ณ บ้านเวียงไชย อำเภอลอง จังหวัดแพร่ อธิคมและภาณินี วิริยนันท์ นักมานุษยวิทยา สามีภรรยาหนุ่มสาวเดินทางออกจากบ้านย่านคลองมอญ บางกอกน้อย ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของฝ่ายหญิงไปยังดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อทำโครงงานวิจัยดุษฎีนิพนธ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนโบราณ ถิ่นฐานต้นกำเนิดลำน้ำยม ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่เรือนไม้สักของแม่อุ๊ยเป็ง และหนานอิน ใช้ชีวิตอย่างเดียวกับชาวบ้าน กลมกลืนไปตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมของท้องถิ่น
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว ขณะนั่งผิงไฟรับไออุ่น อธิคมถามหนานอิน ในสิ่งที่เขาสงสัย
“ผมแน่ใจว่าตาไม่ฝาดแน่ แสงนั่นมันคืออะไร”
“ก็มีประจำทุกปีครับ เฉพาะช่วงคืนแรม เดือนยี่เป็ง บางคนก็ว่ามีสายแร่ทองแดงอยู่ใต้ดิน เอารถไถเข้าไปขุด พอคมไถแตะผิวดิน ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง! ลงมา ไม่ใครกล้าเข้าไปยุ่งกับมันแล้วล่ะครับ กลัวตายกัน”
แม่อุ๊ยเป็งกำลังเติมเชื้อฟืนใส่กองไฟอยู่ใกล้ ๆ กัน ได้ยินว่าพูดกันเรื่องอะไรอยู่ ก็เกิดอาการนัยน์ตาเบิกกว้าง กล้ามเนื้อหดตัว เหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางหวาดกลัว ร้องบอกกับภาณินี
“อาจารย์อย่าไปยุ่งกับมันนะ ที่นั่นมันมีคำสาป”
“ใครสาป แล้วทำไมต้องสาป อุ๊ยเป็งรู้หรือเปล่า” ภาณินีเลียบ ๆ เคียงถาม อยากรู้มากขึ้นไปอีก
อุ๊ยเป็งสั่นหน้า “พูดไม่ได้ แม่อุ๊ยบอกไม่ได้ อาจารย์อย่าถามต่อนะ”
“อ้าว” ภาณินีอุทาน หัวเราะเบา ๆ “แล้วอุ้มจะรู้มั้ยล่ะ”
“เอาเถอะอุ้ม พี่ว่า หมดหน้าหนาว เราค่อยเข้าไปดูที่ตรงนั้นกันนะ ไปด้วยกันมั้ยครับหนานอิน”
อุ๊ยเป็งจ้องหนานอินตาเขม็ง กลัวสามีจะตกปากรับคำ
“ผมมาคิด ๆ ดูนะอาจารย์ ไอ้พวกที่มีอันเป็นไปเพราะไปยุ่งกับที่ตรงนั้น แต่ละคน ถ้ามันไม่เป็นไอ้โจรก็เป็นพวกขี้โลภขี้เหล้า”
“เราสองคนไม่อยากได้อะไรจากที่ตรงนั้น เพียงแค่อยากรู้ว่า อะไรทำให้เกิดปรากฏการณ์ผิดธรรมชาตินี้ขึ้นมา”
“อืม” หนานอินสบตากับภรรยา “ไปด้วยก็ได้ แต่อาจารย์ต้องเข้าพิธีสาไหว้ผีปู่เจ้ากับผม”
“ครับ หนานอิน” อธิคมรับปาก ภาณินีเองก็พยักหน้ารับปากด้วย
แม่อุ๊ยเป็งมองสามีด้วยความผิดหวัง เขาและอาจารย์สองคนนี้จะนำภัยร้ายคืบคลานทำลายชีวิตอันสุขสงบของครอบครัว
ÿ
พอเข้าฤดูร้อน ทั้งสามคนก็เดินทางเข้าไปดูพื้นที่ต้นน้ำ
เหนือหมู่บ้านด้วยตาตนเอง หนานอินเตรียมผ้าทอด้ายดิบสีขาวไปผืนหนึ่ง พร้อมเครื่องบูชาเซ่นไหว้ผีปู่เจ้า ชาวบ้านนับถือต่อ ๆ กันมาหลายร้อยปีว่า คือ วิญญาณของเจ้าผู้ครองเวียงไชย อธิคมและภาณินีเดินตามหลังหนานอิน เลาะธารน้ำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงกอไผ่รวกกอใหญ่ร่มรื่น ลานกว้างหญ้ารกปกคลุม คล้ายฝีมือมนุษย์สรรค์สร้างลานกว้างนี้เอาไว้
ผู้เฒ่าวัยหกสิบเศษ ผมสีดอกเลากระจายทั่วศีรษะ แต่ยังกระฉับกระเฉง ปูผ้าขาวลงกับพื้น วางเครื่องบูชาเซ่นไหว้ จุดธูปเทียนปักลงดิน ก้มกราบขอขมาผีปู่เจ้า ความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจขจัดปัดเป่าออกไปส่วนหนึ่ง
อธิคมและภาณินีร่วมอยู่ในพิธีนั้นตามที่หนานอินสั่งเอาไว้ หากแต่ทั้งคู่ พนมมือน้อมจิตรำลึกถึงพระสยามเทวาธิราชผู้พิทักษ์ปกป้องแผ่นดินไทย และบอกเจตนาของการมายังสถานที่นี้
อาจารย์หนุ่มก้มกราบ เงยหน้าขึ้นมา เห็นภาพเลือนรางปรากฏเบื้องหน้า เขาจ้องมองไม่วางตา จนกระทั่งแน่ใจภาพที่ตนเองเห็น
“ข้างใต้นี้มีองค์พระธาตุ” เขาบอกกับภรรยาและหนานอินด้วยความตื่นเต้น
“ผีปู่เจ้าเวียงไชยแน่ ๆ อาจารย์ ทำให้อาจารย์มองเห็นอย่างนั้น”
หนานอินแนะนำให้อธิคมทดลองขุดดินลงไปตรงจุดที่เห็น
องค์พระธาตุ อธิคมเหวี่ยงด้ามจอบขุดดินตามที่หนานอินชี้จุด คมจอบฝังลึกลงไปในดินแค่ครึ่งหนึ่ง ปลายคมกระทบผืนดินดัง ชิ้ง! อธิคมค่อย ๆ งัดดิน ยั้งข้อแขนไม่คมจอบขุดลึกลงไปอีก แต่ลากผานจอบถากดินให้ขยายวงรอบกว้างออกไป เห็นแผ่นอิฐดินเผาเรียงซ้อน ริมฝีปากของอธิคมขยับ
”โอ...คุณพระช่วย !”
“เปรี้ยง!!! เปรี๊ยะ!!!!” ฟ้าผ่าต้นรัง กิ่งไม้ใหญ่น้อยลุกเป็นไฟ กลิ่นควันไหม้ตลบอบอวล พื้นดินสั่นสะเทือน
“กรี๊ดดดดด…!” ภาณินีโผกอดสามีด้วยความตกใจ หลับตาแล้วค่อย ๆ มองภาพตรงหน้าใหม่อีกครั้ง
หนานอินเองก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลง มือพนม ปากท่องมนต์บูชาผีปู่เจ้าตะกุกตะกัก
อธิคมตัดสินใจที่จะไม่ขุดต่อ เกลี่ยดินกลบปิดหลุม แล้วเอาหนามไผ่มาวางปกคลุม เขาขอให้หนานอินปิดความลับและช่วยรักษาสถานที่นี้จนกว่าเขาและภรรยาจะกลับมา จากนั้นอธิคมและภาณินีก็เดินทางไปกรุงเทพมหานคร
ÿ
หลังจากนั้น ถัดมาอีก 1 เดือน อธิคมและภาณินีเดินทางกลับมาพื้นที่วิจัยอีกครั้ง พร้อมกับคณะช่างสำรวจโบราณสถานของกรมศิลปากร อุดม ชนสุจริต อธิบดีกรมศิลปากร เดินทางมาดูด้วยตนเอง
การขุดค้นโดยนักโบราณคดีขยายหลุมกว้างและลึกออกไปพบห้องบรรจุพระพุทธรูปทองคำใต้ฐานองค์พระธาตุและแผ่นหินทรายแกะสลัก หลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ จมดินอยู่ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุ
การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีชุดใหม่นี้ทำให้ อธิคมและภาณินีตัดสินใจอยู่เก็บงานวิจัยต่อไปอีก 2 ปี
เมื่อครบกำหนด 2 ปีแล้ว สองสามีภรรยากลับมาทำงานประจำการสถาบันศึกษาและวิจัยมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เพียงสองเดือนหลังจากนั้นภาณินีก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว ระหว่างนั้นหนานอินส่งข่าวมาบอกสองสามีภรรยาว่า ตั้งแต่อธิคมขุดพบพระธาตุหลวงเวียงไชย ที่นั่นก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ดูท่าว่า คำสาปที่ร่ำลือกันมานานจะเป็นเรื่องไม่จริง หนานอินและอุ๊ยเป็งมีงานประจำเป็นมัคคุเทศก์และมีรายได้เสริมจากการขายละมุดในสวนให้นักท่องเที่ยว
ÿ
