาจจะนับเป็นสหายหรือเยื่อใยที่มีต่อกันจะคงอยู่อีกต่อไปจิ่น
จิวซินยิ้มกว้างแสดงความจริงใจ เลียนแบบฮุ่ยเจินองค์ชายสิบสามกับรู้สึกว่าใจไหววูบกับยิ้มกว้างเปิดเผยหมดจดนั้นสร้างมิตรดีกว่าผลิตศัตรูองค์ชายห้ากับองค์รัชทายาทและองค์หญิงสิบสี่ เดินมาถึงพร้อมกัน“ไยยิ้มกว้างเช่นนั้นเจ้าสิบสาม” ชงไฉ่เอ่ยปาก“หากพบสหายรู้ใจมีอุดมการณ์เดียวกัน (อุดมการณ์ต่อต้านบุรุษกล้าแกร่งผู้ที่เก่งกล้าทั้งบุ้นและบู๋) ข้ายอมยิ้มได้กว้าง” องค์ชายสิบสามต่อคำองค์หญิงสิบสี่เดินเข้าไปเกาะแขนจิวซินแน่น“องค์ชายใหญ่ข้าแวะมาชวนท่านออกไปเที่ยวย่านค้าขายนอกวัง” จิวซินตบมือบางขององค์หญิงเบาๆ ยิ้มหวานดวงตาเป็นประกายตามแบบที่ฝึกฝนมา องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋กับองค์รัชทายาท มองท่าทางกรุ้มกริ่มของจิวซินอย่างขัดตา“องค์ชายใหญ่ไม่ต้องตามใจนางให้มาก” องค์ชายสิบสามเหน็บแนมเพราะรู้นิสัยเจียวซือดีหากได้ก็ต้องได้ยิ่งๆขึ้นไป องค์หญิงสิบสี่แลบลิ้นให้องค์ชายสิบสาม“เจ้าก็เอาแต่ใจจนเคยตัวข้ากำลังจะชวนองค์ชายใหญ่ยังลานธนูเสด็จพ่อประทับรอที่นั่นเพื่อชมการยิ่งธนูขององค์ชายใหญ่ ข้าเชิญท่านที่ลานธนู” องค์ชายสิบสามหันมายกมือประสานกันตรงหน้าจิวซิน องค์หญิงสิบสี่ทำเสียงจิจ๊ะขัดใจ“เช่นนั้นข้าขอตัวคารวะฮ่องเต้
“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง ข้าจิ่นเกอ แม้จะเก่งกล้าเพียงใดก็แค่เพียงธนูแต่ฝีมือกระบี่กลับไม่สามารถเอาชนะองค์รัชทายาทได้เป็นฝ่ายที่ต้องเพลี่ยงพล้ำ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ชงไฉ่เหลือบตามองจิวซิน นึกชื่นชมที่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ยกตนข่มท่าน“คราวก่อนที่ข้าเห็น เจ้าสิบสองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมิใช่หรือ”“อาจเป็นเพราะน้องสิบสองตั้งใจฝึกฝน จึงสามารถเอาชนะองค์ชายใหญ่ที่เยี่ยมยุทธ์ได้” ฮ่องเต้ยิ้มพึงใจกับคำกล่าวนั้น“เจ้าสิบสองมิเสียแรง บัดนี้องค์ชายใหญ่ มาอยู่ที่นี่ในฐานะราชบุตรเขย ทำให้ข้ารู้สึกสำราญใจ หนำซ้ำยังสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่พวกเจ้าเหล่าองค์ชายองค์หญิงในทางที่ดีเช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในไม่ช้าเมื่อเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์ ข้าได้มีบัญชาถึงเหอตงหยวนเรื่องการทาบทามองค์หญิง..จิวซิน...ธิดาคนเล็กมา รั้งตำแหน่งฮองเฮาแก่เจ้าเพื่อสานสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าคิดอ่านเช่นใด ชงไฉ่” ชงไฉ่อ้าปากค้าง องคืชายสิบสามรีบสะกิดเพื่อให้ชงไฉ่ไม่เผลอทำตามใจจนไห่หยวนไม่พอใจ“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด หากสิ่งใดที่เสด็จพ่อเห็นสมควรลูกมิขัดข้อง” ”ชงไฉ่พูดไปตามสิ่งที่ควรพูดจิวซินรู้สึกหูอื้อตาลายเกือบจะเผลอตัว
จิวซินเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองพลาดเสียแล้วด้วยมารดาของจิ่นเกอจริงๆ นั้นไม่ชอบการรบพุ่งนางเป็นหญิงงามที่เพียบพร้อมและอ่อนหวานผิดกับมารดาของจิวซินที่เป็นหญิงชาวบ้าน ถนัดการท่องเที่ยวล่าสัตว์บนหลังม้าด้วยธนู“ข้าฮุ่ยโม๋อยากเห็น มารดาขององค์ชายใหญ่ยิ่งนัก นางคงทั้งงดงามอ่อนหวานและองอาจในเวลาเดียวกันไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่” คำชมที่เผลอไผลออกไป ซึ่งตรงกับใจของชงไฉ่ที่คิดว่ามารดาขององค์ชายใหญ่จิ่นเกอผู้นี้คงเป็นหญิงงามอย่างที่สุดด้วยใบหน้าหวานดั่งหญิงสาวขององค์ชายใหญ่ทำให้ไม่อาจคิดเป็นอื่น“พี่ห้ากับเสด็จพ่อลูกขอตัวองค์ชายใหญ่ของลูก เพื่อพาลูกไปเดินเที่ยวนอกวังกันองค์ชายใหญ่จะได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง” เจียวซือคล้องแขนจิวซินแน่น ฮ่องเต้พยักหน้าตามใจบุตรสาว จิวซินเชื้อเชิญให้เจียวซือนำหน้าไปก่อนชงไฉ่ ฮุ่ยโม๋และฮุ่ยเจินขยับตัวออกเดินตามไป“ลูกลาท่านพ่อ เราทั้งสามจะตามน้องสิบสี่และองค์ชายใหญ่ยังนอกวัง” องค์ชายห้าเป็นตัวแทนกล่าวคำลา ฮ่องเต้มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาประหลาดนานครั้งที่เขาจะเห็นว่าเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจะพร้อมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นี่หมายความว่าเป็นนิมิตหมายอันดี หากองค์ชายใหญ่สามารถใช้
“ไยต้องกลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้”“เพียงเพื่อเจ้าต้องการเหยียบย่ำใครให้จมพื้นธรณีจึงมีเพียงหนทางบีบบังคับให้จนตรอกอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้นที่เขาเร่งกระทำเพื่อความสาใจ”“เช่นนั้นท่านพ่อจึงให้ลูกไปเถิดเมื่อความจริงปรากฏว่าองค์หญิงแห่งไห่ตงหยวนต้องแต่งงานกับลูกซึ่งเป็นหญิง ความอับอายมิอาจปิดบังได้เมื่อนั้นท่านพ่อก็จะเป็นฝ่ายสาใจไม่แพ้กัน” เหอหยวนครุ่นคิด“ตั้งใจแต่งองค์ชายใหญ่ไปเป็นราชบุตรเขยเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนักและการปกครองตั้งใจรวบรวมสองแคว้นรุ้ทั้งรุ้ว่าข้ามีองคืชายใหญ่เพียงคนเดียวที่จะสืบทอดบัลลังก์เหอตงหยวน”“ให้ลูกไปเพื่อไห่ตงหยวนจะได้อับอาย”ความสำพันธ์ของเขาและไห่หยวนขาดสะบั้นนานแล้วเฝ้าห้ำหั่นกันมานานปีจนบัดนี้พ่ายแพ้แต่ความแค้นเคืองยังคงอยู่“เช่นนั้นเราจะถูกครหาว่าหลอกลวง”“การให้ได้มาซึ่งความสาใจมิใช่จะกระทำสิ่งใดก็ได้ไม่มีกฎเกณฑ์ลูกแบกรับคำครหาไว้เพียงผู้เดียวคราวใดที่ถูกจับได้ลูกพร้อมยอมตายเพื่อให้ความผิดยังอยู่กับลูกตลอดไป” เหอหยวนรู้สึกใจหายกับคำกล่าวของจิวซิน ถึงจะรู้สึกว่านางเป็นลูกสาวซึ่งไม่สมควรจะได้รับความรักเท่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอหากแต่ ความรู้สึกผูกพันย
เจียวซือรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้จิวซินเหลือบตามองจนทั่วศัตรูมากหน้ารายล้อมปลายกระบี่ชี้ลงเบื้องล่างเพียงพริบตากลับตวัดขึ้นฟาดฟันบุรุษไร้ยางอายที่รุมล้อมแกเช่นฝูงหมาป่ากระหายเลือดที่จ้องฉวยโอกาสเมื่อพลาดพลั้ง จะเป็นใครไม่สำคัญเมื่อชักกระบี่ใส่แล้วมันก็คือคู่ต่อสู้ น้ำน้อยไม่อาจเอาชนะไฟได้เช่นไรจิวซินก็ไม่อาจอยู่เหนือฝูงหมาป่ากระหายเลือดได้ร่างบางแม้เพียงขยับก็ถูกคมกระบี่เชือดเฉือน แม้มิใช่จุดสำคัญแต่ความเจ็บปวดทวีคูณ สุดจะทานทน ร่างบางเกือบจะทรุดลงกับพื้น ชิงซายังไม่ส่งสัญญาณให้หยุด ด้วยอคติส่วนตัวชิงซากลับคิดว่าปล่อยให้จิวซินได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง รอยยิ้มเยาะหยันที่ริมฝีปากเหยียดหยันน่ารังเกียจ ดวงตาพร่ามัวเนื่องจากเลือดในกายไหลนองสติเกือบจะดับวูบ ร่างหนึ่งทะยานดังมังกร กระบี่ในมือกางกั้นปกป้องฟาดฟันเหล่าบุรุษรายล้อม ชิงซาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ องค์ชายสิบสองหอบร่างบางทะยานหนี แต่กลับถูกไล่ตาม ชิงซาไม่ทันส่งสัญญาณให้ยุติการทำร้ายพวกมันหาได้สนใจว่าเป็นผู้ใดยังคงไล่ตามไม่ลดละชงไฉ่ พาจิวซินที่บอบซ้ำหลบหลีกพัลวัน ไม่รู้แน่ช
“เจ้ามองสำรวจรอบกายข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทเช่นใดจะนอนเกลือกกลั้วดินโคลน เจ้าหรือก็ใช่ว่าจะสูงส่งก็เพียงแค่บาดเจ็บข้าถึงยอมให้นอนร่วมเตียงได้” จิวซินเผลอยกมือขึ้นหมายฟาดลงบนร่างของชงไฉ่ด้วยความโมโหแต่ช้าไปชงไฉ่คว้าข้อมือไว้ ยื่นหน้ามาใกล้สบตากลมสวยนิ่งตาสองตาประสานสายตาจิวซินแก้มแดงระเรื่อชงไฉ่เองใจเต้นระทึก“เจ้าทำอะไรข้า”“ทำตัวเหมือนมิใช่บุรุษหรือคิดว่าตัวเป็นหญิงงาม เจ้าคิดว่าข้าชงไฉ่อดอยากถึงกับไม่เลือกชายหญิงหรือไร” พูดไปใจก็แกว่งไกวในเมื่อเห็นอยู่ชัดๆ ว่าในใจนั้นปั่นป่วนเมื่ออยู่ใกล้บุรุษเช่นจิ่นเกอคนนี้“ข้ารึมีน้ำใจช่วยเหลือแต่แม้แต่น้ำใจเจ้ายังไม่ตอบกลับกับคิดว่าข้าทำตัวน่ารังเกียจ” จิวซินเชิดหน้าขึ้นไม่สนใจคำพูดของชงไฉ่เห็นชัดว่าเสื้อผ้าของตนหลุดลุ่ย