สิ่งที่ได้มาเป็นเหมือนความมหัศจรรย์ที่นางยังรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเพียงความฝัน หากวันหนึ่งหายไปนางคงทำอะไรไม่ถูก นี่ก็เหมือนการเตรียมใจอย่างหนึ่ง
ตอนนี้ฉินหลิวซีเป็นผู้ใช้โอสถฝึกหัดระดับสอง สามารถปรุงโอสถระดับกลางออกมาได้แล้วหลังจากรดน้ำทุกแปลงเรียบร้อยแล้วนางก็ต้องไปเก็บสมุนไพรที่ด้านนอกต่อ เห็นพี่สาวเตรียมตัวเขาก็รู้ได้ทันทีว่านางจะไปไหน“ท่านพี่ ข้าไปด้วย” พอแยกมาอยู่แบบนี้เขาก็ไม่มีสหายเล่นนอกจากพี่สาว จึงยิ่งติดนางเข้าไปใหญ่ หากไม่ได้อยู่ระหว่างฝึกฝนส่วนตัวเขาก็จะเกาะติดพี่ไปทุกที่“ได้สิ” ฉินหลิวซีห่ออาหารว่างไปกินระหว่างทางเผื่อน้องชายของนางหิวก่อนจะถึงมื้อเที่ยงทั้งสองคนมีย่ามคนละใบสะพายข้าง ฉินซือหยวนร้องเพลงเด็กไปตลอดทาง เขาไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนใครบนภูเขาที่อยู่ตอนนี้เป็นที่อยู่ของซุนเป่ยฉี ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามคนนอกจึงเข้ามาได้ แต่จะมีชีวิตรอดไปได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะสถานที่แห่งนี้สัตว์อสูรค่อนข้างเยอะ คนธรรมดาจะไม่ค่อยเข้ามากัน“เดือนนี้อาจารย์ก็จะออกไปรักษาคนอีกหรือเปล่านะ”วันโลกาวินาศในนิยามของใครหลายคน อาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือความหายนะที่มาเยือน ความเท่าเทียมที่ไม่ว่าสถานะของเจ้าตัวจะเป็นราชาหรือสามัญชนก็หนีไม่พ้น จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นแต่ตรรกะของความเท่าเทียมที่เธอคิดนั้นก็พังทลายเพราะสิ่งที่ตัวเองมีฉินหลิวซีในวัยสามสิบปียังคงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่ไวรัสปริศนากำลังระบาด และเป็นเช่นนี้มากว่าสิบปีแล้ว ไวรัสไม่ทราบที่มานี้คร่าชีวิตคนไปหลายพันล้าน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นซอมบี้ที่ฉินหลิวซีสามารถอยู่รอดมาได้เป็นสิบปี เพราะพลังพิเศษที่ตื่น เธอมีมิติที่สามารถเก็บของได้ แม้มีพื้นที่จำกัดขนาดประมาณหนึ่งห้อง และเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้เอง แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอได้เปรียบคนอื่นมากแล้วเมื่อมนุษย์โลกมีจำนวนน้อยลง คนในศูนย์อพยพก็มีอัตราการแย่งชิงที่น้อย เพราะอาหารไม่ขาดแคลนเท่าแต่ก่อน ทว่าตัวเจ้าหน้าที่ที่ประจำแต่ละศูนย์ก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน กลับกันฝูงซอมบี้ที่ด้านนอกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ“ฉินหลิวซีเธอไปเอาอาหารหรือยัง” เพื่อนในค่ายอพยพคนหนึ่งถามเธอที่กำลังใจลอย“อ่า อื้ม ไปเอามาแล้วละ” หญิงสาวตอบกลับไปยิ้ม ๆ“ได้ยินมาว่ามีผู้อพ
“อาหารของพวกเราไม่เพียงพออีกแล้ว! ต่อไปนี้ใครที่ต้องการอาหารต้องมาช่วยกำจัดซอมบี้ข้างนอกนั่น! เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่ลงมือ!” เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะเบ็งบอกให้ได้ยินกันทั่วโถง สิ้นเสียงของเขาก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของพลเมืองที่ไม่พอใจการตัดสินนั้น“ถ้าไม่ทำก็ออกไปเป็นอาหารซอมบี้เองเถอะ!” เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่สนว่าจะมีคนไม่พอใจหรือไม่ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้อให้เหลือการประนีประนอมอีก“กลุ่มแรก ใครอาสาให้มาที่นี่” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งยกธงขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พวกเขาใช้เสียงสดในการประกาศจึงต้องใช้งานลำคอมาก