สิบเจ็ดปีต่อมา แก้วเก้า วิริยนันท์ บุตรสาวคนเดียวของอธิคมและภาณินี วิริยนันท์ เติบโตขึ้นเป็นสาวน้อย ผิวขาวอมชมพูเนื้อเนียน นัยน์ตาโตสวยหวาน จมูกโด่ง แก้มแดงเป็นพวง ผมยาวดำขลับจรดบั้นเอว ถักเปียแล้วม้วนขดบนศีรษะ เธอนั่งมองไปสุดคุ้งโค้งน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านหายลับไปในท่ามกลาง หมู่ขุนเขาด้านตะวันตก เธอกำลังเพลิดเพลินกับการปล่อยอารมณ์สุขสบายไปกับสายน้ำไหล
ช่วงพักกลางวัน บริเวณหลังโรงเรียนบ้านโมถ่าย อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เด็กชาย หญิงสองหรือสามคนมักจะวิ่งปราดจากโรงอาหารมานั่งใต้ต้นไทรริมน้ำเป็นประจำ และในวันหยุด สิ่งที่เป็นความสุขที่สุดของเธอก็คือการกระโดดลงน้ำตูม! ตูม! กับเพื่อนสนิท 2 คน
“ใหญ่ ดวงจำปา” ลูกชายคนโตของภารโรงและ “จำรัส” หรือ “หรัด ส่องสุข” ลูกชายนายสถานีรถไฟเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน วันที่เรียนจบมัธยมปลายทั้งสามคนมานั่งกอดเข่าเจ่าจุกมองสายน้ำอย่างเศร้าสร้อย “ใหญ่” ขว้างก้อนหินลงไปในแม่น้ำ แล้วก็มองดูมันจมลงไปก้อนแล้วก้อนเล่า
“เก้า” ใหญ่เรียกชื่อเพื่อนหญิง “พ่อกับแม่ของแกต้องไปจากที่นี่จริง ๆ เหรอ”
เด็กสาวถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบ “อืม...”
หรัดถอดชุดนักเรียนวางกอง เหลือกางเกงในสีหม่นมีรอยขาดเป็นรูโบ๋ที่ก้นข้างหนึ่ง เห็นเนื้อเนียนสีเข้ม
“ใหญ่ เก้า ก่อนที่พวกเราจะแยกจากกันไป มาเล่นน้ำด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
“พวกแกไปกันหมด เหลือฉันที่ไปไหนไม่ได้ ฮึ” ใหญ่ขว้างก้อนหินเม็ดสุดท้ายใกล้มือที่สุดออกไป ลุกขึ้นถอดชุดนักเรียน “เก้าแกจะลงเล่นน้ำกับพวกเรามั้ย”
“ไม่ล่ะ ที่บ้านรอฉันอยู่ ฉันต้องไปแล้ว พวกแกเป็นคนที่นี่ ยังไงก็ต้องอยู่ที่นี่ใช่มั้ย สักวันฉันจะกลับมา ฉันสัญญา”
“ไม่แน่หรอก” หรัดกระโดดลงน้ำเสียงดัง ตูม! โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ “ถ้าพ่อฉันย้ายไปอยู่สถานีอื่น ฉันก็ต้องย้ายบ้านเหมือนกัน”
“อ้าว ไปกันหมดเลย” ใหญ่กอดอกแห้ง ๆ รูปร่างผอมเกร็ง มีเค้าว่าถ้าโตขึ้นเขาคงจะสูงใหญ่เหมือนลุงสมบูรณ์พ่อของเขา
“ฉันจะจำไว้ว่าส่วนหนึ่งของแม่น้ำตาปีที่ตรงนี้ ยังไงก็มีแกรออยู่ แล้วฉันจะเขียนจดหมายมาหาพวกแก”
“เก้า... แกเขียนเล่าเรื่องเพื่อนใหม่มาให้ฉันอ่านบ้างนะ สัญญาว่าแกจะไม่ลืมฉัน”
ใหญ่ยื่นนิ้วก้อยออกมาข้างหน้า เก้ายื่นนิ้วก้อยเกี่ยวรัดกันเอาไว้ บอกกับใหญ่ว่า
“ฉันสัญญา หรัดด้วยนะ”
หรัดยื่นมือโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ชูนิ้วก้อยข้างซ้ายเนื้อซีดเกี่ยวกับนิ้วก้อยของแก้วเก้า
“เก้า...” ใหญ่เรียกอีกที “แกแวะบ้านฉันก่อน ฉันมีของที่อยากให้”
“ได้...” แก้วเก้าเดินตาม ร่างผอม ผิวเข้ม เขาพาไปบ้านภารโรงหลังโรงเรียนบอกให้เก้ารอหน้าบ้าน
ÿ
ลุงสมบูรณ์กับป้าบัวมีลูก 5 คน แออัดอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ท้ายโรงเรียน ป้าบัวเป็นแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียน แล้วก็เลี้ยงลูกไปด้วย ใหญ่ช่วยพ่อแม่เลี้ยงน้อง เวลาพักผ่อนของเขา คือ เวลาที่น้อง ๆ นอนหลับกลางวัน เขาใช้เวลานั้นไปเล่นน้ำกับเก้าและหรัด