ชงไฉ่จะเห็นเนื้อหนังมากน้อยแค่ไหน“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ”“เกือบเอาชีวิตไม่รอดยังคงหยิ่งทะนงข้านับถือเจ้าเสียจริง”“เพียงแค่นี้ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว สมควรกลับวังหลวงได้แล้วทุกคนเป็นห่วงเจ้าแน่โดยเฉพาะองครักษ์ประจำกายเจ้า” ชงไฉ่หมายถึงจิ่นฉินทุกครั้งที่เขาสังเกตสายตาของจิ่นฉินยามมองมาที่จิ่นเกอผู
“ข้าคิดว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปกับองค์หญิงดีกว่าเมื่อถึงเวลาที่องค์หญิงแต่งกับข้าชงไฉ่ไปแล้วข้าเห็นที่ต้องสั่งสอนว่าฝ่ามือนุ่มๆ ขององค์หญิงมันใช้ลูบไล้ให้คนเป็นสามีเท่านั้นมิใช่มีไว้แสดงว่าองค์หญิงมีวรยุทธ์” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นจิวซินดึงผ้าแพรออกจากในหน้าสวยด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองโมโหตัวเองทีเสียทีให้กับชงไฉ่ เผยให้เห็นใบหน้าหวานสวยจนไร้ที่ติปากคอคิ้วคางที่รับกับใบหน้าและเครื่องสำอางที่แต่งแต้ม ขย้ำผ้าแพรปาทิ้งด้วยความหงุดหงิดยังไม่ทันให้เขาได้รู้ว่าเหอตงหยวนมีเคล็ดวิชาที่น่ากลัวเพียงใดกับโดนเขาย้อนรอยกอดรัดไม่เป็นท่าและที่น่าโมโหกว่านั้นคือจิวซินรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของเขาแม่ปากจะปฏิเสธแต่ใจเจ้ากรรมกลับบอกว่าอยากลิ้มลองมากกว่านั้นเลือดสาวซูบฉีดจนน่ากลัวไม่สิเขามีชายาออกมากมายคงทำไปเพราะความเคยชินไม่ได้รู้สึกกับจิวซินพิเศษอย่างสัมผัสของเขาจิวซินบอกตัวเองไม่ให้หลงเตลิดไปกับสัมผัสอ่อนโยนนั้น คิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้เขาไม่ชอบจิวซินจนถึงกับต้องถอนหมั้นเพื่อยุติเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ให้จบสิ้นไปอากาศข้างนอกหนาวเหน็บจิวซินเผลอหลับใหลภายใต้อากาศเย็นยะเยือกจิวซิน ฟุบหน้าลงบนโต๊ะผมยาวสลวยบดบังใบหน้
แผนการที่วางไว้รัดกุมไม่น้อยยากที่ชงไฉ่องค์รัชทายาทของไห่ตงหยวนจะคาดเดาได้เหอหยวนเดินออกจากตำหนักของจิวซินจนลับตาจิวซินรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้ยินเช่นไรถึงเรียกว่าในเหอตงหยวนแห่งนี้ใครกล้านินทาว่าร้ายองค์หญิงรอง“ชงไฉ่ยิ้มแย้มสมใจคิดว่าอย่างไรเสียต้องเปิดเผยโฉมหน้าของจิวซินให้ได้“เห็นไหมเล่าทุกอย่างช่างเป็นใจเหลือเกินเจ้ากับข้าเราสองต้องได้ทำความคุ้นเคยกันมากกว่าจริงเหอจิวซิน”“องค์ชายคิดว่าอย่างไรจิวซินคงไม่มีทางเลือกหรือคิดว่าอย่างไรเสียจิวซินก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ แต่องค์ชายลองทบทวนดูเถิดว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกไก่ในกำมือที่นี่เหอตงหยวนหาใช่ไห่ตงหยวนที่องค์ชายเป็นถึงองค์รัชทายาทไม่” ชงไฉ่หาได้สนใจคำกล่าวของจิวซินไม่ยังคงมองดูจิวซินที่สารวนอยู่กับการดึงผ้าปิดปากปิดจมูกให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เขาต้องรู้ให้ได้ว่าภายใต้ผ้าแพรผืนนั้นใบหน้าที่ซ่อนอยู่จะงดงามหรืออัปลักษณ์เพียงใด“คำพูดของเจ้าอันไหนจริงอันไหนเท็จข้าชงไฉ่ไม่อาจแยกแยะ”“เช่นนั้นจงรู้ไว้เถิดว่าข้าจิวซินคนนี้ไม่ใช่ลูกไก่”“ข้ากลับไปคราวนี้เห็นทีต้องทูลขอเสด็จพ่อประทานอนุญาตให้ส่งเกี้ยวมารับตัวเจ้าไปดัดนิสัยในตำหนักชงหยวนเสียทีเ
“ปล่อยได้แล้ว องค์รัชทายาทไม่อายคนของท่านหรืออย่างไร” จิวซินพยายามยกมือขึ้นกระชับผ้าแพรบางเบาที่ปิดบังใบหน้าชงไฉ่ทำสีหน้ายียวน“หญิงใดที่เข้าใกล้ข้าชงไฉ่แล้วไม่มีใครปฏิเสธข้าได้เจ้าไยไม่เหมือนหญิงคนอื่นไหนว่าอยากแต่งกับข้ารอข้าส่งเกี้ยวมาจิวซินคิดว่าหากอยู่อย่างนี้ต้องเปลืองตัวแน่ขึงพยายามดิ้นรนแต่ยิ่งเหมือนชงไฉ่ยิ่งแกล้งอ้อมแขนแข็งแรงยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเจ้าเห็นไหมเหอจิวซินข้าไม่เคยรังเกียจใบหน้าอัปลักษณ์ของเจ้า ข้าชงว่าสู้เจ้าเปิดผ้าแพรออกเสียแล้วให้ข้าได้รู้จักเจ้ามากกว่านี้” มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นหมายปลดผ้าที่ปิดบังใบหน้าไว้จิวซินคิดหาหนทางเอาตัวรอด“ฮ่องเต้เสด็จจจจจ” เสียงขันทีขานมาแต่ไกลจิวซินใช้ศอกกระทุ้งชงไฉ่จนหลุดออกมาจากอ้อมกอด“จิวซินถวายพระพรเสด็จพ่อ”“ไห่ชงไฉ่ถวายพระพร เสด็จลุง” เหอหยวนสะบัดชายเสื้อด้วยท่าทียโส จะว่าไปใบหน้าของชงมิแตกต่างจากไห่หยวนยามหนุ่มแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง“ข้าเหอหยวนหวังว่าเจ้าจะได้รับความสะดวกสบายมิใช่น้อยในการเดินทางและพำนักที่เหอตงหยวน”“ข้าชงไฉ่ พำนักในตำหนักองค์หญิงรอง ได้รับความสะดวกอย่างดี”“เราชาวเหอตงหยวนเมื
“องค์รัชทายาทชิงซาด้อยสามารถไม่อาจปกป้ององค์ชายในยามวิกฤติ”“ลุกขึ้นเถิดชิงซา ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหากแต่เป็นพวกมันที่ฉวยโอกาส”“องค์รัชทายาทหมายถึงผู้ใด”“ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันเป็นใครด้วย