บางครั้งก็เหมือนตะคอกทั้งที่ไม่ตั้งใจฉินหลิวซีเห็นใจเจ้าหน้าที่บางคนที่ต้องรับมือกับสถานการณ์อันยากลำบากนี้ ส่วนคนที่ทำงานนี้แบบส่ง ๆ เธอไม่มีใจจะสงสารแม้แต่เสี้ยวเดียว จริงอยู่ว่าเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่พอมานานแล้วจึงต้องรับอาสาสมัครอยู่เรื่อย ๆ แต่คนที่รับงานนี้แค่เพราะอยากกร่างและใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นก็มีไม่น้อยฉินหลิวซีเข้าไปเป็นอาสาสมัครในกลุ่มแรก หญิงสาวแซ่ฉินเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีของเจ้าหน้าที่เวลาร้องขออาสาสมัคร แม้เธอจะไม่ได้ร่วมทุกครั้ง แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่จะมีชื่อเธอปรากฏอยู่ฉินหลิ
ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้วเมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่ แต่ไม่เคยตกถึงท้องเทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่า อันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริงฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่า การต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินไ
อย่างที่ได้รับรู้ในความทรงจำตกค้างที่นางเข้าใจผิดไปเองว่า เป็นความฝัน ครอบครัวนี้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ สะใภ้ถูกดูแลเหมือนเป็นคนใช้ในบ้าน ฉินหลิวซีเดินตามหลังผู้เป็นแม่ที่หอบตะกร้าสูงท่วมหัวออกไปยังแม่น้ำใกล้ ๆ ซึ่งจะบอกว่าใกล้ก็บอกได้ไม่เต็มปาก เพียงแต่มันเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ใกล้ที่สุด และก็เดินจนปวดขา บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยทำงานในที่นาของครอบครัว สองแม่ลูกดูแลเรื่องงานบ้านภายในและซักผ้าเป็นหลักชิวย่าหนานเห็นบุตรสาวไม่พูดก็นึกแปลกใจอยู่ แต่เห็นหน้านางซูบซีดคิดว่าคงเหนื่อย จึงไม่ได้ถามอะไร“ข้าขอตัวไปถ่ายหนักสักครู่นะเจ้าคะ”มารดาพยักหน้าไม่ได้ซักไซ้อะไร ฉินหลิวซีจึงปลีกตัวเดินออกมาไกล ๆ ได้อย่างไม่ผิดสังเกต พ้นสายตามารดามาได้นางก็มองหาต้นอ่อนพันธุ์ไม้ต่อ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ลองใช้พลังธาตุไม้ที่ติดตัวมาดู จากที่เคยทำให้ต้นกล้างอกใบออกมาได้ไม่กี่ใบ ทำให้รากไม้ขยับได้นิดหน่อย ตอนนี้แค่เพียงใส่พลังเข้าไปต้นอ่อนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นลำต้นในเวลาไม่กี่อึดใจฉินหลิวซีกำลังจะฉีกยิ้มยินดี เสียงท้องนางก็ร้องประท้วงขึ้นมาขัดจังหวะ ใบหน้าเด็กหญิงแข็งค้าง นึกได้ว่าตนยังไม่ได้กิน
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไขเวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน ไม่มีน้ำส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอเพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไงถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า” ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคน
“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหนฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม“เก่งมาก”เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง“อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ”ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเองฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมานางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมันนางหันมองน้องชา
จนวันนี้อาหารของนางต่อหน้าครอบครัวก็ยังมีแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ ในแต่ละวันนางจะพาน้องชายเข้าป่าเพื่อหาของกิน สองสามวันมานี้มารดาชอบถามพวกนางว่าไปเล่นกับใครที่ไหน ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกด้วยกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้ระแคะระคายไปมากกว่านี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้พาน้องชายออกไปอีก แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาก็คือท่านย่าเริ่มระแคะระคายที่มีฟืนหายไปวันละสี่ห้าท่อนจึงอยู่บ้านเพื่อหาทางจับผิดวันนี้นางตามมารดาออกมาซักผ้า หลังจากช่วยจนผ้าใกล้หมดตะกร้าแล้วนางก็ทำทีขอไปเดินเล่น ผู้เป็นแม่เห็นว่านางช่วยซักผ้าจนมือเปื่อยมือเย็นจึงพยักหน้าอนุญาต หากผ้าไม่ใช่ตะกร้าใหญ่อย่างวันนี้นางทำคนเดียวก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้ผ้ามาจนล้น นางทำจนเย็นก็ยังซักไม่เสร็จบุตรสาวจึงต้องมาช่วยฉินหลิวซีมุดเข้าไปหลังม่านเถาวัลย์เหมือนครั้งก่อน โชคดีที่นางตัวเล็กจึงไม่มีปัญหา แต่หากโตไปกว่านี้คงต้องมองหาที่ลับตาคนใหม่แล้ว เด็กหญิงเข้าไปในห้วงมิติของตน นางยังไม่มีเวลาสำรวจกระท่อมนี้เลยจนกระทั่งวันนี้หลังจากเข้ามาได้นางก็เริ่มทำการสำรวจภายในกระท่อม ด้านในกระท่อมมีตั่งไม้ยกสูงขึ้นมาสำหรับเป็
ฉินหลิวซีแง้มประตูยื่นหน้าออกไป ห้องนอนของนางอยู่ไม่ห่างจากห้องใช้งานส่วนอื่น ๆ ของบ้านเท่าไรนัก จึงได้ยินเสียงป้ากับมารดาพูดคุยกันชัดเจน“ผ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องซัก ทำไมจึงไม่ยอมเอาเสื้อผ้าของข้าไปซัก!”“แต่พี่หญิงไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ข้านี่เจ้าคะ”“ไม่ได้เอามาก็ไม่รู้จักถามอย่างนั้นหรือ เป็นหน้าที่ของเจ้าแท้ ๆ”ชิวย่าหนานถูกตะคอกใส่ก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้ ที่ตรงนั้นยังมีท่านย่าของนางอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย อยู่ต่อหน้าแม่สามีชิวย่าหนานยิ่งไม่กล้ามีปากมีเสียง เพราะรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบตนเป็นทุนเดิม“ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ นางไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง” ป้าสะใภ้เดินเข้าไปเอาอกเอาใจท่านย่าเขา บีบนวดไปพลาง ฟ้องเรื่องมารดาของนางไปด้วยประจบประแจงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นเซียนเลยนะนั่น“ท่านแม่ คนแบบนี้เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุก หน้าที่ตัวเองไม่ยอมทำ ต้องให้คอยสั่งอยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ทำมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารสำหรับพวกนางหรอกเจ้าค่ะ”“เดี๋ยวสิเจ้าคะ&rd
สิ่งที่ได้มาเป็นเหมือนความมหัศจรรย์ที่นางยังรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเพียงความฝัน หากวันหนึ่งหายไปนางคงทำอะไรไม่ถูก นี่ก็เหมือนการเตรียมใจอย่างหนึ่งตอนนี้ฉินหลิวซีเป็นผู้ใช้โอสถฝึกหัดระดับสอง สามารถปรุงโอสถระดับกลางออกมาได้แล้วหลังจากรดน้ำทุกแปลงเรียบร้อยแล้วนางก็ต้องไปเก็บสมุนไพรที่ด้านนอกต่อ เห็นพี่สาวเตรียมตัวเขาก็รู้ได้ทันทีว่านางจะไปไหน“ท่านพี่ ข้าไปด้วย” พอแยกมาอยู่แบบนี้เขาก็ไม่มีสหายเล่นนอกจากพี่สาว จึงยิ่งติดนางเข้าไปใหญ่ หากไม่ได้อยู่ระหว่างฝึกฝนส่วนตัวเขาก็จะเกาะติดพี่ไปทุกที่“ได้สิ” ฉินหลิวซีห่ออาหารว่างไปกินระหว่างทางเผื่อน้องชายของนางหิวก่อนจะถึงมื้อเที่ยงทั้งสองคนมีย่ามคนละใบสะพายข้าง ฉินซือหยวนร้องเพลงเด็กไปตลอดทาง เขาไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนใครบนภูเขาที่อยู่ตอนนี้เป็นที่อยู่ของซุนเป่ยฉี ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามคนนอกจึงเข้ามาได้ แต่จะมีชีวิตรอดไปได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะสถานที่แห่งนี้สัตว์อสูรค่อนข้างเยอะ คนธรรมดาจะไม่ค่อยเข้ามากัน“เดือนนี้อาจารย์ก็จะออกไปรักษาคนอีกหรือเปล่านะ”
“ถึงเจ้าจะเก่งและมีไหวพริบดี แต่บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาจนกว่าจะสังเกตเห็นด้วยตัวเอง สมุนไพรชนิดที่ห้านี้เจ้ามุ่งแต่จะล่อมันออกมา แล้วค่อยเก็บโดยลืมประเมินถึงฝีมือของตน กลับมาถามข้าเสียหน่อยก็ไม่เสียรู้เจ้าหรอก สัตว์อสูรตนนั้นมีทั้งวิธีไล่และวิธีล่อ เหมือนกับที่คนเรามีของที่ชอบและไม่ชอบ ถ้าเจอของที่ชอบก็จะวิ่งเข้าใส่ ถ้าเจอของที่เกลียดก็จะวิ่งหนี พวกสัตว์ก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน”นางพยักหน้าหงึกหงักคิดตาม ฟังหมอเทวดาพูดอย่างตั้งอกตั้งใจซุนเป่ยฉีสอนนางแยกชนิดสมุนไพรเพิ่มเติม บางส่วนเขามีเก็บไว้ซึ่งหาไม่ได้จากบริเวณนี้ มาจากประสบการณ์การเดินทางอันยาวนานที่ผ่านพื้นที่หลากหลายฉินหลิวซีเป็นคนฉลาดหลักแหลมนางจึงจดจำได้เมื่อมีครั้งต่อไปที่อาจารย์สั่งให้นางไปเก็บสมุนไพรชนิดที่ห้ามาอีกครั้ง นางจึงใคร่ครวญในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวิธีการที่ดีที่สุด โดยหัดใจเย็นและประเมินสภาพโดยรอบก่อนนางสะสมประสบการณ์และการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ อยู่ทุกวันอย่างไม่ย่อท้อเพียงพริบตาเดียวเด็กหญิงก็เติบโตขึ้นไปอีกนิดแล้วจากบ้านมาเข้าปีที่สอง ฉินหลิวซีตัวสูง
ฉินซือหยวนนั่งสานไม้ไผ่รอพี่สาว เขายังออกแรงนาน ๆ และหนัก ๆ อย่างนางไม่ได้ หมอเทวดาจึงให้ศิษย์อย่างไม่เป็นทางการฝึกการใช้สมาธิไปพลาง ๆ ก่อน ระหว่างที่ปล่อยให้ตัวเองวิ่งเล่นจนปราณโคจรทั่วร่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแรก ๆ นั้นฉินซือหยวนก็ทำได้ไม่นาน ปราณโคจรขาด ๆ หาย ๆ ไม่ต่อเนื่อง แต่หลังจากฝึกมาได้หลายวันเข้าก็ทำได้นานขึ้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมมันให้เป็นไปอย่างนั้นทั้งวันได้ฉินหลิวซีฝากน้องชายไว้กับอาจารย์ก็วางใจและออกไปสำรวจได้ไกลขึ้นซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกให้ฉินหลิวซีทำเหมือนน้องชาย แต่นางก็ทำและเรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อมกับน้อง นี่ก็เพื่อความแข็งแกร่งของตัวนางเองด้วยเหมือนกัน ระหว่างวันนางพยายามโคจรปราณให้ได้ตลอด ก่อนหน้านี้นางสามารถรีดเค้นพลังออกมาเมื่อจำเป็น และใช้มันได้นานพอสมควร พอเสร็จงานแล้วนางก็ปกปิดพลังยุทธ์พอได้มาลองทำทั้งวันอย่างนี้แล้วกลับพบว่าเหนื่อยมาก สำนึกรู้ได้ทันทีว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นจริง ๆเด็กหญิงเดินสำรวจไกลออกมาจนพบกอสมุนไพรกลุ่มหนึ่งตามคำบอกเล่า แม้อาจผิดพลาดได้แต่นางก็ต้องลองเก็บกลับไปก่อน หากใช่จึงจะมาเก็บพวกมันที่เหลือทว่าก่อนจะได้ลงม
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เรื่องไร้สาระ ท่านอาจารย์อย่าได้ใส่ใจ”“เตรียมของพร้อมหรือยัง”นางพยักหน้าและกลับไปเอาของที่วางไว้ทั้งหมดใส่ย่าม เดินกลับออกมาพร้อมจูงมือน้องชายมาด้วย ฉินก่วงกับชิวย่าหนานเดินออกมาส่งบุตรทั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวกำชับนางหลายเรื่อง ทั้งเป็นห่วงทั้งอยากจะรั้งไว้ แต่ก็หักห้ามตนเอง“เดี๋ยวข้ากับน้องจะกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”“ลาก่อนขอรับ” ฉินซือหยวนกอดท่านพ่อท่านแม่เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เจอทั้งสองคนอีกนาน“เดินทางปลอดภัยนะ”พวกเขามาส่งลูก ๆ ถึงหน้าประตูเมือง ยืนมองจนกระทั่งแผ่นหลังของทั้งสามคนหายลับไปจากสายตาสองสามีภรรยากลับมาบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว คิดว่าพวกตนต้องเหงาแน่ ฉินก่วงโอบไหล่ภรรยาด้วยต้องการจะปลอบประโลมนาง เขายังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทำให้นางต้องเหงาจนเกินไปแน่ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ความสงบที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้พบเจอกลับมลายหายไป“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวดี! ข้าหรืออุตส่าห์กำชับไว้แล้ว ทำไมเด็กพวกนั้นไม่พาอาสี่ของตนไปด้วยฉินซือหยวนก็ไม่อย
“เจ้าตัวดี เดี๋ยวนี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะ” นางบีบแก้มหลานสาวเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ฉินซือหยวนเห็นพี่สาวทำแล้วท่านน้าชอบใจก็เลียนแบบ กลายเป็นหลานทั้งสองติดน้าหญิงเล็กแจเสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้พวกที่ได้ยินรู้สึกพองฟูในหัวใจตามไปด้วยชีวิตประจำวันดำเนินไปเช่นนี้ไม่แตกต่าง เวลาผันผ่านจากวันที่อาจารย์จากไป รวมแล้วห้าเดือนอย่างที่เคยบอก ในที่สุดหมอเทวดาก็หวนกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง“คารวะท่านอาจารย์ เดินทางครั้งนี้คงเหนื่อยแย่สินะเจ้าคะ”บ้านหลังเดิมที่เขาเคยเช่าอยู่ ตอนนี้ปัดฝุ่นไว้จนสะอาดด้วยฝีมือของลูกศิษย์ตัวน้อยก่อนเขาจะมาถึงด้วยซ้ำ ซุนเป่ยฉีเห็นดังนั้นก็รู้สึกชอบใจมาก หัวเราะและเอ่ยชมนางออกมาเสียงดัง“ข้าไม่อยู่เพียงไม่นานก็เลื่อนขั้นได้ด้วยตัวเองแล้วหรือ ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้” เขาหรี่ตามอง ใช้ปราณเพ่งสำรวจ ระยะเวลาไม่กี่เดือนลูกศิษย์ของเขาก็เลื่อนขั้นไปอีกสองขั้นแล้ว ก้าวหน้าเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหรือผู้มีพรสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น“พ่อแม่กับน้องชายเจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากหมอเทวดาจากไปได้สองเดือน นางเหลือเวลาอีกไม่นานในการเตรียมบิดามารดาให้พร้อม ฉินหลิวซีพาบิดาเข้าป่าล่าสัตว์และฝึกฝีมือไปด้วย ฝีมือการล่าสัตว์ของบิดาดีกว่าฉินหลิวซีมาก เขาล่าได้มากกว่าสามเท่าที่ฉินหลิวซีเคยล่าสัตว์ได้เด็กหญิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันด้วยความพอใจ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ให้พวกเขาเลือกปลุกพลัง คนเรามีความสามารถ แค่อยู่ที่จะถูกค้นพบและจุดประกายเมื่อไหร่“ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าฝีมือของท่านจะหาตัวจับได้ยาก แต่ก็อย่าเพลินเกินไปจนล่าสัตว์หมดป่านะเจ้าคะ” นางเอ่ยเตือนทั้งรอยยิ้ม หัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ“พ่อจะระวังก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดายิ้มตอบ ดูเหมือนว่าการที่เขาเลือกทางนี้จะถูกต้องแล้ว เพราะบุตรทั้งสองมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นในฝีมือการล่าสัตว์อันล้ำเลิศของบิดาน้องชายก็ตื่นเต้นมากจนขอร่วมฝึกด้วย ฉินหลิวซีให้น้องชายไปฝึกเรื่องการแกะรอยและล่าสัตว์กับผู้เป็นพ่อ ส่วนนางก็มาฝึกเพลงหมัดและการเดินปราณให้แม่หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนทั้งครอบครัว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่า“ท่านพ่อ
หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
“วันนี้ขอรบกวนด้วยนะเจ้าคะ” ชิวย่าหนานกับสามีโค้งลงให้อาจารย์ของบุตรสาว นางมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือมาเป็นมารยาทซุนเป่ยฉีหันไปถามเรื่องราว จนได้ความว่าทั้งสองรู้เรื่องเพียงคร่าว ๆ หมอเทวดาพาทั้งคู่มานั่งด้านในเรือน นำน้ำชามารับรอง ทั้งสองมองดูบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างคล่องมือ“พวกท่านตัดสินใจอย่างใดหลังจากได้ฟังเรื่องที่นางพูด”“ข้ายังลังเล เพราะเงินที่เสียไปนั้นเหมือนว่าชาตินี้ข้าก็ไม่มีทางหาได้ การต้องแลกเปลี่ยนดูเป็นน้ำหนักที่มากมาย” ชิวย่าหนานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ“การแลกเปลี่ยนย่อมต้องเท่าเทียม ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านนั้นมีอยู่มากมายที่รู้สึกเสียดายกับการฝึกตน แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นผู้รู้สึกเสียดาย ก็ต้องถามความสมัครใจ สำหรับผู้อยากย้อนเวลาแต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร จึงได้คิดค้นยาเม็ดนี้ขึ้นมา ซึ่งวัตถุดิบของมันก็ไม่ใช่ว่าหาง่าย”“นั่นละขอรับ มันต้องมากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินก่วงก็รู้สึกลำบากใจไม่แพ้ภรรยา หากพวกเขาหาเงินจำนวนนั้นไม่ได้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอไปจนสิ้นอายุขัยหรือ“นางจะเป็นห่วงพวกท่านนั้นก็ไม่แปลก เพราะนางรู้ดีว่าคนที่มีวิชากั
หลังจากได้ปรึกษาซุนเป่ยฉี อาจารย์ของนางจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน และเดินทางไปยังเมืองอื่นถึงห้าเดือน รวมเวลาเกือบครึ่งปีจึงจะวนกลับมารับฉินหลิวซีเพื่อไปศึกษาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว ระหว่างนั้นนางต้องเป็นผู้ฝึกสอนการใช้ปราณให้คนในบ้าน ทว่าเรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจนักว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ หากปฏิเสธนางคงต้องเกลี้ยกล่อมหนักหน่อย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวถูกผู้อื่นรังแกตอนที่นางไม่อยู่วันนั้นหลังจากกลับมาบ้าน ฉินหลิวซีก็ขอคุยกับพ่อแม่อย่างจริงจังหลังอาหารมื้อเย็น เห็นบุตรสาวทำหน้าจริงจังพวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจ จะถามก่อนก็ไม่กล้าจึงได้แต่รอให้ฉินหลิวซีเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน“ข้ารู้สึกเป็นห่วงคนข้างหลัง การติดตามอาจารย์นั้นไม่มีทางจบในวันสองวัน นอกจากนี้อาจารย์เป็นหมอเทวดา ต้องออกเดินทางรักษาผู้คนไปตามเมืองต่าง ๆ ลูกผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องติดตามไปดูแลปรนนิบัติท่านด้วย การไปศึกษาสถานการณ์จริงย่อมต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ข้า ทว่าการจะให้ทิ้งพวกท่านไปก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” การเดินทางแต่ละครั้งอย่างเร็วสุดก็คงครึ่งปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ อย่างที่อาจารย์ของนางเล่าว่าที่เดินทางออกไปนั้นกินเวล