หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
วันโลกาวินาศในนิยามของใครหลายคน อาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือความหายนะที่มาเยือน ความเท่าเทียมที่ไม่ว่าสถานะของเจ้าตัวจะเป็นราชาหรือสามัญชนก็หนีไม่พ้น จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นแต่ตรรกะของความเท่าเทียมที่เธอคิดนั้นก็พังทลายเพราะสิ่งที่ตัวเองมีฉินหลิวซีในวัยสามสิบปียังคงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่ไวรัสปริศนากำลังระบาด และเป็นเช่นนี้มากว่าสิบปีแล้ว ไวรัสไม่ทราบที่มานี้คร่าชีวิตคนไปหลายพันล้าน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นซอมบี้ที่ฉินหลิวซีสามารถอยู่รอดมาได้เป็นสิบปี เพราะพลังพิเศษที่ตื่น เธอมีมิติที่สามารถเก็บของได้ แม้มีพื้นที่จำกัดขนาดประมาณหนึ่งห้อง และเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้เอง แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอได้เปรียบคนอื่นมากแล้วเมื่อมนุษย์โลกมีจำนวนน้อยลง คนในศูนย์อพยพก็มีอัตราการแย่งชิงที่น้อย เพราะอาหารไม่ขาดแคลนเท่าแต่ก่อน ทว่าตัวเจ้าหน้าที่ที่ประจำแต่ละศูนย์ก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน กลับกันฝูงซอมบี้ที่ด้านนอกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ“ฉินหลิวซีเธอไปเอาอาหารหรือยัง” เพื่อนในค่ายอพยพคนหนึ่งถามเธอที่กำลังใจลอย“อ่า อื้ม ไปเอามาแล้วละ” หญิงสาวตอบกลับไปยิ้ม ๆ“ได้ยินมาว่ามีผู้อพ
“อาหารของพวกเราไม่เพียงพออีกแล้ว! ต่อไปนี้ใครที่ต้องการอาหารต้องมาช่วยกำจัดซอมบี้ข้างนอกนั่น! เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่ลงมือ!” เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะเบ็งบอกให้ได้ยินกันทั่วโถง สิ้นเสียงของเขาก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของพลเมืองที่ไม่พอใจการตัดสินนั้น“ถ้าไม่ทำก็ออกไปเป็นอาหารซอมบี้เองเถอะ!” เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่สนว่าจะมีคนไม่พอใจหรือไม่ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้อให้เหลือการประนีประนอมอีก“กลุ่มแรก ใครอาสาให้มาที่นี่” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งยกธงขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พวกเขาใช้เสียงสดในการประกาศจึงต้องใช้งานลำคอมาก บางครั้งก็เหมือนตะคอกทั้งที่ไม่ตั้งใจฉินหลิวซีเห็นใจเจ้าหน้าที่บางคนที่ต้องรับมือกับสถานการณ์อันยากลำบากนี้ ส่วนคนที่ทำงานนี้แบบส่ง ๆ เธอไม่มีใจจะสงสารแม้แต่เสี้ยวเดียว จริงอยู่ว่าเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่พอมานานแล้วจึงต้องรับอาสาสมัครอยู่เรื่อย ๆ แต่คนที่รับงานนี้แค่เพราะอยากกร่างและใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นก็มีไม่น้อยฉินหลิวซีเข้าไปเป็นอาสาสมัครในกลุ่มแรก หญิงสาวแซ่ฉินเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีของเจ้าหน้าที่เวลาร้องขออาสาสมัคร แม้เธอจะไม่ได้ร่วมทุกครั้ง แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่จะมีชื่อเธอปรากฏอยู่ฉินหลิ
ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้วเมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่ แต่ไม่เคยตกถึงท้องเทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่า อันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริงฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่า การต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินไ
อย่างที่ได้รับรู้ในความทรงจำตกค้างที่นางเข้าใจผิดไปเองว่า เป็นความฝัน ครอบครัวนี้ความเป็นอยู่ย่ำแย่ สะใภ้ถูกดูแลเหมือนเป็นคนใช้ในบ้าน ฉินหลิวซีเดินตามหลังผู้เป็นแม่ที่หอบตะกร้าสูงท่วมหัวออกไปยังแม่น้ำใกล้ ๆ ซึ่งจะบอกว่าใกล้ก็บอกได้ไม่เต็มปาก เพียงแต่มันเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ใกล้ที่สุด และก็เดินจนปวดขา บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยทำงานในที่นาของครอบครัว สองแม่ลูกดูแลเรื่องงานบ้านภายในและซักผ้าเป็นหลักชิวย่าหนานเห็นบุตรสาวไม่พูดก็นึกแปลกใจอยู่ แต่เห็นหน้านางซูบซีดคิดว่าคงเหนื่อย จึงไม่ได้ถามอะไร“ข้าขอตัวไปถ่ายหนักสักครู่นะเจ้าคะ”มารดาพยักหน้าไม่ได้ซักไซ้อะไร ฉินหลิวซีจึงปลีกตัวเดินออกมาไกล ๆ ได้อย่างไม่ผิดสังเกต พ้นสายตามารดามาได้นางก็มองหาต้นอ่อนพันธุ์ไม้ต่อ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ลองใช้พลังธาตุไม้ที่ติดตัวมาดู จากที่เคยทำให้ต้นกล้างอกใบออกมาได้ไม่กี่ใบ ทำให้รากไม้ขยับได้นิดหน่อย ตอนนี้แค่เพียงใส่พลังเข้าไปต้นอ่อนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นลำต้นในเวลาไม่กี่อึดใจฉินหลิวซีกำลังจะฉีกยิ้มยินดี เสียงท้องนางก็ร้องประท้วงขึ้นมาขัดจังหวะ ใบหน้าเด็กหญิงแข็งค้าง นึกได้ว่าตนยังไม่ได้กิน
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไขเวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน ไม่มีน้ำส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอเพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไงถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า” ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคน
“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหนฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม“เก่งมาก”เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง“อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ”ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเองฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมานางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมันนางหันมองน้องชา
จนวันนี้อาหารของนางต่อหน้าครอบครัวก็ยังมีแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ ในแต่ละวันนางจะพาน้องชายเข้าป่าเพื่อหาของกิน สองสามวันมานี้มารดาชอบถามพวกนางว่าไปเล่นกับใครที่ไหน ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกด้วยกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้ระแคะระคายไปมากกว่านี้ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้พาน้องชายออกไปอีก แล้วอีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาก็คือท่านย่าเริ่มระแคะระคายที่มีฟืนหายไปวันละสี่ห้าท่อนจึงอยู่บ้านเพื่อหาทางจับผิดวันนี้นางตามมารดาออกมาซักผ้า หลังจากช่วยจนผ้าใกล้หมดตะกร้าแล้วนางก็ทำทีขอไปเดินเล่น ผู้เป็นแม่เห็นว่านางช่วยซักผ้าจนมือเปื่อยมือเย็นจึงพยักหน้าอนุญาต หากผ้าไม่ใช่ตะกร้าใหญ่อย่างวันนี้นางทำคนเดียวก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้ผ้ามาจนล้น นางทำจนเย็นก็ยังซักไม่เสร็จบุตรสาวจึงต้องมาช่วยฉินหลิวซีมุดเข้าไปหลังม่านเถาวัลย์เหมือนครั้งก่อน โชคดีที่นางตัวเล็กจึงไม่มีปัญหา แต่หากโตไปกว่านี้คงต้องมองหาที่ลับตาคนใหม่แล้ว เด็กหญิงเข้าไปในห้วงมิติของตน นางยังไม่มีเวลาสำรวจกระท่อมนี้เลยจนกระทั่งวันนี้หลังจากเข้ามาได้นางก็เริ่มทำการสำรวจภายในกระท่อม ด้านในกระท่อมมีตั่งไม้ยกสูงขึ้นมาสำหรับเป็
หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
“วันนี้ขอรบกวนด้วยนะเจ้าคะ” ชิวย่าหนานกับสามีโค้งลงให้อาจารย์ของบุตรสาว นางมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือมาเป็นมารยาทซุนเป่ยฉีหันไปถามเรื่องราว จนได้ความว่าทั้งสองรู้เรื่องเพียงคร่าว ๆ หมอเทวดาพาทั้งคู่มานั่งด้านในเรือน นำน้ำชามารับรอง ทั้งสองมองดูบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างคล่องมือ“พวกท่านตัดสินใจอย่างใดหลังจากได้ฟังเรื่องที่นางพูด”“ข้ายังลังเล เพราะเงินที่เสียไปนั้นเหมือนว่าชาตินี้ข้าก็ไม่มีทางหาได้ การต้องแลกเปลี่ยนดูเป็นน้ำหนักที่มากมาย” ชิวย่าหนานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ“การแลกเปลี่ยนย่อมต้องเท่าเทียม ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านนั้นมีอยู่มากมายที่รู้สึกเสียดายกับการฝึกตน แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นผู้รู้สึกเสียดาย ก็ต้องถามความสมัครใจ สำหรับผู้อยากย้อนเวลาแต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร จึงได้คิดค้นยาเม็ดนี้ขึ้นมา ซึ่งวัตถุดิบของมันก็ไม่ใช่ว่าหาง่าย”“นั่นละขอรับ มันต้องมากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินก่วงก็รู้สึกลำบากใจไม่แพ้ภรรยา หากพวกเขาหาเงินจำนวนนั้นไม่ได้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอไปจนสิ้นอายุขัยหรือ“นางจะเป็นห่วงพวกท่านนั้นก็ไม่แปลก เพราะนางรู้ดีว่าคนที่มีวิชากั
หลังจากได้ปรึกษาซุนเป่ยฉี อาจารย์ของนางจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน และเดินทางไปยังเมืองอื่นถึงห้าเดือน รวมเวลาเกือบครึ่งปีจึงจะวนกลับมารับฉินหลิวซีเพื่อไปศึกษาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว ระหว่างนั้นนางต้องเป็นผู้ฝึกสอนการใช้ปราณให้คนในบ้าน ทว่าเรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจนักว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ หากปฏิเสธนางคงต้องเกลี้ยกล่อมหนักหน่อย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวถูกผู้อื่นรังแกตอนที่นางไม่อยู่วันนั้นหลังจากกลับมาบ้าน ฉินหลิวซีก็ขอคุยกับพ่อแม่อย่างจริงจังหลังอาหารมื้อเย็น เห็นบุตรสาวทำหน้าจริงจังพวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจ จะถามก่อนก็ไม่กล้าจึงได้แต่รอให้ฉินหลิวซีเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน“ข้ารู้สึกเป็นห่วงคนข้างหลัง การติดตามอาจารย์นั้นไม่มีทางจบในวันสองวัน นอกจากนี้อาจารย์เป็นหมอเทวดา ต้องออกเดินทางรักษาผู้คนไปตามเมืองต่าง ๆ ลูกผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องติดตามไปดูแลปรนนิบัติท่านด้วย การไปศึกษาสถานการณ์จริงย่อมต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ข้า ทว่าการจะให้ทิ้งพวกท่านไปก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” การเดินทางแต่ละครั้งอย่างเร็วสุดก็คงครึ่งปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ อย่างที่อาจารย์ของนางเล่าว่าที่เดินทางออกไปนั้นกินเวล