ใหญ่ออกมาจากบ้าน กำสายเชือกสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจูงมือเก้าเดินไปหยุดยืนริมตลิ่ง ดวงตากลมโตจ้องมองเพื่อนรักอย่างตั้งใจ
“แกชอบพระจันทร์เดือนเสี้ยว กะลาตาเดียว ... พ่อได้มาจากแถว ๆ สวนโมกข์ ฉันขอแบ่งมาทำจี้สร้อยคอให้แก” ใหญ่ส่งสายสร้อยให้เพื่อน
“สวยดีนี่ แต่ทำไมมันยาวจัง ฉันใส่แล้วมันไม่ห้อยมาติดพุงเหรอใหญ่” เด็กสาวหยุดหัวเราะ เมื่อเห็นเขาทำหน้าตาจริงจัง
“ใครให้แกใส่ตอนนี้ล่ะ ฉันทำเผื่อตอนแกโตแล้วต่างหาก”
“อ้าว! เหรอ แล้วเกิดฉันอยากใส่ตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ” แก้วเก้าส่งสร้อยคืนให้เขา
“อ่ะ แกแหละใส่ให้ฉัน”
“เอาจริงเหรอ” ใหญ่ถาม อีกฝ่ายผงกศีรษะ
“ขอบใจนะใหญ่ ฉันจะเก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ฉันไม่มีอะไรให้แกเลย”
“ไม่เป็นไร เก้า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแก ฉันเก็บมันไว้ในนี้”
ใหญ่ตบหน้าอกตำแหน่งที่ตรงกับหัวใจตัวเอง “โชคดีนะเพื่อน”
“แกก็เหมือนกัน” แก้วเก้าโบกมือลาเพื่อนทั้งสองคน
ÿ
รถบรรทุกสิบล้อแล่นผ่านหน้าโรงเรียน ข้างหน้ารถคันนั้น แก้วเก้านั่งแทรกกลางระหว่างพ่อและแม่
“ลาก่อนลำธารที่เคยแหวกว่าย โรงเรียนและเพื่อนรักของฉัน” เด็กสาวเลื่อนตัวเองมาข้างหน้า ชะโงกดูภาพทิวทัศน์ ตั้งใจจดจำมันเอาไว้ “ฉันก็เก็บแกไว้ในนี้เหมือนกันนะ”
“เก้ายังไม่หายคิดถึงเพื่อนอีกเหรอ” พ่อถามพลางยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ
“พ่อคะ... เก้าจะได้กลับมาที่นี่อีกมั้ย…”
“วันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้นนะ เราก็กลับมาเที่ยวที่นี่ได้อีก”
“โอโห... ทำไมต้องรอจนเก้าโตด้วย พ่อกับแม่พาเก้ามาตอนปิดเทอมไม่ได้เหรอคะ”
“ที่นี่ไกลจากบ้านของเรามาก” เขาอยากให้ลูกสาวตัดใจจากที่นี่
“เราจะกลับไปอยู่บ้านเก่าของคุณตาคุณยายที่ท่านยกให้แม่ พอพวกท่านเสียชีวิตบ้านถูกทิ้งร้างอยู่ แม่เสียดายจ้ะ”
“เราอยู่ที่นี่มาเกือบ 20 ปี ดูสิจนกระทั่งลูกโตเป็นสาว” อธิคมมองดูแก้วเก้านั่งเอนตัวเบียดมาทางพ่อมากกว่าจะไปทางแม่ “เก้าเองก็ต้องรีบไปเตรียมตัวสอบแต่เนิ่น ๆ อยู่ที่นี่ พ่อแม่เผลอทีไร เก้าก็หายไปเล่นน้ำกับเพื่อนทุกที พ่อว่า ถ้าอยู่ต่อจะสอบไม่ได้ เอานะ”
“แหม...ก็เก้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวไกลกว่านั้น นี่คะ แล้วเพื่อนที่ชอบเล่นน้ำเหมือนกับเก้า ก็มีแค่ 2 คน นอกนั้น เขาก็นั่งรถไปเที่ยวในจังหวัด อีกอย่างพ่อกับแม่สอนหนังสือ ที่นี่ได้ ไม่เห็นต้องไปสอนที่กรุงเทพฯ เลย เก้าอยากอยู่สุราษฎร์ ฮือ...” แก้วเก้าแหงนหน้าดูพ่อและแม่ ทั้งสองคนส่งยิ้มให้แก่กัน
“ดูสิ โตแล้วนะเก้า” แม่ดุ แต่หน้าตาไม่ได้จริงจังอะไร แก้วเก้าจึงรบเร้าต่อไป
“โรงเรียนใหม่ของเก้ามีแม่น้ำอยู่ข้างหลังโรงเรียนมั้ยล่ะ” ท่าทางปั้นปึ่งเอาเรื่อง
“ไม่มีหรอกลูก... แต่หน้าบ้านของเรามีคลอง ชื่อคลองมอญ” พ่อเอ่ย ยิ้ม ๆ
“จริงเหรอคะ” น้ำเสียง ท่าทางตื่นเต้นขึ้นมา
พ่อยิ้ม สบายใจ แม่มองคนขับรถบรรทุก แต่อ้อมแขนข้างหนึ่งมาทางด้านหลังของเก้าจากนั้น เก้าก็รู้สึกว่า ตัวของพ่อสะดุ้งโหยงขึ้นมา