วรยุทธ์ล้ำลึกและยังไม่เปล่งสำเนียงของแคว้นใดออกมา”“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้ของเหอตงหยวนที่ต้องการสังหารองค์ชายเพื่อแก้แค้นฝ่าบาท” ชงไฉ่หันมองชิงซาเเต็มตา“เสด็จพ่อกับเหอหยวนฮ่องเต้บาดหมางกันเรื่องใด” สายตาคาดคั้น“องค์ชายรู้ไหมว่าเสด็จแม่ขององค์ชายงดงามเพียงใดจึงไม่น่าแปลกใจที่สองสหายฝ่าบาทและเหอหยวนฮ่องเต้จะหมายปองหญิงงามคนเดียวกัน” ชงไฉ่ขมวดคิ้ว“แล้วเหตุใด ท่านพ่อต้องการให้จิ่นเกอและองค์หญิงรองจิวซิน เข้ามาอยู่ในไห่ตงหยวนเล่า”“ฝ่าบาทนั้นเป็นฝ่ายกุมหัวใจของเสด็จแม่ขององค์ชาย ผู้ที่พ่ายแพ้มีอยู่สองอย่างที่พึงกระทำคือหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้และสองคือแค้นเคืองผู้ที่เป็นฝ่ายชนะเช่นนั้นเสด็จพ่อของพระองค์จึงจำเป็นต้องหาทางชดเชยให้แก่เหอหยวนฮ่องเต้เพราะเห็นแก่คำว่าสหาย”“อย่างนี้นี่เององค์ชายใหญ่จิ่นเกอและเหอจิวซินถึงได้ไม่ชอบขี้หน้าข้านัก”“อันนี้ชิงซาคิดว่าเป็นองค์ชายเสียอีก ที่ทรงไม่ชอบ
“ที่เหอตงหยวนมีน้ำพุบำบัดอยากให้องค์รัชทายาทได้ลงไปแช่เพื่อสมานแผลตามแบบของเราให้จิวซินพาองค์ชายไปเถิด” จิวซินเปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน ชงไฉ่เผลอยิ้มที่มุมปากนับว่านางฉลาดล้ำลึกรู้หลบหลีกไม่ปะทะตรงๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับคนอีกคนในตำหนักบูรพา ตอนนี้เองที่ไม่ได้มีความรู้สึกถวิลหาเหมือนก่อนคล้ายกับว่าคุยกับคนผู้เดียวกันพยุงชงไฉ่ลุกจากแท่นนอนอกอุ่นเบียดชิดอกแน่นด้วยมัดกล้าม ชงไฉ่เหลือบตามองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมอย่างลืมตัวจิวซินหลบตาวุ่นวาย ทั้งคู่มาถึงยังบ่อน้ำพุกลางสวนร่มรื่นชงไฉ่ นึกชื่นชมความงามของสวนน้ำพุแห่งนี้“สวยงามเกินกว่าที่ข้าจะคาดเดาได้”“ข้าจิวซินเป็นผู้จัดตกแต่งมันด้วยตัวเอง” ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งเดียวในเหอตงหยวนที่จิวซินจะเร้นกายได้ในยามที่ทุกข์ระทม ชงไม่อยากเชื่อสายตาพี่น้องสองคนนี้มีหลายอย่างที่ทำให้เขาประหลาดใจชงไฉ่หย่อนตัวลงไปในบ่อน้ำพุ แต่ทว่าบ่อกลับลึกเกินกว่าที่เขาคาดคิดจึงลื่นไถลลงไป จิวซินเอื้มมือคว้าแต่ไม่ทันทำเอาทั้งสองคนหล่นโครมลงไปในน้ำพุด้วยกันเสียงดังสนั่นจิวซินยันกายลุกขึ้นได้ก่อนควานหาตัวของชงไฉ่ที่ยังอยู่ในน้ำอาภรณ์บางเบาไม่อาจปกปิดเรือนร่างที่อวบอ