“เรื่องนี้ข้าก็คิดว่าจะหาเวลาไปคุยกับท่านอยู่พอดี อาจารย์ของข้าไม่ปักหลักอยู่ที่เมืองใดนาน อีกไม่นานก็จะเดินทางไปจากเมืองนี้ และข้าก็จะติดตามไปด้วย หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้บ้านเสร็จก่อนออกเดินทาง”“ข้าพอรู้อยู่ว่าสกุลฉินเป็นอย่างไร เห็นด้วยอย่างที่เจ้าว่า ข้าจะเร่งมือให้”“ขอบคุณท่านลุงที่ช่วยเหลือ” นางประสานมือก้มหน้าลงแสดงการขอบคุณ ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องแบบบ้านที่นางต้องการเพิ่มเติมจากคราวก่อน ไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปโดยเข้าไปพบหมอเทวดาครั้งหนึ่งเพื่อทักทาย“ตัดสินใจแน่แล้วหรือว่าจะไปกับข้า” ซุนเป่ยฉีได้ยินเรื่องที่คุยกันทั้งหมด แต่เขายังไม่ได้บอกนางว่ากำหนดจะออกเดินทางเมื่อใด ไม่คิดว่านางจะคาดการณ์ล่วงหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนรู้จากท่าน ย่อมต้องติดตามท่านไปแน่นอน” ฉินหลิวซีตอบรับอย่างหนักแน่น นางอยากท่องโลกกว้างใบนี้ นางเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรน่าสนใจรออยู่มากมาย เพราะที่นางอยู่เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น “ท่านพี่จะไปหรือ” ฉินซือหยวนเดินเกาะชายกางเกงผู้เป็นอาจารย์ของพี่สาวออกมา ดวงตาปรือปรอยเหมือนพึ่งตื่นจ
“ก่อเกิดลมปราณแบ่งได้เป็นระดับขั้นใหญ่ ๆ แปดขั้น สามขั้นแรกต้องผ่านขั้นย่อยเก้าขั้นจึงจะไปสู่ขั้นถัดไปได้ เมื่อไปถึงปฐพีลมปราณที่เป็นขั้นที่สี่ ต้องผ่านขั้นย่อยทั้งสิ้นห้าขั้น จึงจะไปถึงก่อกำเนิดเซียนที่เป็นขั้นห้า พวกขั้นน้อยใหญ่เหล่านี้ บางคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่อาจไปถึงได้ เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่มาถึงขั้นห้าได้นับว่ามีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์”นอกจากขั้นของผู้ฝึกตนเหล่านี้แล้ว ยังมีขั้นของสัตว์อสูรและผู้ปรุงโอสถที่นางต้องจดจำ ธาตุหลักทั้งสี่ส่งผลต่อกันอย่างไรนางก็ต้องรู้ ต่อต้านกันอย่างไรนางก็ต้องเข้าใจให้ชัดแจ้ง หากสามารถเข้าใจศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ นางอาจสามารถผสานธาตุต่าง ๆ เพื่อใช้งานได้สัตว์อสูรมีเจ็ดขั้นใหญ่ ๆ ความสามารถของมันเพราะบ่งบอกถึงความยากในการจับและเอาชนะ ก่อเกิด ก่อกำเนิด จักรพรรดิ เซียน บรรพกาล เทพ และเทวะ ในเจ็ดขั้นนี้มีเพียงสามขั้นแรกที่สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีกสิบระดับสายผู้ปรุงโอสถที่อาจารย์ของนางชำนาญก็มีความชำนาญแบ่งตามระดับขั้นเช่นกัน แต่อาจารย์บอกให้นางเรียนรู้ไปก่อน เรื่องขั้นลำดับยังไม่ต้องไปจำนักก็ได้ฉินหลิวซีเห็นด้วย บางอย่างต่อให้จำไปก็เท่านั
ทั้งสองคนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของใหม่ที่ไม่มีรอยปะรอยขาด เป็นเรื่องปกติที่ใครก็ควรได้รับแท้ ๆ แต่เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้รับของเหล่านี้ ทั้งสองรู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา ชิวย่าหนานเปลี่ยนชุดใหม่ให้บุตรชาย เห็นเขาได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ก็ยิ่งร้องหนัก แต่ไม่ได้สะอื้นให้บุตรชายได้ยินหากนางมีความสามารถพอที่จะทำได้แบบนี้ก่อนหน้านี้ก็คงดีฉินหลิวซีนำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงยื่นไปให้ผู้เป็นอาจารย์ นางเก็บเอาไว้ไม่ถึงร้อยตำลึง เพราะให้บิดาไปบ้างและยังซื้อข้าวของไปไม่น้อย“สิ่งนี้คือ?”“เงินที่ท่านอาจารย์ออกหน้าช่วยไว้ ข้าขอคืนให้เจ้าค่ะ”นี่ก็ทำให้เขาอึ้งอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะซื้อที่ดินสร้างบ้าน นี่ยังนำเงินมาคืนเขาอีก เด็กคนนี้มีเงินติดตัวอยู่เท่าไรกันแน่แต่ถามไปก็คงไม่บอกสินะ“ข้าไม่อยากรู้สึกว่า ตนเองติดหนี้บุญคุณใคร อาจารย์โปรดรับไว้ด้วย”“ก็ได้ ตามใจเจ้า” เขารับตั๋วเงินใบนั้นเก็บเข้าไปในอกเสื้ออย่างว่าง่าย เพียงเจอนางไม่กี่ครั้งก็พอจะคาดเดานิสัยนางได้แล้ว เขาต้องกา
“เอาละ ๆ ขอโทษด้วย ข้าผิดเอง โสมนี้ห้าร้อย...”“เจ็ดร้อย”“หกร้อย”“หนึ่งพัน”“แปดร้อย”“ข้าไม่ขาย” เด็กหญิงกอดอกอย่างไม่ยอม“ได้ ๆ หนึ่งพันสองร้อยตำลึงทอง” เถ้าแก่ยอมแพ้ก่อนนางจะเปลี่ยนใจ รีบขึ้นไปบอกบุตรสาวให้นับเงินมาให้ฉินก่วงได้ยินจำนวนเงินนั้นก็ตกใจตาค้าง ตอนแรกที่โต้เถียงกันอยู่นั้น เขานึกว่ามันอาจจะเป็นตำลึงเงินหรืออาจจะหูฝาดได้ยินผิดไป จริง ๆ อาจจะเป็นพันอีแปะ ผู้เป็นบิดายืนอึ้งไม่รู้สติ จนกระทั่งบุตรสาวได้รับเงินครบถ้วน นางจึงมาสะกิดเขาให้รู้ตัวฉินก่วงเดินเหม่อเกือบตลอดทางกลับบ้าน เขาไม่กล้าถามเลยว่า บุตรสาวไปหาของแบบนั้นมาได้อย่างไร เห็นสีหน้าผู้เป็นพ่อก็รู้ว่าเขาสงสัยแน่ หากไม่บอกอะไรเลยก็คงค้างคาใจอยู่แบบนี้“ข้าได้บังเอิญช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งเอาไว้ เขาจึงมอบสิ่งนี้ให้เป็นการตอบแทนน่ะเจ้าค่ะ” นางยิ้มใสซื่อให้ เห็นเช่นนั้นฉินก่วงก็ไม่กล้าถามอีก แม้จะมีความรู้สึกว่านางบอกไม่หมด แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรไปมากกว่านี้ ตราบใดที่ไ
“เจ้าค่ะ เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” นางมาส่งเขาที่หน้าบ้านก่อนจะกลับเข้าไปพักผ่อนปัญหาเท่านี้ยังไม่จบ ถึงแม้อาจารย์จะเมตตาซื้อตัวมา แต่นางก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร เห็นทีจะต้องใช้ไม้ตายก้นหีบเสียแล้ว นางเก็บสมุนไพรราคาสูงเอาไว้ในมิติจำนวนมากก็เพื่อการนี้ นางอยากรีบเรียนวิชาแพทย์ให้กระจ่างก็จริง แต่ไม่อยากอยู่ตัวติดกับอาจารย์ผู้นั้นไปตลอดชีวิตเพียงเพราะว่าเป็นหนี้บุญคุณ หลังจากสำเร็จวิชาจนแตกฉานพอแล้วอย่างไรนางก็จะแยกตัวออกไปอยู่ดี การเลือกจะเป็นหนี้บุญคุณนั้นตัดออกไปจากตัวเลือกนางได้เลยคืนนั้นฉินหลิวซีนอนดึกกว่าใคร หลังจากทุกคนในบ้านหลับ นางก็แอบเข้าไปในมิติเพื่อนำโสมออกมาไว้ในถุงเฉียนคุณที่หลี่เจิ้นหัวเคยให้เป็นตัวแทนมิตรภาพระหว่างพวกเขา โสมยิ่งแก่ยิ่งมีสรรพคุณดีเลิศและยิ่งราคาสูง ต้นที่นางเลือกหยิบมานี้ราคาไม่มีทางต่ำกว่าหนึ่งร้อยตำลึงทอง จากที่ดูตลาดตอนนี้ นางมีเพดานที่ตั้งเป้าไว้ในการขายมันพรุ่งนี้มาดูกันว่าจะได้สักเท่าไรเมื่อหาทางออกของปัญหาให้ตนเองได้แล้วความกังวลใจก็หมดไป คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ครอบครัวบุตรคนรองของบ้านสกุลฉินได้หลับ
แต่ไม่ใช่เลย ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยน มันยังเป็นเหมือนเดิมตลอด มีแต่เขาที่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ความจริง ลูกคนรองของบ้านหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง ที่ผ่านมาก็เป็นครอบครัวเขาเสียส่วนใหญ่ที่หาเลี้ยงคนในบ้าน ลงแรงมากกว่าใคร แต่ไม่เคยได้เงินและอาหารดี ๆ กิน เช่นนั้นแล้วทนอยู่เพื่ออะไร“ท่านแม่ ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของท่านที่ชุบเลี้ยงมาจนถึงป่านนี้ แต่ให้ข้าเมินเฉยต่อไปนั้นทำไม่ได้อีกแล้ว”“พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า!”“ตั้งแต่นี้ครอบครัวของข้าจะขอแยกตัวออกไปอยู่กันเอง”“หา!? พูดไร้สาระอะไรออกมา น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะหรือจะทำอะไรเองได้ แยกบ้าน พูดอะไรไร้สาระ!”คำพูดนั้นของบิดาแม้แต่ฉินหลิวซียังนึกว่าชาตินี้คงไม่ได้ยิน นางรู้สึกประหลาดใจและทึ่งอยู่หน่อย ๆ เกือบวางถาดน้ำชาแล้วปรบมือให้แล้วเชียว ถ้าบิดามีความคิดอย่างนี้ละก็ ยุให้แตกไปตอนนี้เลยดีที่สุด เด็กหญิงเห็นความหวังที่จะออกไปอยู่เองขึ้นมาชัดเจนขึ้น นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตก็ได้ นางไม่ยอมให้หลุดมือไปแน่“ท่านพ่อ” ฉินหลิวซีเรียกบิดาอย่า