“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง ข้าจิ่นเกอ แม้จะเก่งกล้าเพียงใดก็แค่เพียงธนูแต่ฝีมือกระบี่กลับไม่สามารถเอาชนะองค์รัชทายาทได้เป็นฝ่ายที่ต้องเพลี่ยงพล้ำ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ชงไฉ่เหลือบตามองจิวซิน นึกชื่นชมที่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ยกตนข่มท่าน
“คราวก่อนที่ข้าเห็น เจ้าสิบสองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมิใช่หรือ”
“อาจเป็นเพราะน้องสิบสองตั้งใจฝึกฝน จึงสามารถเอาชนะองค์ชายใหญ่ที่เยี่ยมยุทธ์ได้” ฮ่องเต้ยิ้มพึงใจกับคำกล่าวนั้น
“เจ้าสิบสองมิเสียแรง บัดนี้องค์ชายใหญ่ มาอยู่ที่นี่ในฐานะราชบุตรเขย ทำให้ข้ารู้สึกสำราญใจ หนำซ้ำยังสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่พวกเจ้าเหล่าองค์ชายองค์หญิงในทางที่ดีเช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในไม่ช้าเมื่อเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์ ข้าได้มีบัญชาถึงเหอตงหยวนเรื่องการทาบทามองค์หญิง..จิวซิน...ธิดาคนเล็กมา รั้งตำแหน่งฮองเฮาแก่เจ้าเพื่อสานสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าคิดอ่านเช่นใด ชงไฉ่”
ชงไฉ่อ้าปากค้าง องคืชายสิบสามรีบสะกิดเพื่อให้ชงไฉ่ไม่เผลอทำตามใจจนไห่หยวนไม่พอใจ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด หากสิ่งใดที่เสด็จพ่อเห็นสมควรลูกมิขัดข้อง” ”ชงไฉ่พูดไปตามสิ่งที่ควรพูด
จิวซินรู้สึกหูอื้อตาลายเกือบจะเผลอตัวปฏิเสธบัญชาของฮ่องเต้ นึกไปถึงเหอหยวนว่าจะมีท่าทีเช่นไรเมื่อได้รับราชโองการคงทุกข์ใจไม่น้อย
“น้องสาวข้าจิวซินกิริยาหยาบกระด้างใบหน้าขี้ริ้วไม่แน่ว่าองค์รัชทายาทจะพึงใจนาง” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เสียงร่ำลือว่านางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง งามสิบในสิบส่วนใต้หล้านี้หาหญิงใดเปรียบเปรย”
“นางยังได้ชื่อว่าร่างกายป่วยไข้พิกลพิการ ไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทและตำแหน่งฮองเฮา” ฮ่องเต้ อดคิดไม่ได้ว่าหรือจะเป็นเพราะต่างมารดากันทำให้องค์ชายใหญ่ไม่ใคร่จะรักใคร่น้องร่วมบิดาเท่าที่ควรคงต้องสืบหาข้อเท็จจริงกันต่อไป
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องไตร่ตรองเช่นเจ้าว่าแต่ราชโองการป่านฉะนี้คงส่งถึงเหอตงหยวนไปแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
จิวซินใบหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฮ่องเต้กลับคิดว่าเป็นเพราะความริษยาที่ทำให้องค์ชายใหญ่ผู้นี้ เพียงคิดว่าน้องร่วมบิดากลับได้รั้งตำแหน่งฮองเฮาแต่เขากลับเป็นเพียงราชบุตรเขยเท่านั้น หรือเป็นเพราะเขามองคนผู้นี้ผิดไปจากที่ควรจะเป็น
“ลูกอาสา รับหน้าที่สืบความเรื่ององค์หญิงจิวซินของเหอตงหยวนเอง ขอเสด็จพ่อและน้องสิบสองอย่าได้เป็นกังวล” องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋อาสาแข็งขัน
“อย่าได้เร่งรีบถึงเพียงนั้นข้าเพียงแต่ได้ข่าวเรื่องการป่วยไข้ของนางเช่นกัน”
ฮ่องเต้พยายามดูท่าทีของจิวซินในฐานะองค์ชายใหญ่ว่าจะมีท่าทีเช่นไร
“นางยังคงอยู่ในตำหนักมิได้ย่างกรายไปไหน ด้วยอาการป่วยไข้ของนาง” จิวซินพูดในสิ่งที่ซักซ้อมมา
“ข้าอยากชมฝีมือยิงธนูขององค์ชายใหญ่แล้วเรื่ององค์หญิงน้องสาวเจ้าไว้คุยกันคราวหน้า” จิวซินถอยห่างออกไปยังลานธนู ความคิดสับสนวุ่นวายทุกอย่างเหมือนเชือกที่ผูกติดกับคันธนูที่ขึงเกรียวให้ตึงหากดึงรั้งมากไปย่อมขาดสะบั้น
ออกแรงดึงคันศรให้โค้งงอหลับตาซ้ายเล็งยังเป้าแม้จิตใจสับสนแต่ฝีมือและการฝึกฝนยังให้ผลที่ดีลูกศรพุ่งยังจุดกึ่งกลางแม่นเหมือนจับวางมิมีผิดเพี้ยน
ฮ่องเต้ตบเข่าฉาดใหญ่
“เยี่ยมยุทธ์เยี่ยมยุทธ์” เสียงฮือฮาดังรอบลานธนูจิวซินยกมือคารวะด้วยความนอบน้อม เจียวซือกระโดดตัวลอย
“เสด็จพ่อข้าอยากลองยิงดูบ้างเสด็จพ่อให้องค์ชายใหญ่สอนข้าบ้างจะได้ไหม” ส่งเสียงออดอ้อนบิดา ฮ่องเต้ยิ้มแต่องค์ชายทั้งสามกลับขมวดคิ้วด้วยความอิดหนาระอาใจกับความเอาแต่ใจของเจียวซือ ฮ่องเต้พยักหน้าไปมา จิวซินเอี่ยวตัวดึงเจียวซือเข้ามาในอ้อมกอดจับมือเล็ก สอนการเหนี่ยวคันธนู กระซิบเบาที่ข้างหู
“องค์หญิงเพียงแค่ ปล่อยให้ข้าจัดการเองเพียงแต่ยืนเป็นกำลังใจในอ้อมกอดก็พอ” เจียวซือตัวเบาหวิวด้วยคำหวาน
ชงไฉ่มองภาพตรงหน้าแบบขัดตา องค์ชายห้าเมินหน้าหนี องค์ชายสิบสามกับรู้สึกชื่นชมเต็มกำลัง
จิวซินเหนี่ยวคันธนูที่มีเจียวซือช่วยจับคันไว้อย่างมาดมั่น เสียงลูกธนูแหวกอากาศออกไปตรงเป้าเคียงข้างลูกดอกลูกแรกหลายคนตบมือเพราะต่างก็รู้ว่าองค์หญิงเจียวซือเป็นที่โปรดปรานเพียงใด
“ไม่เลวไม่เลวข้าชื่นชม การร่ายรำกระบี่ หากแต่คันธนูที่โค้งงอในมือเจ้าก็ชวนหลงใหลมิใช่น้อย”
แววตาชื่นชมจริงจัง จิวซินปล่อยมือจากเจียวซือประสานมือคารวะฮ่องเต้นอบน้อม
“ฝ่าบาทกล่าวเกินไปแล้วจิ่นเกอ เพียงแต่มีความถนัดในด้านธนูมากกว่าสิ่งใดเนื่องจากท่านแม่....เป็นผู้ฝึกสอน” จิวซินไม่ได้กล่าวคำเท็จมารดาเป็นคนสอนเหนี่ยวคันธนูเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามารดาขององค์ชายใหญ่มีความถนัดในด้านการแม่นธนูมาก่อน เช่นนั้นนับว่าเจ้ากับมารดามีความเหมือนกันไม่น้อย”
จิวซินเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองพลาดเสียแล้วด้วยมารดาของจิ่นเกอจริงๆ นั้นไม่ชอบการรบพุ่งนางเป็นหญิงงามที่เพียบพร้อมและอ่อนหวานผิดกับมารดาของจิวซินที่เป็นหญิงชาวบ้าน ถนัดการท่องเที่ยวล่าสัตว์บนหลังม้าด้วยธนู“ข้าฮุ่ยโม๋อยากเห็น มารดาขององค์ชายใหญ่ยิ่งนัก นางคงทั้งงดงามอ่อนหวานและองอาจในเวลาเดียวกันไม่ต่างจากองค์ชายใหญ่” คำชมที่เผลอไผลออกไป ซึ่งตรงกับใจของชงไฉ่ที่คิดว่ามารดาขององค์ชายใหญ่จิ่นเกอผู้นี้คงเป็นหญิงงามอย่างที่สุดด้วยใบหน้าหวานดั่งหญิงสาวขององค์ชายใหญ่ทำให้ไม่อาจคิดเป็นอื่น“พี่ห้ากับเสด็จพ่อลูกขอตัวองค์ชายใหญ่ของลูก เพื่อพาลูกไปเดินเที่ยวนอกวังกันองค์ชายใหญ่จะได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง” เจียวซือคล้องแขนจิวซินแน่น ฮ่องเต้พยักหน้าตามใจบุตรสาว จิวซินเชื้อเชิญให้เจียวซือนำหน้าไปก่อนชงไฉ่ ฮุ่ยโม๋และฮุ่ยเจินขยับตัวออกเดินตามไป“ลูกลาท่านพ่อ เราทั้งสามจะตามน้องสิบสี่และองค์ชายใหญ่ยังนอกวัง” องค์ชายห้าเป็นตัวแทนกล่าวคำลา ฮ่องเต้มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาประหลาดนานครั้งที่เขาจะเห็นว่าเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจะพร้อมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นี่หมายความว่าเป็นนิมิตหมายอันดี หากองค์ชายใหญ่สามารถใช้
“ไยต้องกลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้”“เพียงเพื่อเจ้าต้องการเหยียบย่ำใครให้จมพื้นธรณีจึงมีเพียงหนทางบีบบังคับให้จนตรอกอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้นที่เขาเร่งกระทำเพื่อความสาใจ”“เช่นนั้นท่านพ่อจึงให้ลูกไปเถิดเมื่อความจริงปรากฏว่าองค์หญิงแห่งไห่ตงหยวนต้องแต่งงานกับลูกซึ่งเป็นหญิง ความอับอายมิอาจปิดบังได้เมื่อนั้นท่านพ่อก็จะเป็นฝ่ายสาใจไม่แพ้กัน” เหอหยวนครุ่นคิด“ตั้งใจแต่งองค์ชายใหญ่ไปเป็นราชบุตรเขยเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนักและการปกครองตั้งใจรวบรวมสองแคว้นรุ้ทั้งรุ้ว่าข้ามีองคืชายใหญ่เพียงคนเดียวที่จะสืบทอดบัลลังก์เหอตงหยวน”“ให้ลูกไปเพื่อไห่ตงหยวนจะได้อับอาย”ความสำพันธ์ของเขาและไห่หยวนขาดสะบั้นนานแล้วเฝ้าห้ำหั่นกันมานานปีจนบัดนี้พ่ายแพ้แต่ความแค้นเคืองยังคงอยู่“เช่นนั้นเราจะถูกครหาว่าหลอกลวง”“การให้ได้มาซึ่งความสาใจมิใช่จะกระทำสิ่งใดก็ได้ไม่มีกฎเกณฑ์ลูกแบกรับคำครหาไว้เพียงผู้เดียวคราวใดที่ถูกจับได้ลูกพร้อมยอมตายเพื่อให้ความผิดยังอยู่กับลูกตลอดไป” เหอหยวนรู้สึกใจหายกับคำกล่าวของจิวซิน ถึงจะรู้สึกว่านางเป็นลูกสาวซึ่งไม่สมควรจะได้รับความรักเท่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอหากแต่ ความรู้สึกผูกพันย
เจียวซือรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในอ้อมแขนของบุรุษผู้นี้จิวซินเหลือบตามองจนทั่วศัตรูมากหน้ารายล้อมปลายกระบี่ชี้ลงเบื้องล่างเพียงพริบตากลับตวัดขึ้นฟาดฟันบุรุษไร้ยางอายที่รุมล้อมแกเช่นฝูงหมาป่ากระหายเลือดที่จ้องฉวยโอกาสเมื่อพลาดพลั้ง จะเป็นใครไม่สำคัญเมื่อชักกระบี่ใส่แล้วมันก็คือคู่ต่อสู้ น้ำน้อยไม่อาจเอาชนะไฟได้เช่นไรจิวซินก็ไม่อาจอยู่เหนือฝูงหมาป่ากระหายเลือดได้ร่างบางแม้เพียงขยับก็ถูกคมกระบี่เชือดเฉือน แม้มิใช่จุดสำคัญแต่ความเจ็บปวดทวีคูณ สุดจะทานทน ร่างบางเกือบจะทรุดลงกับพื้น ชิงซายังไม่ส่งสัญญาณให้หยุด ด้วยอคติส่วนตัวชิงซากลับคิดว่าปล่อยให้จิวซินได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง รอยยิ้มเยาะหยันที่ริมฝีปากเหยียดหยันน่ารังเกียจ ดวงตาพร่ามัวเนื่องจากเลือดในกายไหลนองสติเกือบจะดับวูบ ร่างหนึ่งทะยานดังมังกร กระบี่ในมือกางกั้นปกป้องฟาดฟันเหล่าบุรุษรายล้อม ชิงซาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ องค์ชายสิบสองหอบร่างบางทะยานหนี แต่กลับถูกไล่ตาม ชิงซาไม่ทันส่งสัญญาณให้ยุติการทำร้ายพวกมันหาได้สนใจว่าเป็นผู้ใดยังคงไล่ตามไม่ลดละชงไฉ่ พาจิวซินที่บอบซ้ำหลบหลีกพัลวัน ไม่รู้แน่ช
“เจ้ามองสำรวจรอบกายข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทเช่นใดจะนอนเกลือกกลั้วดินโคลน เจ้าหรือก็ใช่ว่าจะสูงส่งก็เพียงแค่บาดเจ็บข้าถึงยอมให้นอนร่วมเตียงได้” จิวซินเผลอยกมือขึ้นหมายฟาดลงบนร่างของชงไฉ่ด้วยความโมโหแต่ช้าไปชงไฉ่คว้าข้อมือไว้ ยื่นหน้ามาใกล้สบตากลมสวยนิ่งตาสองตาประสานสายตาจิวซินแก้มแดงระเรื่อชงไฉ่เองใจเต้นระทึก“เจ้าทำอะไรข้า”“ทำตัวเหมือนมิใช่บุรุษหรือคิดว่าตัวเป็นหญิงงาม เจ้าคิดว่าข้าชงไฉ่อดอยากถึงกับไม่เลือกชายหญิงหรือไร” พูดไปใจก็แกว่งไกวในเมื่อเห็นอยู่ชัดๆ ว่าในใจนั้นปั่นป่วนเมื่ออยู่ใกล้บุรุษเช่นจิ่นเกอคนนี้“ข้ารึมีน้ำใจช่วยเหลือแต่แม้แต่น้ำใจเจ้ายังไม่ตอบกลับกับคิดว่าข้าทำตัวน่ารังเกียจ” จิวซินเชิดหน้าขึ้นไม่สนใจคำพูดของชงไฉ่เห็นชัดว่าเสื้อผ้าของตนหลุดลุ่ย ชงไฉ่จะเห็นเนื้อหนังมากน้อยแค่ไหน“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ”“เกือบเอาชีวิตไม่รอดยังคงหยิ่งทะนงข้านับถือเจ้าเสียจริง”“เพียงแค่นี้ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว สมควรกลับวังหลวงได้แล้วทุกคนเป็นห่วงเจ้าแน่โดยเฉพาะองครักษ์ประจำกายเจ้า” ชงไฉ่หมายถึงจิ่นฉินทุกครั้งที่เขาสังเกตสายตาของจิ่นฉินยามมองมาที่จิ่นเกอผู
จิ่นฉิน สะกดรอยตามจิ่นเกอออกไปนอกวังด้วยคุ้นชินกับลักษณะท่าทางของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือองค์หญิงสิบสี่ ใบหน้าถูกปิดบังด้วยหมวกใบใหญ่จนไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด ชักกระบี่จ่อที่ลำคอก่อนที่จิ่นเกอจะพ้นกำแพงยาวทอดสู่บ้านเรือนหนาทึบ“ท่านเป็นใครเผยตัวตนของท่านออกมา” จิ่นเกอหายอมไม่ ซัดฝ่ามือเข้าที่ข้อแขนทำเอากระบี่ในมือของจิ่นฉินร่วงหล่นลงพื้นการประมือจึงเริ่มขึ้น“โปรดยั้งมือด้วยองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ” จิ่นฉินจำกระบวนท่าของจิ่นเกอได้ไม่ลืม จิ่นเกอส่งกระบี่เข้าไปในฝัก ใช้มือดันหมวกขึ้นเพื่อเผยให้เห็นใบหน้า“เป็นเจ้าที่ไม่อาจจำข้าได้” จิ่นฉินประสานมือคารวะ“จิ่นฉินมีตาหามีแวว” จิ่นเกอตบบ่าเบาๆ“น้องสาวข้าจิวซินนางเป็นเช่นไร”“องค์หญิงนางหายไปพร้อมกับองค์รัชทายาทในคราวที่ออกไปนอกวังเป็นข้าจิ่นฉินที่ละเลยคิดไม่ถึงว่านางจะมีภัย”“อย่ากล่าวโทษตัวเองเลยจิวซินใช่ว่าจะไร้ฝีมือเสียทีเดียวหากแต่วรยุทธ์ของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใดคงเอาตัวรอดได้ไม่ยากว่าผู้ใดกันที่คิดปองร้ายนาง”“ในวังหลวงแห่งนี้ชั่วดีไม่อาจแบ่งแยก ข้าจิ่นฉินหวั่นใจไม่น้อย”“ข้าวางใจให้เจ้าดูแลปกป้องนางก็เพียงเพราะรู้ว่าเจ้าต้องดูแลนางแทนข้าไ
จิวซินมองตามท่วงท่าคุ้นชินที่จากไปด้วยความแคลงใจจิ่นฉินพยุงจิวซินที่ร่างหายอ่อนแอพาแยกไปยังตำหนักบูรพา“ข้าเชิญหมอหลวงที่ตำหนักบูรพาให้ดูอาการเจ้า องค์ชายใหญ่” องค์ชายห้าพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยเหลือกำลัง“เหอตงหยวนมียาสมานแผลชั้นเลิศไม่รบกวนท่านแล้วเราสมานแผลในแบบของเหอตงหยวน”“เหอจิ่นเกอ เจ้ากลัวว่ายาที่ให้จะไม่ปลอดภัย หรือว่าไม่ไว้ใจเรา” องค์ชายสิบสองมองผ่านในการที่จิ่นฉินประคองจิวซินรู้สึกไม่ชอบใจนัก“องค์ชายสิบสองกล่าวเกินไปแล้วข้าเพียงแต่ไม่อยากรบกวนพวกท่าน”“เช่นนั้นก็สุดแล้วแต่ท่านเรื่องบางเรื่องไม่อาจฝืนใจ ไห่ตงหยวนถือว่าไม่ไร้น้ำใจแล้ว”ต่างแยกย้ายกันไปชงไฉ่ยังคงถือเอาอาภรณ์ของจิวซินติดตัวไปด้วยองค์ชายห้ามองจิ่นฉินที่โอบรอบเอวของจิวซินด้วยสายตาขุ่นมัว“องค์หญิงพวกที่ลอบทำร้ายท่านท่านรู้ที่มาที่ไปหรือไม่” จิ่นฉินถาม“ข้าไม่อาจรู้ได้ฝีมือพวกมันร้ายกาจและมีการวางแผนมาก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน” จิ่นฉินครุ่นคิดหาสาเหตุของการลอบทำร้าย“ตอนนี้เราไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นมิตรและศัตรูที่แท้จริง”“เจ้าหมายความว่า”“องค์ชายสิบสององค์รัชทายาทเองไม่ชอบท่านตั้งแต่ท่านเข้าวัง ส่วนองค์ชายห้าแน่น
กอดจากด้านหลังซบใบหน้ากับแผ่นหลังทุกทีไม้นี้ใช้ได้ผลหากเป็นตอนนี้กลับไม่มีผลใดๆ“องค์ชายใหญ่ปฏิเสธหมอหลวงในการรักษาข้าเห็นสมควรว่าต้องนำยาสมานแผลไปแสดงน้ำใจ”“หากฮ่องเต้ไม่มีราชโองการให้ท่านเสกสมรสกับองค์หญิงรองของเหอตงหยวนท่านยังคงจะเป็นแบบนี้ไหม”“เจ้าเลอะเลือนแล้วเยว่ฉีข้าเพียงแต่...แสดงน้ำใจในฐานะสหาย” ใจไหววูบ“ท่านใส่ใจองค์ชายใหญ่จิ่นเกอเกินไปทั้งยังพาตัวเองไปพบกับอันตรายเยว่ฉีว่าท่านควรห่างๆองคืชายใหญ่ไว้จึงดี”“เจ้าแล้งน้ำใจเยี่ยงนี้ข้าไม่ชมชอบหญิงงามแต่เพียงภายนอกแต่ภายในกลับหาความจริงใจไม่พบพาน” สะบัดตัวออกเดินจากไป เยว่ฉียืนสะอื้นไห้อยู่ตรงนั้น“เรื่องเร่งด่วนข้ามอบให้เจ้าจัดการ” ไห่หยวนฮ่องเต้มีบัญชาขันทีเฒ่าคุกเข่าเบื้องหน้า “ฝ่าบาทองค์ชายสิบสองรูปงามสมกับบุรุษ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลพระทัย” ไห่หยวนฮ่องเต้ถอนหายใจยาว“รูปงามหากแต่ไม่ใส่ใจบ้านเมืองไม่ขยันศึกษาเล่าเรียนวันๆ ห้อมล้อมด้วยหญิงงามไม่ใฝ่หาวิชาใส่ตัวผิดกับองค์ชายห้าที่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาพูดน้อยสำรวมจึงขึ้นชื่อว่าบุรุษรูปงามทั้งภายในและภายนอก”“อาจเป็นที่องค์ชายสิบสองยังทรงพระเยาว์หากวันใดขึ้นนั่งบัลลังก์พระองค์จะท
มืออุ่นเชยคางมนขึ้นมาเพื่อจะได้พิศใบหน้าให้ชัดเจน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับบอกชงไฉ่ว่าเขาคือองค์ชายใหญ่แห่งเหอตงหยวน"เฮ้อ"จิวซินหญิงงามผู้ซึ่งไร้รัก โหยหาความรักจากบิดาและมองบุรุษแค่สิ่งมากรักที่มักจะอ้างรักเพื่อความชอบะรรมในการได้เชนชมร่างกายของหญิงงามหาได้สมัครรักใคร่เช่นรักแท้ไม่ แค่เพียงลมพัดผ่านแต่กระนั้นเมื่อมาพบกับชงไฉ่จิวซินนางกลับรู้สึกว่าตัวนางเองไม่อาจบังคับหรือห้ามตัวเองให้ชื่นชอบให้ชงไฉ่ได้จะด้วยอะไรก็แพ้ใจตัวเองถึงจะพยายามสร้างกำแพงความเกลียดชังขึ้นมา แต่ก็ถูกพังลงด้วยคำว่ารักแท้ของชงไฉ่"พ่อบุญธรรมสืบข่าวเรื่ององค์หญิงจิวซินที่นอนป่วยไร้เรี่ยวแรงที่ไห่ตงหยวนให้ข้าด้วย”“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอใบหน้าหมดจด นางเองคงมีรูปโฉมไม่ต่างไป ข้าได้ข่าวว่าอ๋องห้าฮุ่ยโม๋รับอาสาสืบเรื่องของนางเจ้ามิต้องกังวลไปองค์ชาย12นิยมสาวงามก็จริงแต่ไม่นานก็เบื่อหน่ายไม่มีนางในคนใดเป็นที่ตรึงใจได้นานเช่นเจ้าเยว่ฉีหากองค์หญิงจิวซินใบหน้ามิต่างจากองค์ชายใหญ่จริงองค์ชายสิบสองก็คงแค่เพียงอยากได้มาครอบครองเหมือนเช่นทุกครั้งปล่อยให้มันผ่านไปแต่การเอาใจใส่และเป็นหนึ่งในตำหนักนี้ก็มีเพียงเจ้าอยู่แล้วเยว่ฉี
“ข้าคิดว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไปกับองค์หญิงดีกว่าเมื่อถึงเวลาที่องค์หญิงแต่งกับข้าชงไฉ่ไปแล้วข้าเห็นที่ต้องสั่งสอนว่าฝ่ามือนุ่มๆ ขององค์หญิงมันใช้ลูบไล้ให้คนเป็นสามีเท่านั้นมิใช่มีไว้แสดงว่าองค์หญิงมีวรยุทธ์” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นจิวซินดึงผ้าแพรออกจากในหน้าสวยด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองโมโหตัวเองทีเสียทีให้กับชงไฉ่ เผยให้เห็นใบหน้าหวานสวยจนไร้ที่ติปากคอคิ้วคางที่รับกับใบหน้าและเครื่องสำอางที่แต่งแต้ม ขย้ำผ้าแพรปาทิ้งด้วยความหงุดหงิดยังไม่ทันให้เขาได้รู้ว่าเหอตงหยวนมีเคล็ดวิชาที่น่ากลัวเพียงใดกับโดนเขาย้อนรอยกอดรัดไม่เป็นท่าและที่น่าโมโหกว่านั้นคือจิวซินรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของเขาแม่ปากจะปฏิเสธแต่ใจเจ้ากรรมกลับบอกว่าอยากลิ้มลองมากกว่านั้นเลือดสาวซูบฉีดจนน่ากลัวไม่สิเขามีชายาออกมากมายคงทำไปเพราะความเคยชินไม่ได้รู้สึกกับจิวซินพิเศษอย่างสัมผัสของเขาจิวซินบอกตัวเองไม่ให้หลงเตลิดไปกับสัมผัสอ่อนโยนนั้น คิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้เขาไม่ชอบจิวซินจนถึงกับต้องถอนหมั้นเพื่อยุติเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ให้จบสิ้นไปอากาศข้างนอกหนาวเหน็บจิวซินเผลอหลับใหลภายใต้อากาศเย็นยะเยือกจิวซิน ฟุบหน้าลงบนโต๊ะผมยาวสลวยบดบังใบหน้
แผนการที่วางไว้รัดกุมไม่น้อยยากที่ชงไฉ่องค์รัชทายาทของไห่ตงหยวนจะคาดเดาได้เหอหยวนเดินออกจากตำหนักของจิวซินจนลับตาจิวซินรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้ยินเช่นไรถึงเรียกว่าในเหอตงหยวนแห่งนี้ใครกล้านินทาว่าร้ายองค์หญิงรอง“ชงไฉ่ยิ้มแย้มสมใจคิดว่าอย่างไรเสียต้องเปิดเผยโฉมหน้าของจิวซินให้ได้“เห็นไหมเล่าทุกอย่างช่างเป็นใจเหลือเกินเจ้ากับข้าเราสองต้องได้ทำความคุ้นเคยกันมากกว่าจริงเหอจิวซิน”“องค์ชายคิดว่าอย่างไรจิวซินคงไม่มีทางเลือกหรือคิดว่าอย่างไรเสียจิวซินก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ แต่องค์ชายลองทบทวนดูเถิดว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกไก่ในกำมือที่นี่เหอตงหยวนหาใช่ไห่ตงหยวนที่องค์ชายเป็นถึงองค์รัชทายาทไม่” ชงไฉ่หาได้สนใจคำกล่าวของจิวซินไม่ยังคงมองดูจิวซินที่สารวนอยู่กับการดึงผ้าปิดปากปิดจมูกให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เขาต้องรู้ให้ได้ว่าภายใต้ผ้าแพรผืนนั้นใบหน้าที่ซ่อนอยู่จะงดงามหรืออัปลักษณ์เพียงใด“คำพูดของเจ้าอันไหนจริงอันไหนเท็จข้าชงไฉ่ไม่อาจแยกแยะ”“เช่นนั้นจงรู้ไว้เถิดว่าข้าจิวซินคนนี้ไม่ใช่ลูกไก่”“ข้ากลับไปคราวนี้เห็นทีต้องทูลขอเสด็จพ่อประทานอนุญาตให้ส่งเกี้ยวมารับตัวเจ้าไปดัดนิสัยในตำหนักชงหยวนเสียทีเ
“ปล่อยได้แล้ว องค์รัชทายาทไม่อายคนของท่านหรืออย่างไร” จิวซินพยายามยกมือขึ้นกระชับผ้าแพรบางเบาที่ปิดบังใบหน้าชงไฉ่ทำสีหน้ายียวน“หญิงใดที่เข้าใกล้ข้าชงไฉ่แล้วไม่มีใครปฏิเสธข้าได้เจ้าไยไม่เหมือนหญิงคนอื่นไหนว่าอยากแต่งกับข้ารอข้าส่งเกี้ยวมาจิวซินคิดว่าหากอยู่อย่างนี้ต้องเปลืองตัวแน่ขึงพยายามดิ้นรนแต่ยิ่งเหมือนชงไฉ่ยิ่งแกล้งอ้อมแขนแข็งแรงยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเจ้าเห็นไหมเหอจิวซินข้าไม่เคยรังเกียจใบหน้าอัปลักษณ์ของเจ้า ข้าชงว่าสู้เจ้าเปิดผ้าแพรออกเสียแล้วให้ข้าได้รู้จักเจ้ามากกว่านี้” มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นหมายปลดผ้าที่ปิดบังใบหน้าไว้จิวซินคิดหาหนทางเอาตัวรอด“ฮ่องเต้เสด็จจจจจ” เสียงขันทีขานมาแต่ไกลจิวซินใช้ศอกกระทุ้งชงไฉ่จนหลุดออกมาจากอ้อมกอด“จิวซินถวายพระพรเสด็จพ่อ”“ไห่ชงไฉ่ถวายพระพร เสด็จลุง” เหอหยวนสะบัดชายเสื้อด้วยท่าทียโส จะว่าไปใบหน้าของชงมิแตกต่างจากไห่หยวนยามหนุ่มแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เขารู้สึกขุ่นเคือง“ข้าเหอหยวนหวังว่าเจ้าจะได้รับความสะดวกสบายมิใช่น้อยในการเดินทางและพำนักที่เหอตงหยวน”“ข้าชงไฉ่ พำนักในตำหนักองค์หญิงรอง ได้รับความสะดวกอย่างดี”“เราชาวเหอตงหยวนเมื
“องค์รัชทายาทชิงซาด้อยสามารถไม่อาจปกป้ององค์ชายในยามวิกฤติ”“ลุกขึ้นเถิดชิงซา ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหากแต่เป็นพวกมันที่ฉวยโอกาส”“องค์รัชทายาทหมายถึงผู้ใด”“ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันเป็นใครด้วย วรยุทธ์ล้ำลึกและยังไม่เปล่งสำเนียงของแคว้นใดออกมา”“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้ของเหอตงหยวนที่ต้องการสังหารองค์ชายเพื่อแก้แค้นฝ่าบาท” ชงไฉ่หันมองชิงซาเเต็มตา“เสด็จพ่อกับเหอหยวนฮ่องเต้บาดหมางกันเรื่องใด” สายตาคาดคั้น“องค์ชายรู้ไหมว่าเสด็จแม่ขององค์ชายงดงามเพียงใดจึงไม่น่าแปลกใจที่สองสหายฝ่าบาทและเหอหยวนฮ่องเต้จะหมายปองหญิงงามคนเดียวกัน” ชงไฉ่ขมวดคิ้ว“แล้วเหตุใด ท่านพ่อต้องการให้จิ่นเกอและองค์หญิงรองจิวซิน เข้ามาอยู่ในไห่ตงหยวนเล่า”“ฝ่าบาทนั้นเป็นฝ่ายกุมหัวใจของเสด็จแม่ขององค์ชาย ผู้ที่พ่ายแพ้มีอยู่สองอย่างที่พึงกระทำคือหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้และสองคือแค้นเคืองผู้ที่เป็นฝ่ายชนะเช่นนั้นเสด็จพ่อของพระองค์จึงจำเป็นต้องหาทางชดเชยให้แก่เหอหยวนฮ่องเต้เพราะเห็นแก่คำว่าสหาย”“อย่างนี้นี่เององค์ชายใหญ่จิ่นเกอและเหอจิวซินถึงได้ไม่ชอบขี้หน้าข้านัก”“อันนี้ชิงซาคิดว่าเป็นองค์ชายเสียอีก ที่ทรงไม่ชอบ