“ทำไม่ไม่เอ่ยปากสักคำเล่าข้าป้อนท่านก็ได้” จิวซินนึกเป็นห่วงชงไฉ่ไม่น้อยคิดว่าตัวเองเล่นแรงไปหน่อยเมื่อวานเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรแล้วยังบาดเจ็บอีกยกชามข้าวต้มในมือขึ้นจ่อริมฝีปากขององค์ชายสิบสอง กลิ่นหอมนั้นทำเอาชงไฉ่ถึงกับกลืนน้ำลาย“ความกตัญญูของบุรุษคือล้างแค้นแทนพ่อ ความกตัญญูของลูกสาวคือการปรนนิบัติคนในครอบครัว” จิวซินตักข้าวต้มส่งถึงปากชงไฉ่ความหิวนั้นอาจไม่ถึงกับฆ่าคนแต่สามารถทำให้คนถูกฆ่าได้ ชงไฉ่กินอาหารด้วยความหิวโหยรสชาติที่ดีอยู่แล้วของเครื่องเทศของเหอตงหยวนยิ่งทำให้อาหารอร่อยจิวซินมองชงไฉ่คิดหาแผนการที่จะทำให้ชงไฉ่เห็นความร้ายกาจของจิวซิน“องค์หญิงอาหารของเหอตงหยวนรสชาติดีไม่เลว”“ท่านก็ว่าเช่นนั้นใช่ไหมเห็นไหมเล่าเสี่ยวถังเจ้าหาว่าข้ากินจุความจริงทุกอย่างที่นี่อร่อยข้าถึงกินไม่หยุด”“องค์หญิงหญิงงามกินแต่น้อย ไม่เช่นนั้น...”“เจ้าไม่ต้องกังวลเสี่ยวถัง ก็ในเมื่อองค์รัชทายาทเขาอย่างไรเสียต้องแต่งกับข้าแน่นอนข้าไม่จำเป็นต้องห่วงว่าข้าจะ...ไม่มีสวามี555” หัวเราะเสียงดังสนั่นโดยไม่มีอาการสำรวมแต่อย่างใดชงไฉ่รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรพิกลจนแทบจะสำลักนางช่างต่างจากองค์ชายใหญ่จ
จิวซิน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอาภรณ์ขององค์หญิงไม่ลืมที่จะหยิบผ้าแพรฝืนบางเบาคาดปิดใบหน้าครึ่งปากครึ่งจมูกทรุดตัวลงนั่งข้างชงไฉ่ บรรจงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ดึกสงัดจิวซินเผลอฟุบหลับพร้อมกับผ้าเช็ดตัวในมือด้วยความง่วงและความอ่อนเพลียจากการเดินทางชงไฉ่งัวเงียอาการเจ็บแปลบที่แผลทำเอาไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นได้กลอกตาไปมารอบๆ จนสะดุดเข้ากับร่างบางในอาภรณ์สีสวยสดข้างกาย ใบหน้างดงามแต่ถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าแพรบางเบา ความสงสัยไม่อาจอดกลั้นได้ ชงเอื้อมมือหมายปลดผ้าแพรบนใบหน้างามที่มองขัดตาเหลือเกิน แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อมมือไปจับชายผ้าได้จิวซินกลับตื่นขึ้นมาเสียก่อน ปัดมือของชงไฉ่อย่างแรงด้วยความตกใจ“ใบหน้าข้าอัปลักษณ์ยิ่ง ท่านไม่สมควรจะได้เห็นมัน” ชงไฉ่หดมือกลับ“แม่นางขอบคุณที่ช่วยข้าไว้แม่นางมีชื่อแซ่ว่าอย่างไร”“ข้าจิวซินองค์หญิงรองของเหอตงหยวน หวังว่าท่านคงจะเคยได้ยิน” ชงไฉ่ตะลึงมอง คำพูดของจิ่นเกอที่เขาได้ยินว่าน้องสาวร่วมบิดาใบหน้าขี้ริ้วกิริยาหยาบกระด้างไม่อาจปฏิเสธได้“ข้าชงไฉ่องค์ชายสิบสององค์รัชทายาทของไห่ตงหยวนยินดีที่พบองค์หญิงรอง” ชงไฉ่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังฐานะของตนเองในเมื่อ
การเดินทางรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อสองข้างทางแม้จะรกเรือหากแต่ทางที่ไปนับว่าสะดวกสบายเหลืออีกไม่กี่ลี้ก็จะเข้าเขตแดนของเหอตงหยวนซิงซาบังคับม้าให้หยุด“องค์ชายเบื้องหน้าเป็นเขตแดนของเหอตงหยวนแล้วเราพักที่นี่เสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”“เร่งเดินทางดีกว่าซิงซาอาจมีโรงเตี้ยมสักแห่งให้พักแรมดีกว่านอนกลางป่าเขา” ซิงซากระตุกม้าให้ตะบึงแทนคำตอบทั้งคู่ เข้าสู่ชายแดนเหอตงหยวนดวงอาทิตย์เริ่มอัสดงคล้อยแสงต่ำลงหาได้พบโรงเตี้ยมอย่างที่คิดไว้ไม่ชงไฉ่กระตุกม้าเร่งความเร็วจนเคียงคู่ม้าของซิงซา“คงต้องพักค้างแรมเสียแล้วม้าและเราทั้งคู่เหนื่อยล้ามากคงต้องพักเสียที่นี่ไม่มีโรงเตี้ยมอย่างที่คิดไว้”“องค์ชายซิงซาจะหายิงไก่ป่ามาย่าง” ซิงซาอาสาคว้าธนูมาถือไว้มั่นเหมาะควบม้าจากไปชงไฉ่หากิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟ ตัดกิ่งไม้มาปูนั่งรอซิงซาความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณแสงสุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าซิงซาควบม้าตะบึงตามกระต่ายไปหาใช่ไก่ป่าไม่จนเข้าไปในดงไผ่หนาทึบ วกวน หาทางออกไม่เจอ ควบม้าวนไปวนมาจนเหนื่อยล้ามือสังหารนับสิบกรูกันเข้ามาล้อมกรอบชงไฉ่ไว้กระบี่ในมือไม่อาจดูดายถูกชักออกจากฝักด้วยท่วงท่าสง่างามเข้าพันตุด้วยไม
ชายาเอกเหตุใดต้องเป็นคนของเหอตงหยวนแต่ไม่อาจมีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาได้แต่ก้มหน้านิ่ง“ท่านคิดว่าอย่างไรเสีย ก็ยังปักใจให้จิวซินน้องเป็นชายาเอกเช่นนั้นหรือ”“ไม่เป็นการอยุติธรรมไปหน่อยหรือหากข้าจะรีบตัดสินน้องของท่านเพียงเพราะคำพูดของท่านเท่านั้นองค์ชายใหญ่” ชงไฉ่แสดงให้เห็นถึงความเป็นบุรุษอย่างแท้จริงที่ไม่อาจตัดสินหญิงใดเพียงแค่คำนินทา จิวซินเผลอยิ้มด้วยความพึงใจ“ดีเช่นนั้นท่านต้องได้พานพบนางอย่างแน่นอนเมื่อนั้นค่อยตัดสินนางยังไม่สาย” ยกชาขึ้นจิบละเมียดรสชาที่ขมปนฝาดเยว่ฉีเหลือบตามองจิวซินอย่างค้นคว้าแม่เป็นสตรีหากแต่นางก็ไม่สามารถมองออกได้ว่าจิวซินมิใช่บุรุษอย่างแท้จริงจิวซินระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวเพราะกิริยาบางอย่างมีเพียงอิสตรีด้วยกันเท่านั้นที่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ องอาจงดงามมิเสียแรงที่ทั่วทั้งวังกล่าวขานถึงความองอาจของท่าน” เยว่ฉีลองหยั่งเชิงดู“แม่นางเยว่ฉี กล่าวเช่นนี้องค์รัชทายาทจะเคืองขุ่นเมื่อภรรยากับเห็นผู้อื่นองอาจกว่าคนที่ร่วมเตียงทุกคืนวัน” ชงไฉ่อมยิ้มกับคำกล่าวของจิวซิน เยว่ฉีทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดผิด