หมิงหลินมองตามร่างสูงอย่างมุ่งมาด จิวซินกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ ก้าวขาข้าม ประตูออกไปเปลี่ยนท่าทีเป็นองอาจ จิ่นฉินตามไปติดๆ
ลานธนู ที่พลุกพล่านไปด้วย เหล่าบุรุษที่มาทำการฝึกฝนวิชา การต่อสู้หรือที่เรียกว่าวิทยายุทธ์ จิวซินเดินด้วยท่าทีองอาจ
อาวุโสท่านหนึ่งนั่งอยู่อีกฟากของเป้าธนูมองดูเหล่าลูกศิษย์กำลังประลองความแม่น จิวซินขยับตัวเข้าไปใกล้ทรุดตัวลงคุกเข่า ยกมือขึ้นประสานกัน
“ซือฟุ ข้าน้อยองค์ชายใหญ่จิ่นเกอ คารวะท่าน” มือเหี่ยวยกขึ้นลูบคางที่เต็มไปด้วยเครายาวสีขาวใบหน้าพึงพอใจ
“องค์ชายใหญ่ช่างนอบน้อม สมดังเป็นชาวเหอตงหยวน ข้ายังมิได้รับปากว่าจะรับท่านเป็นศิษย์”
จิวซินยิ้มเพียงบางเบา ปล่อยให้รอยยิ้มจางหายไปเหมือนใบหลิวที่หลุดร่วงลงสู่พื้น
“ทำเช่นไรเล่าท่านถึงจะรับข้าเป็นศิษย์ของท่าน” อาวุโสยืนขึ้น ยกมือส่งสัญญาณ เด็กหนุ่มท่าทางเซ่อซ่าวิ่งเข้ามาพร้อมธนูในมือ
“องค์ชายใหญ่ ฝีมือยิงธนูท่านเป็นที่ร่ำลือไปถึงสามแคว้นเพียงท่านเอาชนะ องค์ชายห้าศิษย์ของข้าได้นับว่าข้ามิอาจมีข้อกังขา”
จิ่นฉินสะอึก จิวซินยกมือกันไว้ องคืชายห้าฮู่ยโม๋ก้างเท้ายาวๆเข้ามาตรงหน้าเมื่อถูกเอ่ยนาม
“ดี เช่นนั้นข้าไม่อาจปฏิเสธได้ ขอองค์ชายห้าโปรดชี้แนะ” ยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าองค์ชายห้า ผู้อ่อนหวานใบหน้าเหลาดังภาพวาดยิ้มอ่อนโยน
“มิกล้ามิกล้า ข้าองค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ ขอท่านชี้แนะเช่นกัน”
ชงไฉ่มอง จิวซินด้วยแววตาปรามาส ยิ้มเยาะที่ริมฝีปากจะมีผู้ใดในไห่ตงหยวนที่สามารถเอาชนะองค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ พี่ชายต่างมารดาของเขาได้
องค์ชายห้าง้างคันธนูจนโค้งงอ หันคันธนูยังเป้าปล่อยลูกธนูออกไปยังเป้าที่ห่างออกไปเกือบยี่สิบวาแม่นเหมือนจับวางธนูปักอยู่กลางเป้ามิมีพลาด อาวุโสพยักหน้าน้อยๆพร้อมกับรอยยิ้ม องค์ชายห้าส่งคันธนูคืนผายมือให้จิวซินบ้าง
“องค์ชายใหญ่เชิญท่านชี้แนะ”
จิวซินง้างคันธนูจนโค้งงอเข้าหาตัวอย่างเชี่ยวชาญด้วยแรงทั้งหมด หันเข้าหา เป้าอีกอันที่อยู่ใกล้กับเป้าธนูที่มีคันศรขององค์ชายห้าปักคาอยู่ก่อนจะเปลี่ยนใจเพียงเสี่ยวนาทีหันกลับมายังเป้าอันเดียวกับขององค์ชายห้าปล่อยลูกดอกพุ่งออกจากคันธนูรวดเร็วปานสายฟ้าเสียบเข้ากับคันธนูด้วยความแรงและเร็วจน คันธนูแยกออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน คันธนูของจิวซินปักคาซ้อนทับคันธนูขององค์ชายห้าอยู่อย่างนั้น ชงไฉ่อดทึ่งในฝีมือของผู้ที่เขาปรามาสไว้ไม่ได้จิ่นฉินยิ้มบาง อาวุโสลูบเคราไปมา
“องค์ชายใหญ่ท่าน ฝีมือล้ำลึกเพียงนี้ เหอตงหยวนคงไม่แคล้วยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ อย่างนี้ข้ามิอาจปฏิเสธที่จะรับท่านเป็นศิษย์” จิวซินยกมือขึ้นประสานกันตรงหน้าก้มหัวเล็กน้อย
“ซือฟุเพียงท่านรับข้าเป็นศิษย์ก็ถือว่าเป็นพระคุณ”
“ข้า ฮุ่ยโม๋ชื่นชมท่านนัก มิไยที่ต้องได้ดื่มคารวะท่านสักจอก หวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธข้า” จิวซินยิ้ม ยกมือขึ้นประสานตรงหน้า
“มิอาจปฏิเสธ ในเมื่อข้าจิ่นเกอ หวังเพียงมิตรแท้ต่างแดน”
“พี่ห้า หากไม่เป็นการรบกวนจวนอ๋องของท่าน ข้าขอร่วมดื่มเป็นการต้อนรับองค์ชายใหญ่ของเหอตงหยวนด้วยคน”
“ข้ามีหรือจะปฏิเสธการร่ำสุราร่วมกับองค์รัชทายาท555เชิญน้องสิบสองและองค์ชายใหญ่ ที่จวนเถิด” ชงไฉ่ยกมือคาราวะอาจารย์ สะบัดชายเสื้อออกเดินนำ ยังจวนอ๋องที่อยู่ห่างออกไป
ฮุ่ยโม๋ผายมือเชิญจิวซิน แววตาชื่นชมส่งมาด้วยความจริงใจ
จิ่นเกอองค์ชายใหญ่ผู้ปรารถนารักแท้ และมีศรัทธาในรักแท้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีทึมทึบจูงมือหญิงสาวใบหน้าสวยหวานอ่อนวัยเดินลัดเลาะมาบนทางเดินตามไหล่เขามุ่งหน้าเข้าสู่ไห่ตงหยวน
“พักก่อนเถิดลู่ชิง” หญิงงามนามลู่ชิงนั่งลงบนขอนไม้ ดวงหน้ามีแววกังวล
“องค์ชายเหตุใดท่านต้องมา ที่ไห่ตงหยวนทั้งๆ ที่ต้องการจะหนี”
“อย่ากังวลไปเลยลู่ชิง ถึงข้าจะละทิ้งหน้าที่องค์ชายและรัชทายาทแต่มิอาจละทิ้งหน้าที่พี่ชายได้” ลู่ชิงมองด้วยสายตาขมขื่น
“ท่านมิผิดหากแต่จิวซิน...องค์หญิงนางอาสาเอง”
“ข้าเพียงไม่อาจให้จิวซินเผชิญทุกข์ยากเพียงลำพัง”
“ท่านไม่อาจแก้ไขอะไรได้แล้วในเมื่อนางตัดสินใจไปแล้ว”
“เพียงเพื่อช่วยเหลือนางอย่างลับๆ แม้จิ่นฉินสหายข้าจะร่วมเดินทางมากับนางแม้ข้าจะรู้ว่าจิ่นฉินต้องไม่ปล่อยให้จิวซินตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ แต่ข้าก็ไม่อาจวางใจเมื่อนางมาอยู่ในดินแดนของศัตรู ผู้ที่หวังจะยึดครองดินแดนของเรา เป็นข้าเองที่ผิด และท่านพ่อเองก็กำลังประชวรจิวซินแม้จะแข็งแกร่งดุจหินผาต่างจากหญิงทั่วไปแต่นางก็ยังเป็นหญิง” ลู่ชิง ไม่มีคำพูดใดๆ แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใดก็ตาม
จวนอ๋องห้าเพียงมองจากด้านนอกก็รู้ถึงความยิ่งใหญ่ ภายในกับโอ่อ่าสมฐานะ สาวใช้สองสามคนเดินมารับเสื้อคลุมของเหล่าผู้มาเยือน“จวนท่านอ๋องแม้ไม่ใหญ่โตหากแต่โอ่อ่าสมฐานะ” จิวซินออกปากองค์ชายห้าโบกมือไล่สาวใช้ก่อนจะยิ้มพราย“จวนอ๋อง ก็เป็นแค่เพียงจวนอ๋อง หากมีโอกาสองค์รัชทายาทชงไฉ่น้องสิบสองคงได้มีพาท่านเยี่ยมชมตำหนักของเขาที่นั่นแม้ชายาของเขาจะวุ่นวายกับการแย่งกันปรนนิบัติน้องสิบสอง แต่ก็เต็มไปด้วยหญิงงามและนางกำนัลแถวหน้าของวังหลวง ผิดกับจวนของข้าที่ไม่มีชายาแม้แต่คนเดียว” จิวซินเลิกคิ้วสูงรู้สึกแปลกใจที่บุรุษรูปงามอย่างฮุ่ยโม๋จะยังไม่มีชายา ชงไฉ่เผลอมองใบหน้าของจิวซินเต็มตาเป็นครั้งแรกใบหน้าช่างงดงาม เหมือนหญิงสาวนี่กระมังที่ทำให้เขาไม่ถูกชะตาแม้แต่น้อย“พี่ห้าก็ยกย่องข้าเกินไปตำหนักข้าหรือจะสู้จวน พี่สี่ฮุ่ยเจินได้ที่มีหญิงงามมากมาย ของข้าแม้จะพรั่งพร้อมแต่กับไม่มีความสงบสบายเหมือนจวนท่าน” จิวซินรู้สึกเห็นใจชงไฉ่เพราะเคยเห็นมาเยอะแล้วเรื่องการแย่งชิงกันเป็นที่โปรดปรานเหมือนที่บรรดาสนมของท่านพ่อของนางเป็นอยู่สาวใช้ยกสุรารสเลิศมาวางบนโต๊ะกลางห้องทั้งสามนั่งล้มวงจิ่นฉิน มองจิวซินตาไม่กะ
จิ่นฉินไม่รอรอช้ารีบเข้าไปพยุง จิวซินแต่ชงไฉ่กับเข้ามาประคองอีกฝั่งไว้“นายเจ้าท่าจะแย่ ข้าช่วยดีไหม” จิวซินพยายามลืมตาแต่ไม่เป็นผล“ให้นายเจ้าพักที่จวนของข้าจนกว่าจะสร่างเมาดีไหม” องค์ชายห้าออกความเห็นตามที่คิดได้จิ่นฉิน ลังเล“เชื่อข้าเถิด ข้ามีชาแก้เมาสักพักข้าจะให้เด็กนำมาให้นายเจ้าดื่ม”“นายของข้าไม่ชอบนอนค้างที่อื่น”“เพราะอะไรเมามายเพียงนี้ ไยไม่สร่างเมาถึงค่อยกลับตำหนักบูรพา”“คงเป็นเพราะมีสาวงามคอยท่าอยู่สาวใช้ที่ติดตามมานั้นความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาอีกทั้งนางยังงดงามราวฝนแรกของวสันต์ฤดู มีหรือองค์ชายใหญ่จะอยากทิ้งนางไว้ลำพัง”คราวนี้เองที่จิวซินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาได้ยินพอดี“องค์รัชทายาท ช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างนัก แม้สาวใช้ข้างกายข้าท่านยังไม่ละเว้น” เมามายแค่ไหนจิวซินก็ยังเหน็บแนมทั้งๆ ที่เสียงอ้อแอ้ด้วยความเมาเมื่อพูดเสร็จก็คอพับไปตามเดิม“555แม้กระทั่งตอนเมา องค์ชายใหญ่ยังมิวายหวงสาวใช้ข้างกายข้าชักอยากเห็นหน้านางเต็มทีว่าจะงดงามดังที่น้องสิบสองกล่าวถึงหรือไม่”ชงไฉ่ทำหน้าไม่ถูก“เอาตามนี้ พยุงนายของเจ้าเข้าไปในจวนข้าก่อน เดี๋ยวสร่างเมาค่อยพากลับตำหนักหากไปตอนนี้เกรงว่า
จิวซินจากไปองค์ชายห้าท่าทางครุ่นคิด“พี่ห้าเหตุใดท่าน ถึงปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายผิดที่ทำเหมือนขับไล่องค์ชายใหญ่ไปจากจวน”“ก็เพื่อให้เขาพร้อมใจ จากไปด้วยความเต็มใจอย่างไรเล่าทำไมน้องข้าถึงคาดไม่ถึง” ตบไหล่น้องชายเบาๆ ชงไฉ่ขมวดคิ้วสงสัยในอาการของพี่ห้าแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากถาม“องค์หญิง” จิวซิน ยกมือขึ้นปิดปากจิ่นฉิน ความรู้สึกซาบซ่านแล่นเข้าสู่หัวใจของจิ่นฉิน“ใครให้เรียกข้าแบบนี้ องค์ชายต้องเรียกองค์ชาย” จิวซินพูดจาอ้อแอ้ปล่อยตัวตามสบายหลังจากที่พยายามตั้งสติยามอยู่ต่อหน้าองค์ชายห้าและชงไฉ่ จิ่นฉินรวบร่างบางอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกเดินย่ำไปตามทางที่มืดมิดจิวซินโอบมือรอบคอ ซุกหน้าลงบนอกภาพที่เห็นคือ บุรุษร่างบึกบึนกับอุ้มชายหนุ่มร่างอ้อนแอ้นแต่ใครจะรู้เล่าภายใต้อาภรณ์ของบุรุษนั้นได้ซ่อนร่างงามระหงหากแต่คนอุ้มไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างอุ่นๆ ในอ้อมแขนเป็นร่างบอบบางของหญิงสาวอย่างแท้จริงองค์ชายห้ายืนลูบคางตัวเองไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีเคราอย่างใช้ความคิดเมื่อทั้งหมดจากไปกันแล้วร่วมทั้งชงไฉ่ องค์ชายใหญ่จินเกอคนนั้นไม่เคยมีใครได้เคยพบหน้าค่าตา เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเล่นตลก แต่อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะมีความกล้าม
จิวซิน เปลื้องผ้าลงไปนอนแช่น้ำอุ่นผมยาวสลวย สยายลงกลางหลังใบหน้าผุดผาดประทุมถันเต่งตึงหน้าท้องเรียบเนียนสวยไร้ที่ติ ผิวขาวอมชมพูจนหมิงหลินเป็นผู้หญิงยังถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเผลอมองแบบตรงๆ นายหญิงของนางไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้นหากแต่ใต้หล้านี้คงจะหาใครเทียบเคียงนางไม่“พอแล้วหมิงหลินเจ้าออกไปเถอะข้าเพียงต้องการ แช่น้ำอุ่นเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น”หมิงหลินขยับตัวคารวะก่อนจะถอยห่างออกไปด้านนอกจิวซินครุ่นคิดถึงแผนการที่นางวางขึ้นอย่างแสนจะเร่งรีบนั้นแม้จะไม่รัดกุมหากแต่ก็ยากที่ใครจะพบจุดบกพร่อง ตอนนี้จินเกอองค์ชายใหญ่หายตัวไปลึกลับ ตัวจิวซินเองก็มีหลายคนที่รู้แต่เพียงว่านางป่วยด้วยโรคประหลาดใบหน้าเสียโฉมจนต้องปิดบังใบหน้าไว้บัดนี้นางยังเก็บตัวเงียบอยู่ที่เหอตงหยวนไม่พบปะผู้ใดหลับตาลงช้าๆ เอนหลังพิงขอบถังไม้ใบใหญ่ต่อแต่นี้ต้องเริ่ม แผนการขั้นต่อไป ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของสองแคว้นแล้วยิ่งหากองค์ชายใหญ่ปฏิเสธองค์หญิง14อีกยิ่งกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่าเดิมหลับตานิ่งหายทางหนีทีไล่คิดว่าอีกไม่กี่มากน้อยไห่ตงหยวนต้องจับได้ถึงสิ่งที่จิวซินทำอยู่ตอนนี้เมื่อนั้นทุกอย่างยิ่งต้องเลวร้ายกว่าเดิม
จิวซินเร้นกายเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคราวนี้ม่านถูกนำมากลางกั้นรอบทิศทางฮุ่ยโม๋เดินมือไพล่หลังด้วยท่าทีเรียบเฉยปราศจากพิรุธ แต่ทว่าใบหน้า และแววตาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด“ข้าบังเอิญผ่านมา ได้ยินเสียงเอะอะ” ตีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างประหลาด จิ่นฉินเหลือบตามองมีดสั้นที่ด้ามโผล่พ้นชายเสื้อของฮุ่ยโม๋อย่างที่ฮุ่ยโม๋ไม่ทันได้ระมัดระวังตัว“มีคนร้าย ...ผู้บุกรุกขณะที่องค์ชายของเรากำลังแช่น้ำ” องค์ชายห้ากระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก หมิงหลินเอ่ยคำสายตาคมดุจพญาเหยี่ยวเหลือบตามองหมิงหลินเพียงครู่ความคิดว่องไวปานสายฟ้า หญิงรับใช้คนนี้ ใบหน้าหมดจดงดงาม คงเป็นสาวใช้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นแน่ องค์ชายสิบสองนิยมหญิงงาม“องค์ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ชงไฉ่จับน้ำเสียงได้ถนัดชัดเจนพี่ห้าไม่เคยสนใจผู้ใดมาก่อน วันๆเอาแต่ฝึกวิทยายุทธจนซ่ำซองหากแต่วันนี้กับมีความห่วงใยออกมาให้เห็น“พี่ห้า ใจตรงกันท่านเพียงแค่ผ่านมาหรือว่าจงใจกันแน่” จิ่นฉินรู้สึกว่าคำถามที่เขาอยากถามโดนชงไฉ่เอ่ยไปก่อน“ข้าเพียงแค่ลัดเลาะเรื่อยเปื่อยบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายใหญ่เมาหนักตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้จะสร่างหรือยัง”
“ข้ากับท่านถือว่าเสมอกันคราวนี้ข้ายอมให้ท่านเนื่องด้วยคราวก่อนกระบวนท่าเหนือกว่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้คราวนี้แม้เป็นการต่อสู้เพื่อความบันเทิงหากแต่ข้าก็ถือว่าข้าเพลี่ยงพล้ำหากฝึกฝนให้มากกว่านี้ท่านก็คงนำหน้าข้าไปอยู่ดีหากท่านฝึกฝนเคี่ยวกรำเหมือนกัน”“นับว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมน้องสิบสองเจ้าต้องจำคำขององค์ชายใหญ่ไว้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าหากฝึกฝนย่อมเหนือกว่า” จิวซินยิ้มละลายความขุ่นเคืองไปสิ้นทุกอย่างที่ทำเพื่อไห่ตงหยวนหาใช่ตัวเองไม่ราชโองการถูกส่งยังเหอตงหยวนอย่างเร่งด่วนอาชาทะยานป่านลูกธนูเข้าสู่เป้าหมายเหอหยวนกำมัดทุบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่นเมื่อขันทีอ่านราชโองการจบลง“ไห่หยวนเจ้าไม่เหลือทางเลือกใดให้ข้าแม้สักเพียงนิด องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” ถามไถ่ถึงจิวซิน“องค์หญิงยังพำนักอยู่ในตำหนักด้วยอาการป่วยด้วยโรคประหลาดฝ่าบาท” เหอหยวนถอดหายใจก่อนจะส่งเสียงไอออกมาสองสามทีด้วยอาการป่วย เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าจิวซิน ไม่ได้อยู่ที่นี่นางอาสาจากไปพร้อมกับแบกรับความทุกข์ระทมของเขาไว้ ราชโองการของไห่หยวน กดดันเหอหยวนยิ่งนักคนผู้นี้ไม่อาจจะนับเป็นสหายหรือเยื่อใยที่มีต่อกันจะคงอยู่อีกต่อไปจิ่น
จิวซินยิ้มกว้างแสดงความจริงใจ เลียนแบบฮุ่ยเจินองค์ชายสิบสามกับรู้สึกว่าใจไหววูบกับยิ้มกว้างเปิดเผยหมดจดนั้นสร้างมิตรดีกว่าผลิตศัตรูองค์ชายห้ากับองค์รัชทายาทและองค์หญิงสิบสี่ เดินมาถึงพร้อมกัน“ไยยิ้มกว้างเช่นนั้นเจ้าสิบสาม” ชงไฉ่เอ่ยปาก“หากพบสหายรู้ใจมีอุดมการณ์เดียวกัน (อุดมการณ์ต่อต้านบุรุษกล้าแกร่งผู้ที่เก่งกล้าทั้งบุ้นและบู๋) ข้ายอมยิ้มได้กว้าง” องค์ชายสิบสามต่อคำองค์หญิงสิบสี่เดินเข้าไปเกาะแขนจิวซินแน่น“องค์ชายใหญ่ข้าแวะมาชวนท่านออกไปเที่ยวย่านค้าขายนอกวัง” จิวซินตบมือบางขององค์หญิงเบาๆ ยิ้มหวานดวงตาเป็นประกายตามแบบที่ฝึกฝนมา องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋กับองค์รัชทายาท มองท่าทางกรุ้มกริ่มของจิวซินอย่างขัดตา“องค์ชายใหญ่ไม่ต้องตามใจนางให้มาก” องค์ชายสิบสามเหน็บแนมเพราะรู้นิสัยเจียวซือดีหากได้ก็ต้องได้ยิ่งๆขึ้นไป องค์หญิงสิบสี่แลบลิ้นให้องค์ชายสิบสาม“เจ้าก็เอาแต่ใจจนเคยตัวข้ากำลังจะชวนองค์ชายใหญ่ยังลานธนูเสด็จพ่อประทับรอที่นั่นเพื่อชมการยิ่งธนูขององค์ชายใหญ่ ข้าเชิญท่านที่ลานธนู” องค์ชายสิบสามหันมายกมือประสานกันตรงหน้าจิวซิน องค์หญิงสิบสี่ทำเสียงจิจ๊ะขัดใจ“เช่นนั้นข้าขอตัวคารวะฮ่องเต้
“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง ข้าจิ่นเกอ แม้จะเก่งกล้าเพียงใดก็แค่เพียงธนูแต่ฝีมือกระบี่กลับไม่สามารถเอาชนะองค์รัชทายาทได้เป็นฝ่ายที่ต้องเพลี่ยงพล้ำ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ชงไฉ่เหลือบตามองจิวซิน นึกชื่นชมที่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ยกตนข่มท่าน“คราวก่อนที่ข้าเห็น เจ้าสิบสองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมิใช่หรือ”“อาจเป็นเพราะน้องสิบสองตั้งใจฝึกฝน จึงสามารถเอาชนะองค์ชายใหญ่ที่เยี่ยมยุทธ์ได้” ฮ่องเต้ยิ้มพึงใจกับคำกล่าวนั้น“เจ้าสิบสองมิเสียแรง บัดนี้องค์ชายใหญ่ มาอยู่ที่นี่ในฐานะราชบุตรเขย ทำให้ข้ารู้สึกสำราญใจ หนำซ้ำยังสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่พวกเจ้าเหล่าองค์ชายองค์หญิงในทางที่ดีเช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในไม่ช้าเมื่อเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์ ข้าได้มีบัญชาถึงเหอตงหยวนเรื่องการทาบทามองค์หญิง..จิวซิน...ธิดาคนเล็กมา รั้งตำแหน่งฮองเฮาแก่เจ้าเพื่อสานสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าคิดอ่านเช่นใด ชงไฉ่” ชงไฉ่อ้าปากค้าง องคืชายสิบสามรีบสะกิดเพื่อให้ชงไฉ่ไม่เผลอทำตามใจจนไห่หยวนไม่พอใจ“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด หากสิ่งใดที่เสด็จพ่อเห็นสมควรลูกมิขัดข้อง” ”ชงไฉ่พูดไปตามสิ่งที่ควรพูดจิวซินรู้สึกหูอื้อตาลายเกือบจะเผลอตัว
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”
“วางใจเถิดสหาย ข้าเลี่ยงเฟิ่งไม่ทำให้ฝ่าบาทพี่ชายสุดที่รักของเจ้าต้อง ป่วยไข้เพราะอากหารที่ข้าทำแน่นอนแม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฮ่องเต้ผู้หน้าตาดีแต่ท่าทางโอหังก็ตาม” ฮุยเจินยกมือเรียวปิดปากเลี่ยงเฟิ่งก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำกลัวใครมาได้ยิน“ฮะแฮ่ม..” เสียงกระแอมดังๆ จากด้านหลังชงไฉ่กับชิงซาที่ยืนทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น ฮุยเจินเอามือออกจากปากบางของเลี่ยงเฟิ่งแต่กับลืมวงแขนที่กอดรัดเอวบางอยู่“ห้องเครื่องของเจ้าคนนี้ท่าทางจะพิเศษไม่น้อย ฮุยเจินถึงกับให้ความสนิทสนมขนาดนี้”“ฮุยเจินกับเลี่ยงเฟิ่งผ่านทุกข์ยาก ลำเข็ญ สนิทสนมกันเพราะความเคยชินหาใช่อย่างอื่นความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องร่วมอุทร” ฮุยเจินรีบแก้ตัวชงไฉ่ยิ้ม“เจ้าเองก็ยัง ไม่มีชายาข้าไม่น่าละเลยเจ้าเลยฮุยเจินอายุเจ้าก็สมควรจะมีคู่ครองได้แล้ว” ฮุยเจินคุกเข่าทันที“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง” ฮุยเจินละล่ำละลักบอกชงไฉ่เลิกคิ้วสูง“ข้าเลี่ยงเฟิ่งมิใช่คนของไห่ตงหยวน ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการชีวิต” เลี่ยงเฟิ่งชิงพูดขึ้นก่อน และนี้เองคือสิ่งที่ฮุยเจินกลัวที่สุดชงไฉ่เดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งช้าๆ มองอย่างสำรวจมือบางขาวจับคางสวย บิดไ
เยว่ฉีส่งตะเกียบสีเงินให้กับชงไฉ่ หมูสามชั้นที่แดง ขาวชิ้นพอดีคำ ราดด้วยน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวถูกส่งเข้าปาก ความเผ็ดจากพริกหอมภูเขา รสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ปลายลิ้นจากผลส้ม และกลิ่นหอมจากสุรา ที่ฉุนขึ้นจมูก ที่ผสมกันอย่างลงตัวทำเอาชงไฉ่ถึงกับเผลอคีบหมูสามชั้นชิ้นต่อไปส่งเข้าปากอย่างลืมตัว ฮุยเจินหันไปอมยิ้มสบตากับชิงซาที่ยืนคอยสังเกตท่าทีของชงไฉ่ข้างๆ“รสชาติจัดจ้านไม่เหมือนอาหารของวังหลวงของไห่ตงหยวน กลิ่นสุราที่หอมหวนซึมซับเข้าไปข้างในชวนให้อยากลิ้มลอง นับว่าแปลกประหลาดไม่น้อย ““ฝ่าบาทลองชิมพร้อมกับเครื่องเคียงทั้งสามอย่างดูเถิด” ฮุยเจินออกปากเชิญชวน กลายเป็นเยว่ฉีที่คีบเอากวางตุ้ง สาหร่าย หัวไซเท้าหั่นวางบนจานคีบเอาเนื้อเป็ดส่งเข้าปากบ้าง รสชาติอาหารทำเอาเยว่ฉีถึงกับอึ้งชงไฉ่ คีบเครื่องเคียงมาวางที่จานบ้าง“สาหร่ายทะเลใช่ไหม เจ้านำมันมาจากเหอตงหยวนด้วยใช่ไหม” ส่งเข้าปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย“ต้องยกความดีให้นางวัตถุดิบทุกอย่างเลี่ยงเฟิ่ง นางคัดสรรด้วยความพิถีพิถัน” ชงไฉ่พยักหน้าตั้งหน้าตั้งตาคีบนู่นนี่มาลองลิ้มรสดู“ปูชนิดนี้รสชาติดีเหลือเกิน เพคะฝ่าบาท” เยว่ฉีออกปากชม“พระชายาคงยังไ
“ข้าเพียงอยากทดสอบยาลืมทุกข์ของกงกงเฒ่าว่าจะสามารถทำให้ฝ่าบาทลืมเลือน จิวซินได้จริงหรือไม่”“องค์ชายสิบสามจึงพานางมาด้วยเช่นนั้นหรือ”“ถูกต้อง ความรักความผูกพันหรือความรักจริงใจต่อกันไม่อาจมีสิ่งใดขว้างกั้นได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น”“ข้าเอาใจช่วยให้ ความคิดของท่านถูกต้อง”“ข้าจะพานาง เข้าไปอยู่ในตำหนักของฝ่าบาทในฐานะนางในห้องเครื่อง เสวยของฝ่าบาทและต้องเป็นนางในที่ยกเครื่องเสวยด้วย”“หากให้นางไปคัดเลือกเป็นนางในเกรงว่าด้วยฐานันดรของนางสูงส่งและทุกอย่างที่เคยเป็นของเลี่ยงเฟิ่งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร เพียงแค่ให้ฝ่าบาทออกโรงปกป้องนางด้วยตัวฝ่าบาทเองเพราะตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นถึงฮ่องเต้สูงสุดในแผ่นดินแล้ว หากอยู่ในฐานะสนมย่อมไม่รอดพ้นสายตาของชายาอย่างเยว่ฉี”“ท่านมั่นใจเช่นนั้นหรือ”“เลี่ยงเฟิ่งคนนี้นางชื่นชอบการทำอาหารไม่ว่าจะเป็นพี่ห้าหรือข้าฮุยเจินมักจะต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องติชมรสมือนางไปแล้วทั้งสิ้น นับว่าฝีมือการทำอาหารของเลี่ยงเฟิ่งหาผู้เปรียบเปรยได้ยากข้าจึงคิดว่า ฝ่าบาท จะต้องตรึงใจในรสมือของนางไม่น้อย”จิ่นเกอทำไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ปกตินางไม่เคยเข้าใกล้ห้องเครื่องมาก
“เช่นนั้นรึ อย่างนั้นไม่สู้เจ้ารีบไปเยี่ยมองค์ชายน้อยเถิด เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังไม่เห็นหน้าองค์ชายน้อยมาก่อน”“เช่นนั้นข้าและเลี่ยงเฟิ่งขอลา” ฮุ่ยเจินกระตุกแขนเลี่ยงเฟิ่งให้คุกเข่าก่อนจะบ่ายหน้ายังตำหนักบูรพาที่ซึ่งบัดนี้องค์ชายใหญ่จิ่นเกอและเจียวซือเป็นผู้ครอบครอง ชงไฉ่มองตามฮุ่ยเจินและเลี่ยงเฟิ่งจนลับสายตาเบื้องหน้าตำหนักบูรพา จิ่นฉินตะลึงมองเลี่ยงเฟิ่ง ด้วยแววตาปีติ เช่นนั้นคำพูดหาหลุดออกมาจากปากไม่ ฮุ่ยเจิน เพียงแต่โคลงศรีษะไปมา พร้อมกับรอยยิ้มด้วยความสุนทรีย์หากไม่ได้แสดงอาการว่าอยากพูดอะไรเช่นกัน จิ่นฉินยกมือประสานกันเบื้องหน้าคารวะ องค์ชายสิบสาม“องค์ชายใหญ่กับเจียวซืออยู่ข้างในใช่ไหม” จิ่นฉินเหลือบตามองเลี่ยงเฟิ่ง แต่เจรจากับฮุยเจิน“องค์หญิงและองค์ชายใหญ่จิ่นเกอกำลัง หยอกล้อกับองค์ชายน้อยอยู่ข้างใน เชิญท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปบอกให้รุ้ว่าท่านทั้งสองมา”ฮุยเจินโบกมือ ห้ามถือวิสาสะเดินนำเลี่ยงเฟิ่งเข้าไปข้างในเบื้องหน้านั้นองค์ชายน้อย กำลังแย้มพระสรวลดวงตาใสซื่อจิ่นเกอยืนหันหลังเจียวซือนั่งยองๆ ข้างองค์ชายน้อยเสียงสาวใช้สองสามคน ทำความเคารพองค์ชายสิบสาม เลี่ยงเ