“แม่บอกเก้าเอาไว้เลย ห้ามลูกลงเล่นน้ำเด็ดขาด”
“เก้า” พ่อปรับท่าทีใหม่ พูดเอาจริงเอาจังขึ้นกว่าเดิม “สายน้ำแต่ละสายเหมือนเส้นใยยึดโยงแผ่นดิน ลูกรักและผูกพันสายน้ำที่นี่ เพราะมีเพื่อนที่รักและเข้าใจกันอยู่ตรงนี้ พ่ออยากให้ลูกจดจำความรู้สึกดี ๆ เอาไว้ เพราะเมื่อลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนในโลก ความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่จะอยู่กับลูกเสมอ แม้ว่าบางทีลูกจะอาจลืม ๆ มันไป เพราะมีเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย”
พ่อลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ อีกครั้ง เด็กสาวเอียงตัวซบอกของพ่อ
“เก้าไม่อยากโต เก้าอยากอายุเท่าเดิม อยากให้เรื่องที่ผ่านไปเมื่อวาน หรือวันก่อน ๆ ยังอยู่กับเก้าตลอดไป”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อกับแม่ก็ต้องเหนื่อยกว่าเดิม เพราะเลี้ยงลูกเท่าไหร่ ลูกก็ไม่โตสักที”
แก้วเก้าเบียดชิดพ่อมากขึ้นไปอีก แก้วเก้าสนิทสนมกับพ่อมากกว่าแม่ เธอหรี่ตาดูสีหน้าของแม่ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองอะไร มีแค่น้ำเสียงดุ ๆ เด็กสาวหลับตา ศีรษะโยกคลอนตามแรงเหวี่ยงของรถบรรทุก
“ขยับมาทางแม่หน่อยสิเก้า นั่งอย่างนั้นพ่อก็เมื่อยแย่” ลูกสาวเอนตัวซบพ่อ ไม่ยอมขยับตัว
“ลูกหลับแล้วเหรอคะพี่คม ทำไมหลับง่ายจัง”
ประโยคสุดท้ายของแม่ เร่งให้แก้วเก้าหลับเร็วขึ้น
“อืม... หลับแล้ว”
เสียงพ่อตอบแม่ และแก้วเก้าก็หลับลงไปแล้วจริง ๆ
ÿ
แก้วเก้ารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังงัวเงียอยู่บนที่นอนนุ่ม ๆ สีขาว พอตาสว่างก็ร้องโวยวาย เอามือคลำที่คอว่างเปล่า
“สร้อยเก้าหาย สร้อยเก้าหาย ฮือ”
แม่เข้ามาในห้องเป็นคนแรก “เก้า...เก้า...
ละเมอเหรอลูก!”
“เก้าตื่นแล้ว เก้าหาสร้อยไม่เจอ”
“แม่ถอดเก็บเอาไว้ให้เอง ตอนเช็ดตัวลูกไงจ๊ะ เรามาถึงบ้านใหม่แล้ว อืม... ความจริงมันเป็นบ้านเก่า บ้านของคุณตาคุณยายน่ะจ้ะ”
“พ่อล่ะคะ พ่ออยู่ไหน”
“พ่อนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง ตอนนี้มันเที่ยงคืนนะเก้า เราเดินทางกันทั้งวัน ทุกคนต่างก็เหนื่อย ยกเว้นลูกที่หลับยาวจนถึงบ้าน”
“แม่เก็บสร้อยของเก้าไว้ที่ไหนคะ”
“แขวนไว้ที่ข้างฝานั่นไง ถ้าลูกชอบมันมาก ๆ ก็ต้องหาที่เก็บดี ๆ นะจ๊ะ แล้วแม่จะหากล่องมาให้”
“เก้าอยากใส่มันไว้ตลอดเวลา”
“ไม่ได้หรอกนะ เชือกมันยาวเกินไปใส่แล้วไม่สวยเลย แม่ตัดให้เอามั้ย ทำให้พอดีกับคอลูก”
“เก้าขอสวมมันก่อนนะคะแม่” แก้วเก้าสวมสร้อยคอ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือคลึงจี้รูปเดือนเสี้ยว
“จะไม่เล่าให้แม่ฟังเลยเหรอ ว่าเก้าได้สร้อยนั่นมายังไง”
แม่ลูบผมของแก้วเก้า แล้วบีบจมูก ดึงขึ้น จนรู้สึกเจ็บ
“ใหญ่ทำให้เก้าค่ะ”
“เดือนเสี้ยว มีความหมายอะไรกับลูกเป็นพิเศษหรือเปล่า”
แม่ยิ้มพลางเอนตัวลงนอนข้าง ๆ และกอดลูกสาวแนบกับอก