“ที่เหอตงหยวนมีน้ำพุบำบัดอยากให้องค์รัชทายาทได้ลงไปแช่เพื่อสมานแผลตามแบบของเราให้จิวซินพาองค์ชายไปเถิด” จิวซินเปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน ชงไฉ่เผลอยิ้มที่มุมปากนับว่านางฉลาดล้ำลึกรู้หลบหลีกไม่ปะทะตรงๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับคนอีกคนในตำหนักบูรพา ตอนนี้เองที่ไม่ได้มีความรู้สึกถวิลหาเหมือนก่อนคล้ายกับว่าคุยกับคนผู้เดียวกันพยุงชงไฉ่ลุกจากแท่นนอนอกอุ่นเบียดชิดอกแน่นด้วยมัดกล้าม ชงไฉ่เหลือบตามองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมอย่างลืมตัวจิวซินหลบตาวุ่นวาย ทั้งคู่มาถึงยังบ่อน้ำพุกลางสวนร่มรื่นชงไฉ่ นึกชื่นชมความงามของสวนน้ำพุแห่งนี้“สวยงามเกินกว่าที่ข้าจะคาดเดาได้”“ข้าจิวซินเป็นผู้จัดตกแต่งมันด้วยตัวเอง” ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งเดียวในเหอตงหยวนที่จิวซินจะเร้นกายได้ในยามที่ทุกข์ระทม ชงไม่อยากเชื่อสายตาพี่น้องสองคนนี้มีหลายอย่างที่ทำให้เขาประหลาดใจชงไฉ่หย่อนตัวลงไปในบ่อน้ำพุ แต่ทว่าบ่อกลับลึกเกินกว่าที่เขาคาดคิดจึงลื่นไถลลงไป จิวซินเอื้มมือคว้าแต่ไม่ทันทำเอาทั้งสองคนหล่นโครมลงไปในน้ำพุด้วยกันเสียงดังสนั่นจิวซินยันกายลุกขึ้นได้ก่อนควานหาตัวของชงไฉ่ที่ยังอยู่ในน้ำอาภรณ์บางเบาไม่อาจปกปิดเรือนร่างที่อวบอ
“ทำไม่ไม่เอ่ยปากสักคำเล่าข้าป้อนท่านก็ได้” จิวซินนึกเป็นห่วงชงไฉ่ไม่น้อยคิดว่าตัวเองเล่นแรงไปหน่อยเมื่อวานเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรแล้วยังบาดเจ็บอีกยกชามข้าวต้มในมือขึ้นจ่อริมฝีปากขององค์ชายสิบสอง กลิ่นหอมนั้นทำเอาชงไฉ่ถึงกับกลืนน้ำลาย“ความกตัญญูของบุรุษคือล้างแค้นแทนพ่อ ความกตัญญูของลูกสาวคือการปรนนิบัติคนในครอบครัว” จิวซินตักข้าวต้มส่งถึงปากชงไฉ่ความหิวนั้นอาจไม่ถึงกับฆ่าคนแต่สามารถทำให้คนถูกฆ่าได้ ชงไฉ่กินอาหารด้วยความหิวโหยรสชาติที่ดีอยู่แล้วของเครื่องเทศของเหอตงหยวนยิ่งทำให้อาหารอร่อยจิวซินมองชงไฉ่คิดหาแผนการที่จะทำให้ชงไฉ่เห็นความร้ายกาจของจิวซิน“องค์หญิงอาหารของเหอตงหยวนรสชาติดีไม่เลว”“ท่านก็ว่าเช่นนั้นใช่ไหมเห็นไหมเล่าเสี่ยวถังเจ้าหาว่าข้ากินจุความจริงทุกอย่างที่นี่อร่อยข้าถึงกินไม่หยุด”“องค์หญิงหญิงงามกินแต่น้อย ไม่เช่นนั้น...”“เจ้าไม่ต้องกังวลเสี่ยวถัง ก็ในเมื่อองค์รัชทายาทเขาอย่างไรเสียต้องแต่งกับข้าแน่นอนข้าไม่จำเป็นต้องห่วงว่าข้าจะ...ไม่มีสวามี555” หัวเราะเสียงดังสนั่นโดยไม่มีอาการสำรวมแต่อย่างใดชงไฉ่รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรพิกลจนแทบจะสำลักนางช่างต่างจากองค์ชายใหญ่จ
จิวซิน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอาภรณ์ขององค์หญิงไม่ลืมที่จะหยิบผ้าแพรฝืนบางเบาคาดปิดใบหน้าครึ่งปากครึ่งจมูกทรุดตัวลงนั่งข้างชงไฉ่ บรรจงใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ดึกสงัดจิวซินเผลอฟุบหลับพร้อมกับผ้าเช็ดตัวในมือด้วยความง่วงและความอ่อนเพลียจากการเดินทางชงไฉ่งัวเงียอาการเจ็บแปลบที่แผลทำเอาไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นได้กลอกตาไปมารอบๆ จนสะดุดเข้ากับร่างบางในอาภรณ์สีสวยสดข้างกาย ใบหน้างดงามแต่ถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าแพรบางเบา