“เก้าอยากเหนี่ยวแขนห้อยโหน แกว่งไปมาอย่างสนุกสนานบนนั้น แล้ว “ใหญ่” ก็ลื่นถลาลงตรงส่วนเว้า เหมือนเล่นสไลเดอร์ไงคะแม่ เก้าและใหญ่วิ่งวนรอบเดือนเสี้ยว เราฝันว่าเราเล่นด้วยกัน สนุกมาก ๆ เลยค่ะ”“ตอนแม่เด็ก ๆ อายุเท่า ๆ เก้า แม่ก็มีเพื่อนเล่นเหมือนกัน แต่ก็จำได้ลางเลือนเหลือเกิน ตอนเล็ก ๆ แม่ไม่ได้มีอิสระออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนเก้าหรอกนะ เพราะคุณตาคุณยายท่านเข้มงวดมาก” “แล้วคุณปู่ของเก้าล่ะคะ”“ปู่ของเก้า ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านเสียไปตั้งแต่พ่อคมยังเด็กมาก เก้าต้องถามคุณย่าแล้วล่ะ ตอนนี้เรามาอยู่ใกล้ ๆ ย่านวล ลุงกต ป้าเนตร และก็อากรณ์แล้ว ต่อไปเก้าก็จะมีญาติผู้ใหญ่ไปมาหาสู่แล้วเก้าก็ต้องช่วยแม่ดูแลเอาใจใส่ท่านด้วย”“ลุงกตเย้ ! เก้าเจอลุงกตหนเดียวเอง ลุงกตใจดี เหมือนพ่อเก้าเลย แต่อากรณ์นี่สิ เก้าไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่แม่คะ เก้าคิ
“พี่คม คุณแม่ มีอะไรกันเหรอคะ” ภาณินีพูดแล้วเหลียวหลังไปสั่งลูกสาว “เก้าไปรอแม่ที่รถเลยลูก”แก้วเก้า ปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้น หมุนตัวหนึ่งรอบ คล้ายระบำปลายเท้า พนมมือไหว้ย่านวลและพ่อ ทำหน้าตาล้อเลียนแม่ แล้วหมุนตัวออกไปทางประตูด้านหน้าบ้าน “ค่ะแม่” อธิคมโบกมือลา “อุ้ม ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ สักสี่โมงครึ่ง พี่คงพาคุณแม่ไปถึง”“ค่ะ อุ้มไปนะ” แก้วเก้านั่งไปในรถข้างหน้า คู่กับแม่ซึ่งเป็นคนขับ มือข้างหนึ่งแตะจี้รูปพระจันทร์เสี้ยว ทำจากกะลาตาเดียว“อ้าว เก้า แม่เก็บเอาไว้แล้ว นี่ลูกยังเอามาสวมคออีกเหรอ”“ค่ะ แม่ เก้าคิดถึงใหญ่”“ถอดออกเถอะ มันไม่เข้ากับเสื้อผ้าเลย” ภาณินีอดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ภาณินีขับรถพาเก้าไปถึงหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้วเก้าเห็นเพื่อนของแม่ 2 คน มองมายิ้ม ๆ “นี่ป้าเบญจา น้าแดง เพื่อนร่วมงานของแม่จ้ะ”แก้วเก้ายกมือไหว้ แม่ยิ้มแย้มสดใส “ต๊าย! ลูกเธอ ถอดคุณคมมายังกับพิมพ์เดียวกันเลยนะ” ป้าเบญจาแตะลูกคางของแก้วเก้าเชยขึ้น เด็กสาวฉีกยิ้ม โดยอัตโนมัติ เพื่อนแม่ยังชมต่อ “มีลักยิ้มด้วย น่ารักจัง”น้าแดง เพ่งพินิจแก้วเก้า มองอย่างไม่วางตา “อยู่ปักษ์ใต้ตั้งหลายปี
“แม่คะ” แก้วเก้ากระตุกแขนแม่เบา ๆ “เจ้าองค์อินทร์กับเจ้าเทพนรินทร์เป็นอะไรกันคะ”“เจ้าองค์อินทร์ท่านเป็นพี่ อายุมากกว่าเจ้าเทพนรินทร์ ผู้เป็นน้องราวสี่หรือห้าปีเนี่ยล่ะ ท่านทั้งสองเป็นบุตรของเจ้าแมนสรวงกับคุณวิชุดา คุณวิชุดานั้นเป็นหญิงสาวสามัญชน ท่านพบรักกับเจ้าแมนสรวงสมัยเรียนกฎหมายที่อ๊อกฟอร์ดด้วยกัน”แก้วเก้ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ถ้าเป็นอย่างนั้นตาผู้กำกับจอมเฮี้ยบนั่นจะกลัวเจ้าเทพนรินทร์เหรอภาณินีดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าถึงเวลาแล้ว จึงจูงมือลูกสาวพาเดินสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปจนถึงหน้าห้องแต่งตัว ใช้มือข้างหนึ่งผลักประตูเข้าไป แล้วทักเอมอรที่นั่งพักอยู่ข้างใน“ขอโทษนะคะ มาช้าไปหน่อย”“ไม่เป็นไรค่ะ ใช้เวลานิดหน่อย คราวนี้ไม่นานเหมือนเมื่อกลางวันหรอกนะหนูแก้วเก้า” แก้วเก้านั่งนิ่งเป็นหุ่นอีกครั้ง คุณเอมอรจัดแต่งผมให้ แล้วตบแป้งและเติมสีลิปสติก“แต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็ไปให้คุณแม่แต่งตัวนะคะ”คุณเอมอร ก้าวออกไปที่ประตู ชะเง้อแล เรียกห
แก้วเก้าตัวเล็กที่สุดถูกจัดให้เดินนำหัวขบวน เสียงพิธีกรพูดออกไมโครโฟนเป็นทางการ เหล่านักแสดงนั่งพับเพียบลงกับพื้นเวที นักแสดงทุกคนได้รับขันเงิน ในนั้นมีเงินอยู่ 6 บาท ผ้าเช็ดหน้าสีขาว 1 ผืน เทียนขี้ผึ้งขาว 3 เล่ม ดอกไม้คนละ 1 ช่อ มีดอกหญ้าแพรก ดอกเข็ม และดอกมะเขือ ธูป บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และหมากพลู 3 คำ พี่ฉัตรพรบอกให้แก้วเก้าพนมมือถือขัน ฉากกั้นหน้าเวทีที่เป็นผ้าม่านสีแดงถูกเปิดออกแก้วเก้ามองไปรอบเวที มีโต๊ะหมู่ใหญ่ หัวโขนฤาษี พ่อแก่เรียงเป็นแถว ชั้นบนสุดเป็นพระพิฆเนศวร พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม พระอินทร์ พระพิราบยักษ์ และคนธรรพ์ แม่บอกว่าเป็นครูบาอาจารย์นาฏศิลป์ ที่นักเรียนคณะศิลปกรรมทุกคนจะต้องเคารพและมีพิธีไหว้ครูปีละ 1 ครั้งพราหมณ์ผู้ทำพิธีคลานเข่าเข้าไปนั่งตรงพื้นที่ว่าง กลางพิธี วงดนตรีปี่พาทย์เริ่มบรรเลง“พี่ฉัตรพร คนนั้นน่ะใครกันคะ” แก้วเก้าบุ้ยใบ้ไปทางชายชรานุ่งขาวห่มขาว“ครูช่างจ้ะ พวกเราต้องเข้าไปกราบท่านด้วยเครื่องกำนลนี้ แต่ว่าต้องตามหลังคณะของท่านอธิการบดี เรารอดูจังหวะ
วันถัดมา อธิคมและภาณินี ตื่นขึ้นมาแต่เช้า “ตั้งใจจะมานอนกับพ่อแม่แต่กลับหลับสนิทไม่อือ ไม่อาเลย” อธิคมเอ่ยกับภรรยาภาณินีพลิกตัว และยันกายลุกขึ้นนั่ง“พี่คม“ ภาณินีแตะหน้าผากลูกสาวอีกครั้ง อย่างห่วงใย“ไปคุยกันที่ระเบียงเถอะค่ะ อุ้มไม่อยากให้ลูกได้ยิน”อธิคมเดินตามภรรยาออกไปด้านนอก รับลมอ่อน ๆ ยามเช้า พระอาทิตย์ลอยระไล่ขอบฟ้าสูงขึ้น เรือยาวในคลองมอญส่งเสียงคำรามผ่านไปลำแล้วลำเล่า ภาณินีลูบแขนทั้งสองข้าง กอดอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้สามีฟัง"เจ้าขวัญหล้าให้เจ้าองค์อินทร์เอาสายสร้อยทับทิมมาให้เก้าสวม”"อืม แล้วยังไง”“เธอตั้งใจจะมอบให้ผู้แสดงเป็นเจ้านางน้อย แต่พอถึงเวลาจะแสดง นักแสดงบทนี้ก็มีอันเป็นไป อุ้มได้ยินพวกกองละคร แอบคุยกันว่า รายล่าสุด ท้องร่วงจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือ”“แต่เก้าไม่เป็นอะไร น
“ลูกสาวของอุ้มคุยกับใครไม่รู้ค่ะ เราไม่เห็นเขา” ภาณินีกล่าวกับหลวงพ่อเบา ๆหลวงพ่อรับฟังนิ่ง ๆ “หลานน้อยมองเห็นเขาหรือเปล่า”“เห็นค่ะ เราเจอกันแล้วสองครั้ง”หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้ตามนั้นÿแก้วเก้ากับเจ้าองค์อินทร์เอาถาดรองน้ำทองเหลืองไปเทรดน้ำใต้โคนไม้ใหญ่ ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาพร้อม ๆ กัน ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุดมพูดถึงตอนสำคัญพอดี“พ้นสงกรานต์ไปแล้ว อาตมาจะออกธุดงค์ขึ้นเหนือ ไปธรรมจาริก เป้าหมาย คือ พระธาตุหลวงเวียงไชย ให้แก้วเก้าเดินทางไปกับแม่ชีสิ โยมก็ไปด้วย”ภาณินีหันไปหาอธิคม กวักมือเรียกแล้วกระซิบข้อความของหลวงพ่อ“ยายเก้าจะต้องสอบวัดความรู้ อีกสามเดือนข้างหน้าครับ ช่วงนี้ต้องไปกวดวิชาเพิ่มเติม ถ้าลูกสอบเสร็จไปแล้วก็น่าจะไปร่วมงานได้ครับ”“อืม... แล้วอาตมาจะโทรไปบอก หรือโยมจะโทรมาถามเองก็ตามใจ”ÿเจ้าขวัญหล้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับน้ำตา หลวงพ่อเห็นเข้าก็ทักขึ้นว่า “โยมมีเรื่องอะไรทุกข์หนักหนาล่ะนั่น”หลวงพ่อยิ้มนิด ๆ แววตาอ่อนโยน“ดิฉันไปอยู่ต่างประเทศหลายสิ
“อ้าว พี่คม หลวงพ่อล่ะคะ” ทักสามีเมื่อเห็นเขาเปิดประตูออกมาเพียงคนเดียวอธิคมมองหาลูกสาว “ลูกล่ะอุ้ม”เจ้าองค์อินทร์ตอบแทนภาณินี“น้องเก้าเดินเล่นอยู่ที่ลานวัดทางนั้น ผมไปตามให้ครับ”อธิคมชั่งใจอยู่ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเจ้าองค์อินทร์ที่ทำตัวจาบจ้วงกับลูกสาวของเขาเมื่อวันก่อน แต่ภาณินีกลับตัดสินใจรวดเร็วกว่า“พี่ไปตามลูกเองดีกว่าค่ะ” ภาณินีขยับตัว“ให้องค์อินทร์ไปเถอะค่ะ เรารบกวนอาจารย์หลายเรื่องแล้ว เดินไปตามน้องสิลูก” เจ้าขวัญหล้าสั่งหลานชายคนโต“งั้นก็รบกวนด้วยนะคะเจ้า” ภาณินีเกรงใจเจ้าขวัญหล้า ยอมทำตามใจเธอ“ไม่เป็นไรครับ ยินดี” เจ้าองค์อินทร์ลุกขึ้นเจ้าขวัญหล้ายิ้มละไม หลานชายคนโตนิสัยอารีอารอบชอบช่วยเหลือคนอื่น...เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเขาÿลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวน้ำในลำคลองหน้าวัด แก้วเก้ากลับรู้สึกสดชื่น สูดกลิ่นไอระเหยความชื้นเย็น กลิ่นใบไม้และต้นกล้าจากท้องนาท้องทุ่งรอบ ๆ วัด
“เจ้าพ่อ! พี่เลอสรวงน่าสงสารนะครับ เจ้าย่าเพียงแค่อยากชดเชยสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนเรา” “นรินทร์ลูกรัก ฟังพ่อนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือ ไอ้ลูกต่างด้าวนั่น อยู่กับปัจจุบันเถิด นรินทร์ ลูกเลิกพร่ำเพ้อ เอาใจเจ้าย่าได้แล้ว องค์อินทร์ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร บอกเขา พ่อไม่มีสมบัติสักชิ้นจะให้เขาหรอกนะ ถ้าเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นั่น” “เจ้าพ่อ!” เจ้าเทพนรินทร์ผงะ “ทำไมครับ ทำไมเจ้าพ่อทำเหมือนไม่รักพี่ชาย” “มันอวดดี อยากให้เรียนกฎหมายดันไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีแก่นสารเอาเสียเลย” “พี่ชายเมเจอร์ลิทเทอเรเจอร์นะครับเจ้าพ่อ ละครน่ะแค่ไมเนอร์เท่านั้น” “จะอะไรก็ช่าง พ่อกับแม่เป็นนักกฎหมาย ลูกก็ต้องเป็นนักกฎหมาย องค์อินทร์มันนอกคอก ไม่สนใจความต้องการของพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่ต้องการมันแล้ว นรินทร์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะลูก คดีเข้ามาเยอะเลย พ่อทำหามรุ่งหามค่ำทุกคืนไม่ไหวแน่” “ครับเจ้าพ่อ ผมจะรีบกลับไปในวันสองวันนี่แหละครับ ฝากสวัสดีตอนเช้าคุณแม่ด้วยนะครับ”ÿ อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ออกจากวัดคลองขนุน อำเภอเมืองนนทบุรีแล้วก็แวะทำธุระที่โรงพิมพ์หนังสือแถว ๆ ปิ่นเกล้า และรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