ความสงสัยไม่อาจอดกลั้นได้ ชงเอื้อมมือหมายปลดผ้าแพรบนใบหน้างามที่มองขัดตาเหลือเกิน แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อมมือไปจับชายผ้าได้จิวซินกลับตื่นขึ้นมาเสียก่อน ปัดมือของชงไฉ่อย่างแรงด้วยความตกใจ“ใบหน้าข้าอัปลักษณ์ยิ่ง ท่านไม่สมควรจะได้เห็นมัน” ชงไฉ่หดมือกลับ“แม่นางขอบคุณที่ช่วยข้าไว้แม่นางมีชื่อแซ่ว่าอย่างไร”“ข้าจิวซินองค์หญิงรองของเหอตงหยวน หวังว่าท่านคงจะเคยได้ยิน” ชงไฉ่ตะลึงมอง คำพูดของจิ่นเกอที่เขาได้ยินว่าน้องสาวร่วมบิดาใบหน้าขี้ริ้วกิริยาหยาบกระด้างไม่อาจปฏิเสธได้“ข้าชงไฉ่องค์ชายสิบสององค์รัชทายาทของไห่ตงหยวนยินดีที่พบองค์หญิงรอง” ชงไฉ่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังฐานะของตนเองในเมื่อ
การเดินทางรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อสองข้างทางแม้จะรกเรือหากแต่ทางที่ไปนับว่าสะดวกสบายเหลืออีกไม่กี่ลี้ก็จะเข้าเขตแดนของเหอตงหยวนซิงซาบังคับม้าให้หยุด“องค์ชายเบื้องหน้าเป็นเขตแดนของเหอตงหยวนแล้วเราพักที่นี่เสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”“เร่งเดินทางดีกว่าซิงซาอาจมีโรงเตี้ยมสักแห่งให้พักแรมดีกว่านอนกลางป่าเขา” ซิงซากระตุกม้าให้ตะบึงแทนคำตอบทั้งคู่ เข้าสู่ชายแดนเหอตงหยวนดวงอาทิตย์เริ่มอัสดงคล้อยแสงต่ำลงหาได้พบโรงเตี้ยมอย่างที่คิดไว้ไม่ชงไฉ่กระตุกม้าเร่งความเร็วจนเคียงคู่ม้าของซิงซา“คงต้องพักค้างแรมเสียแล้วม้าและเราทั้งคู่เหนื่อยล้ามากคงต้องพักเสียที่นี่ไม่มีโรงเตี้ยมอย่างที่คิดไว้”“องค์ชายซิงซาจะหายิงไก่ป่ามาย่าง” ซิงซาอาสาคว้าธนูมาถือไว้มั่นเหมาะควบม้าจากไปชงไฉ่หากิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟ ตัดกิ่งไม้มาปูนั่งรอซิงซาความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณแสงสุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าซิงซาควบม้าตะบึงตามกระต่ายไปหาใช่ไก่ป่าไม่จนเข้าไปในดงไผ่หนาทึบ วกวน หาทางออกไม่เจอ ควบม้าวนไปวนมาจนเหนื่อยล้ามือสังหารนับสิบกรูกันเข้ามาล้อมกรอบชงไฉ่ไว้กระบี่ในมือไม่อาจดูดายถูกชักออกจากฝักด้วยท่วงท่าสง่างามเข้าพันตุด้วยไม
ชายาเอกเหตุใดต้องเป็นคนของเหอตงหยวนแต่ไม่อาจมีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาได้แต่ก้มหน้านิ่ง“ท่านคิดว่าอย่างไรเสีย ก็ยังปักใจให้จิวซินน้องเป็นชายาเอกเช่นนั้นหรือ”“ไม่เป็นการอยุติธรรมไปหน่อยหรือหากข้าจะรีบตัดสินน้องของท่านเพียงเพราะคำพูดของท่านเท่านั้นองค์ชายใหญ่” ชงไฉ่แสดงให้เห็นถึงความเป็นบุรุษอย่างแท้จริงที่ไม่อาจตัดสินหญิงใดเพียงแค่คำนินทา จิวซินเผลอยิ้มด้วยความพึงใจ“ดีเช่นนั้นท่านต้องได้พานพบนางอย่างแน่นอนเมื่อนั้นค่อยตัดสินนางยังไม่สาย” ยกชาขึ้นจิบละเมียดรสชาที่ขมปนฝาดเยว่ฉีเหลือบตามองจิวซินอย่างค้นคว้าแม่เป็นสตรีหากแต่นางก็ไม่สามารถมองออกได้ว่าจิวซินมิใช่บุรุษอย่างแท้จริงจิวซินระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวเพราะกิริยาบางอย่างมีเพียงอิสตรีด้วยกันเท่านั้นที่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอ องอาจงดงามมิเสียแรงที่ทั่วทั้งวังกล่าวขานถึงความองอาจของท่าน” เยว่ฉีลองหยั่งเชิงดู“แม่นางเยว่ฉี กล่าวเช่นนี้องค์รัชทายาทจะเคืองขุ่นเมื่อภรรยากับเห็นผู้อื่นองอาจกว่าคนที่ร่วมเตียงทุกคืนวัน” ชงไฉ่อมยิ้มกับคำกล่าวของจิวซิน เยว่ฉีทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดผิด