“อ้าว พี่คม หลวงพ่อล่ะคะ” ทักสามีเมื่อเห็นเขาเปิดประตูออกมาเพียงคนเดียว
อธิคมมองหาลูกสาว “ลูกล่ะอุ้ม”
เจ้าองค์อินทร์ตอบแทนภาณินี
“น้องเก้าเดินเล่นอยู่ที่ลานวัดทางนั้น ผมไปตามให้ครับ”
อธิคมชั่งใจอยู่ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเจ้าองค์อินทร์ที่ทำตัวจาบจ้วงกับลูกสาวของเขาเมื่อวันก่อน แต่ภาณินีกลับตัดสินใจรวดเร็วกว่า
“พี่ไปตามลูกเองดีกว่าค่ะ” ภาณินีขยับตัว
“ให้องค์อินทร์ไปเถอะค่ะ เรารบกวนอาจารย์หลายเรื่องแล้ว เดินไปตามน้องสิลูก” เจ้าขวัญหล้าสั่งหลานชายคนโต
“งั้นก็รบกวนด้วยนะคะเจ้า” ภาณินีเกรงใจเจ้าขวัญหล้า ยอมทำตามใจเธอ
“ไม่เป็นไรครับ ยินดี” เจ้าองค์อินทร์ลุกขึ้น
เจ้าขวัญหล้ายิ้มละไม หลานชายคนโตนิสัยอารีอารอบชอบช่วยเหลือคนอื่น...เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเขา
ÿ
ลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวน้ำในลำคลองหน้าวัด แก้วเก้ากลับรู้สึกสดชื่น สูดกลิ่นไอระเหยความชื้นเย็น กลิ่นใบไม้และต้นกล้าจากท้องนาท้องทุ่งรอบ ๆ วัด
เจ้าองค์อินทร์เดินเข้ามาใกล้ตัวหญิงสาว แล้วนั่งลงข้าง ๆ แก้วเก้าเห็นเขาก็ขยับตัวหนี
“รังเกียจกันขนาดนี้เชียวหรือ” ชายหนุ่มทำเสียงตัดพ้อ
“เปล่ารังเกียจซะหน่อย” แก้วเก้าทำเมิน ค้อนเขานิดหนึ่ง
“คุณพ่อกับคุณแม่ให้มาตามแน่ะ”
“เก้ายังอยากอยู่ต่อ ที่นี่มีต้นไม้ มีคลอง ร่มเย็นดี เหมือนเก้าเคยอยู่ที่คล้าย ๆ แบบนี้แหละ นานมาแล้ว” แก้วเก้าเหม่อมองสายน้ำ จมอยู่กับความรู้สึกโหยหาอดีตอันลึกล้ำ
“น้องเก้าเพิ่งจะสิบกว่าขวบ มันจะนานแค่ไหนกันเชียว หึ หึ”
“ใครว่าเก้าอายุสิบกว่าขวบ เก้าน่ะสิบเจ็ดปีแล้ว”
“อ้อ เป็นสาวแล้วสินะ”
“อื้ม!” พยักหน้า
“น้องเก้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อยากเรียนด้านไหน”
“เมื่อก่อนเก้าอยากเป็นจิตรกร แต่หลังจากเล่นละครของคุณ เก้าก็รู้สึกว่า เป็นนักแสดงก็น่าสนุกดีเหมือนกัน อย่างพวกพี่ฉัตรพร น้าอ๊อด ทำงานเบื้องหน้าก็สนุกแบบหนึ่งอยู่เบื้องหลังก็สนุกอีกแบบหนึ่ง”
เด็กสาวหยุดคิดนิด แล้วกล่าวต่อ “คุณเจ้าเนี่ยเรียนอะไรมา ถึงมาเป็นผู้กำกับละครเวทีล่ะคะ”
“ผมไม่ได้เรียนมาตรง ๆ หรอก เรียนวรรณกรรมวิเคราะห์ ก็แหกคอกวงตระกูลนะ หึ หึ”
เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกง ไหล่ตึง เชิดคาง นัยน์ตาวาววับ ลมพัด ปลายผมโบกสะบัด หน้าผากกว้าง นูนสวยรับกับสันจมูกโด่ง
เขามีเสน่ห์ แก้วเก้ามองเพลิน
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ”
“พ่อแม่และน้องต่างก็เป็นนักกฎหมายทั้งนั้น แต่ผมไม่ชอบ มันไม่มีชีวิตชีวา”
“คุณเจ้านี่ก็แปลก ๆ ดีนะคะ” เก้ารู้สึกว่าคุยกับเขาก็สนุกดี ท่าทีของเขาผ่อนคลายกว่าวันก่อน
“ไปหาคุณพ่อคุณแม่ได้หรือยัง ว่าง ๆ เราค่อยคุยกันใหม่ โทรหาผมก็ได้นะ ถ้าอยากปรึกษาเรื่องเรียน”
“ค่ะ” แก้วเก้าแบมือสองข้าง “ไหนล่ะ”
“อะไร” เขาฟาดฝ่ามือ แปะลงไปเบา หัวเราะ หึ หึ ในลำคอ
“เบอร์โทรไง ไหนว่าจะให้เก้า”
“อ๋อ...” เขาล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบซองหนังบรรจุนามบัตรออกมา ดึงให้แก้วเก้าหนึ่งใบ
“ขอบคุณค่ะ คุณคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะถ้าเก้าจะโทรไปบ่อย ๆ”
“ฮื่อ ไม่ว่าหรอก” เขาขยับตัว ลุกออกจากที่นั่งศาลาริมน้ำ เดินตามหลังเด็กสาว
“ดอกไม้ที่ทัดหูอยู่นั่นน่ะ เอาออกซะดีมั้ย ไม่อายชาวบ้านเหรอ”
“อายทำไมล่ะคะ เก้าชอบสวยดี กลิ่นก็หอมชื่นใจ”
“เอา...เอา....ตามใจ” เจ้าองค์อินทร์มองแก้วเก้า ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าเธอช่างเหมือนเขา
ÿ
อธิคมคอยชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่ลูกสาวจะมาถึงเสียที พอเห็นร่างปราดเปรียวโผล่พ้นมุมหอฉัน มีดอกไม้สีขาวเสียบทัดหูทั้งสองข้างก็ยิ้มแปลก ๆ พิกล
หลวงพ่ออุดมเปิดประตูออกมา แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ ยื่นหนังสือกองหนึ่ง มีราว ๆ ยี่สิบเล่ม ส่งให้อธิคม
"หลวงพ่อ อุ้มเห็นมีตู้รับบริจาคหนังสือธรรมะด้านหน้าโน้น หลวงพ่อจะเอามาทำอะไรคะ”
“อาตมาจะสร้างห้องสมุดหนังสือธรรมะให้พระเณรและญาติโยมเข้ามาอ่าน ระหว่างเวลาว่างหรือใครจะเข้ามาค้นคว้าความรู้ทางพระศาสนาก็เข้ามาใช้ได้”
“อย่างนั้น อุ้มกับพี่กต และพี่คมก็จะช่วยหาหนังสือมาให้ค่ะ ที่บ้านมีอยู่เยอะเลย”
“ขอบใจนะ หนังสือเก่าก็ได้ โดยเฉพาะหนังสือธรรมะถึงจะเก่ายังใช้ได้เสมอ เพราะที่เก่านั้นคือตัวหนังสือ และกระดาษ แต่ธรรมะนั้นไม่มีเก่า ไม่มีเสื่อม”
“ดิฉันขอร่วมสร้างห้องสมุดด้วยค่ะท่าน” เจ้าขวัญหล้าตั้งใจว่า จะทำบุญทานในพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น
“ขอบใจมากโยม หากจะมอบเงินสมทบสร้างห้องสมุดก็เชิญที่ข้างหน้ามีไวยาวัจกรท่านรอรับอยู่ อนุโมทนาบุญด้วย”
“พระคุณเจ้า เจ้าคะ” เจ้าขวัญหล้าอยากจะพูดคุยเรื่องที่ไปท่องนรกมาเมื่อสักครู่ ท่าทีอึกอัก อ้ำอึ้ง
หลวงพ่อเห็นดังนั้น ก็บอกภาณินี อธิคม และอลงกตว่า
อาจารย์พาลูกหลานลงไปที่ศาลามุทิตา พบไวยาวัจกร แล้วแจ้งความประสงค์ให้เขาทราบนะ”
ÿ
เจ้าขวัญหล้าพนมมือขึ้นจรดหน้าผาก ในใจนั้นคิดว่า ท่านช่างรู้ใจดิฉันนัก พลางล้วงกระเป๋าถือของตัว ส่งเงินให้เจ้าเทพนรินทร์ก้อนหนึ่ง “วันนี้ย่าจะทำบุญถวายวัดหนึ่งแสนบาทก่อนนะ วันหลังค่อยให้องค์อินทร์มาจัดการให้ย่า ย่าจะถวายเพิ่มอีก” เจ้าขวัญหล้ายึดแขนเจ้าองค์อินทร์เอาไว้
“อยู่กับย่าก่อน ไม่ต้องไปหรอกให้นรินทร์จัดการคนเดียวก็พอ”
เจ้าเทพนรินทร์รับเงินจากเจ้าย่า แล้วลุกขึ้นเดินตามกลุ่มดอกเตอร์สามคนนั้นกับแก้วเก้าไปยังศาลามุทิตา
“เอาเลย นี่หยิบไปอีก โยมนั่นน่ะ หันไปข้างหลัง”
หลวงพ่อบอกเจ้าองค์อินทร์
“ตายแล้วไปไหน” เจ้าองค์อินทร์อ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก
“เออ เล่มนั้นแหละ เอาให้โยม” หลวงพ่อชี้ไปทาง เจ้าขวัญหล้า
“ท่านเจ้าคะ!” เจ้าขวัญหล้าตระหนกตกใจ “เหมือนท่านทราบว่าดิฉันพบเจออะไร”
“อาตมาไม่รู้หรอก ถ้าโยมไม่บอก”
เจ้าขวัญหล้าตั้งท่านั่งใหม่ ค่อย ๆ ลำดับเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่เธอสลบไสล อยู่ในห้องพยาบาล
หลวงพ่ออุดมและเจ้าองค์อินทร์ตั้งใจฟัง โดยไม่ได้ซักถามอะไร เจ้าขวัญหล้าอธิบายรูปร่างของชายสองคนในชุดสีเขียวและสีแดง รวมทั้งเหตุการณ์ในนรกภูมิอย่างละเอียด
“พระคุณเจ้าเจ้าคะ ... อย่างนี้ดิฉันจะเป็นยังไง จะต้องทำอย่างไรดี”
“น้อยคนนักที่จะได้พบเห็นทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต โยมถือว่ายังมีบุญอยู่ จึงถูกส่งกลับมา ครูบาอาจารย์ท่านว่านรกคือเหวแห่งความทุกข์ เป็นที่ไปเกิดและเสวยทุกข์ของสัตว์ที่ทำบาป ที่ที่โยมได้ไปนั้น เป็นสถานที่ลงทัณฑ์ผู้ประพฤติล่วงศีล ไม่ประพฤติธรรม ฉะนั้น โยมก็มาพิจารณาในตนเองเถิด“
“แล้วผู้ชายสองคนนั้นล่ะคะท่าน เขาเป็นใคร”
“เทวทูตน่ะโยม ท่านก็ปรากฏไปทุกที่ ในดวงจิตของจวนผู้หมดอายุขัย แต่ก็ไม่ใช่กับทุกกรณีเอาเป็นว่า นั่นคือ สัญญาณเตือนไม่ให้ประมาท ธรรมดาของชีวิต ซึ่งมีเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งที่โยมได้พบเห็นจากนรก ก็เอามาสอนลูกหลานให้เกรงกลัวต่อบาปและเร่งสร้างกุศลธรรมให้มากขึ้น”
“ดิฉันเห็นชายคนหนึ่ง กำลังปีนไต่ต้นงิ้วเหล็กอย่างทุรนทุรายกับผู้หญิงอีกคน บางคนอยู่ในกระทะทองแดง พวกเขารู้จักดิฉัน ร้องเรียกให้ช่วย แต่เรียกดิฉันว่า แสนคำ ไม่ใช่ชื่อในตอนนี้ หมายความว่ายังไงคะ”
“สัตว์โลกได้รับทุกขเวทนาเพราะกรรมที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ต้องชดใช้ไปจนกว่า หมดเวลาชดใช้กรรมนั้น มีทานอย่างหนึ่งที่ให้ผลตรงถึงวิญญาณที่รับโทษอยู่ในนรกภูมิ นั่นคือ การปฏิบัติธรรมให้เป็นทาน ซึ่งโยมสามารถส่งไปให้ช่วยเขาให้ทุเลาความทุกข์นั้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยเขาพ้นจากการรับโทษความผิดที่ได้เคยทำ”
ÿ
อธิคมกลับมาถึงกุฏิก่อนเป็นคนแรก เข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วย เขาสังเกตว่า เจ้าขวัญหล้าหน้าตามีเลือดฝาดระเรื่อขึ้น
สำหรับตัวเจ้าขวัญหล้าแล้ว ตั้งแต่สลบและฟื้นขึ้นมา เมฆหมอก ทะมึนที่ปกคลุมจิตใจของเธอมาตั้งแต่อุบัติเหตุของลูกเขยและหลานชายค่อย ๆ จางลงไป ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น
พอภาณินีและอลงกตกลับเข้ามา หลวงพ่อก็ถามขึ้นว่า
“มีข่าวดีอะไรล่ะ อาจารย์ยิ้มอิ่มบุญกันเข้ามาเชียว”
“พี่เนตรโทรมาค่ะ บอกข่าวว่า เจ้าขวัญสรวงนิมนต์ พระธุดงค์ เข้ามาสวดเทศน์โปรดคุณเลอสรวง ปรากฏว่า คุณเลอสรวงลืมตาขึ้นมา แถมยังขยับมือได้แล้ว”
“จริงเหรอคะ ทำไมป้าของหลานไม่โทรมาบอกย่า” เจ้าขวัญหล้าดีใจ น้ำตาปริ่มรื้นไหล
“อ๋อ เจ้าคะ เจ้าขวัญสรวงกำลังดูแลคุณเลอสรวงอยู่ค่ะ คงไม่สะดวกจะใช้โทรศัพท์”
“หลวงพ่อคะ อุ้มกับพี่คมจะสั่งพิมพ์หนังสือสวดมนต์มาถวายวัดเพิ่มอีก 3,000 เล่ม ตอนท่านธุดงค์ เราจะขับรถตามไปเอาหนังสือไปมอบให้วัดที่ท่านแวะพักนะคะ”
“นี่โยมสองคน ทำอย่างนั้น เพราะอะไร ห่วงลูกสาวหรือ” หลวงพ่อยิ้มบาง ๆ
“มิได้ค่ะท่าน อุ้มกับพี่คม อยากร่วมอนุโมทนาด้วยจริง ๆ”
“เรื่องหนังสือก็เรื่องหนึ่ง ทำกันคนละครั้งก็ได้ ส่วนการเดินธุดงค์ไปกับธรรมจาริกแค่แบกกลดและเครื่องอัฎฐบริขารของตัวก็เพียงพอแล้ว อย่าห่วงไปเลย”
ภาณินีก้มกราบ ยอมรับแต่โดยดี
อลงกตพนมมือ กล่าวกับหลวงพ่อว่า
“ท่านครับ เหตุการณ์เมื่อ 17 ปีก่อนเป็นอย่างไร ผมอยากทราบมานานแล้ว”
“ให้อาจารย์เล่าเถอะ” หลวงพ่อบอกอธิคม
อธิคมขยับท่านั่งใหม่ ให้สบายขึ้น ก่อนจะเริ่มเรื่องอย่างเป็นการเป็นงาน “เมื่อ 17 ปี ก่อน การค้นพบพระธาตุหลวงเวียง ไชย ริมน้ำกาหลง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นเพราะ ผมกับอุ้มต้องการพิสูจน์ว่าทำไมจึงมีปรากฏการณ์ฟ้าผ่าเป็นเส้นสายทุกวันแรม 8 ค่ำ เดือน 12 ชาวบ้านบอกน่ะครับว่าเป็นอย่างนั้นมาทุกปี แต่หลังจากที่เราค้นพบพระธาตุ ทำพิธีบวงสรวงและขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากรแล้ว ก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์อย่างนั้นอีกเลย”
“ผู้สร้างพระธาตุหลวงเวียงไชยน่าจะเป็นผู้หญิงนะโยม” หลวงพ่ออุดมหรืออดีตอธิบดีกรมศิลปากร นายอุดม สุจริตชน บอกข้อสันนิษฐานของท่าน
“ภาพแกะสลักที่ฐานพระธาตุด้านใน ห้องเล็ก ๆ ใต้ห้องเก็บพระบรมสารีริกธาตุ เป็นภาพสตรีสูงศักดิ์ ปลูกต้นโพธิ์ริมแม่น้ำ เธอใช้ต้นโพธิ์ สื่อถึงพระพุทธศาสนา สถานที่คือริมน้ำกาหลงนั้นเอง หมายถึงว่า เธอปรารถนาจะสืบทอดพระพุทธศาสนาในดินแดนนั้นให้มั่นคงถาวรสืบไป”
อธิคมอธิบายที่มาของข้อสันนิษฐานนั้น
เจ้าองค์อินทร์มองดอกเตอร์อธิคมด้วยความชื่นชม
“อาจารย์เก่งมาก ๆ เลยครับ แล้วพอจะทราบมั้ยครับว่าเธอคนนั้นเป็นใคร”
อธิคมยิ้มกับเจ้าองค์อินทร์ “เรายังไม่ทราบครับ”
“แล้วทำอย่างไรเราจึงจะทราบได้ล่ะครับ”
“ถ้าว่ากันตามความเชื่อของชาวบ้านในถิ่นนั้น เขามีเรื่องเล่าว่า เจ้าผู้ครองเวียงไชยองค์สุดท้าย ชื่อ เจ้าศรีเวียงไชยะบุรีก่อนจะถูกฆ่าตายระหว่างแตกทัพ ได้สาปแช่งลูกหลานของศัตรูคือเจ้าผู้ครองเชียงรุ้งเอาไว้ สตรีผู้นั้นอาจจะเป็นลูกหลานของ เวียงไชย หรือเชียงรุ้งที่รับเอาพระพุทธศาสนาเข้าไป และทำพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่างเพื่อลบล้างคำสาป”
ÿ
บ่ายวันนั้น อลงกตแยกกับครอบครัวแมนรัตน์ โดยติดรถน้องสาวกลับไปที่บ้านคลองมอญ เจ้าเทพนรินทร์เดินแยกไปเตรียมรถ เจ้าองค์อินทร์ประคองเจ้าย่าเดินเคียงข้างมาอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นเจ้าขวัญหล้าได้สั่งข้อความสำคัญกับหลานชายคนโต
“องค์อินทร์โทรศัพท์บอกทอมมัสให้จัดการเรื่องทรัพย์สินและผลประโยชน์ของเราที่อังกฤษให้เรียบร้อยด้วยนะ”
“ครับเจ้าย่า แต่ผมเกรงว่าจะใช้เวลามากพอดู กว่าจะเรียบร้อย”
เจ้าองค์อินทร์นึกถึงปัญหาใหม่ ๆ ในครอบครัวของเขาที่กำลังจะตามมา ภายหลังการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของเจ้าย่าครั้งนี้
“ย้ำกับทอมมัสไปว่าเป็นความต้องการของย่า คนที่จะเป็นปัญหาคือพ่อของหลานคนเดียวเท่านั้น แต่ย่าก็ตระเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว คิดว่าทอมมัสจะจัดการได้”
ÿ
ณ แกรนด์คอนโดมิเนียม ย่านสุขุมวิท ในห้องพักของสองพี่น้อง เจ้าเทพนรินทร์ได้รับฟังเรื่องราวจากพี่ชาย ก็ร้องอุทานลั่น
“อะไรนะ! เจ้าพี่ เจ้าย่าจะปักหลักอยู่เมืองไทย ไม่กลับไปที่โน่นแล้ว”
พี่ชายพยักหน้า เหยียดขายาวบนที่นอนหนานุ่ม หลับตาพริ้ม
“จะไปกันใหญ่แล้ว ละ...แล้ว....เจ้าพ่อของเราล่ะ ท่านทราบหรือยัง”
พี่ชายส่ายหน้า น้องชายพูดต่อ
“โธ่! แล้วใครจะกล้าบอกล่ะ พี่ชายแหละ บอกเจ้าพ่อเองนะ ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ตอนเจ้าย่าตัดสินใจน่ะ”
“ใจเย็น ๆ น้องชาย พี่ไม่เห็นว่า พ่อกับแม่ของเราจะต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย ท่านก็อยู่ที่นั่น ทำงานของท่านไป สำนักงานกฎหมายนั่นยังไงน้องก็ต้องทำต่อ พี่จะอยู่ทางนี้ดูแลเจ้าย่าเอง”
เจ้าองค์อินทร์นึกถึงเด็กสาวหน้าตาสดใส จิ้มลิ้ม มีดอกลีลาวดีสีขาวทัดหูทั้งสองข้าง
“อาจารย์อลงกตช่วยให้พี่สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยได้แล้ว เหลือแต่สภาอาจารย์มหาวิทยาลัยอนุมัติเป็นทางการเท่านั้น”
“แล้วงานของพี่ชายทางโน้นล่ะ”
“พี่มันอิสรชน ทำอะไร ที่ไหนก็ได้ พ่อแม่ท่านไม่ห่วงพี่อยู่แล้ว”
“ใจคอพี่ชายจะทิ้งผมกับเจ้าพ่อและคุณแม่เหรอครับ”
“ใครว่าล่ะ คิดมากไปได้ พี่เองต่างหากเป็นคนถูกทอดทิ้ง พ่อกับแม่รักและห่วงใยนรินทร์มากนะ”
“พี่ชายต่างหากที่คิดมาก เจ้าพ่อบ่นกับผมเสมอ ๆ ว่าเป็นห่วงอนาคตของเจ้าพี่”
“กลัวพี่เอาตัวไม่รอดน่ะสิ หึ หึ ช่างเหอะ”
เจ้าองค์อินทร์พลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้น้องชาย ค่อย ๆ ปิดหนังตาลง ในใจยังคิดถึงบางเรื่องอยู่
ÿ
เจ้าเทพนรินทร์เปิดโน้ตบุ้ค และส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แจ้งให้เจ้าแมนสรวงผู้เป็นบิดาได้รับทราบความเคลื่อนไหวที่เมืองไทย เจ้าแมนสรวงโทรศัพท์สวนกลับมาแทบจะในทันทีที่อ่านข้อความจากจอคอมพิวเตอร์
“เกิดอะไรขึ้น นรินทร์ เล่าให้พ่อฟังอย่างละเอียด”
“ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะครับเจ้าพ่อ พี่ชายเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง”
เจ้าเทพนรินทร์เดินออกไปคุยในห้องนั่งเล่น
“ตามองค์อินทร์มาคุยกับพ่อเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าแมนสรวง ยืนรอลูกชายคนโต ใจไม่เป็นสุข
“เจ้าพี่เพิ่งจะหลับไปน่ะครับ”
“ปลุกมันขึ้นมา” เจ้าแมนสรวงส่งเสียงเข้ม
“ครับ เจ้าพ่อรอเดี๋ยวนะ ” เจ้าเทพนรินทร์เดินกลับเข้าในห้องนอนของเจ้าองค์อินทร์
“เจ้าพี่ครับ เจ้าพี่” เขย่าตัวพี่ชาย
เจ้าองค์อินทร์แสร้งหลับต่อทำเป็นไม่รู้สึกตัว เจ้าเทพนรินทร์รายงานพ่อ
“ปลุกไม่ตื่นเลยครับ ยังไงผมจะให้เจ้าพี่โทรกลับทันทีที่ตื่นนะครับ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ องค์อินทร์นี่ยิ่งไกลพ่อก็ยิ่งเหลวไหล”
“นี่แหละครับ ที่ผมจะบอกเจ้าพ่อ พี่ชายจะอยู่เมืองไทยกับเจ้าย่า ให้ผมกลับไปลอนดอนคนเดียว ส่วนทรัพย์สินทางนั้นให้มิสเตอร์ทอมมัสจัดการโอนและขายให้หมด”
“อ้าว! จะไปก็ไปแต่ตัวสิ ทางนี้พ่อกับแม่ยังอยู่แท้ ๆ กิจการร้านเพชรก็ยังไปได้ นี่พ่อก็ช่วยทอมมัสดูแล ระหว่างที่เจ้าป้าของลูกไม่อยู่”
“ดูเหมือนเจ้าย่ากับเจ้าป้าจะไม่ห่วงอะไรมากไปกว่าชีวิตของพี่เลอสรวงนะครับ”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น เฮอะ!”
ลูกชายคนเล็กของเขาตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดและน้ำ เสียงเยาะหยันจากปากของเจ้าแมนสรวง
“เจ้าพ่อ! พี่เลอสรวงน่าสงสารนะครับ เจ้าย่าเพียงแค่อยากชดเชยสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนเรา” “นรินทร์ลูกรัก ฟังพ่อนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือ ไอ้ลูกต่างด้าวนั่น อยู่กับปัจจุบันเถิด นรินทร์ ลูกเลิกพร่ำเพ้อ เอาใจเจ้าย่าได้แล้ว องค์อินทร์ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร บอกเขา พ่อไม่มีสมบัติสักชิ้นจะให้เขาหรอกนะ ถ้าเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นั่น” “เจ้าพ่อ!” เจ้าเทพนรินทร์ผงะ “ทำไมครับ ทำไมเจ้าพ่อทำเหมือนไม่รักพี่ชาย” “มันอวดดี อยากให้เรียนกฎหมายดันไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีแก่นสารเอาเสียเลย” “พี่ชายเมเจอร์ลิทเทอเรเจอร์นะครับเจ้าพ่อ ละครน่ะแค่ไมเนอร์เท่านั้น” “จะอะไรก็ช่าง พ่อกับแม่เป็นนักกฎหมาย ลูกก็ต้องเป็นนักกฎหมาย องค์อินทร์มันนอกคอก ไม่สนใจความต้องการของพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่ต้องการมันแล้ว นรินทร์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะลูก คดีเข้ามาเยอะเลย พ่อทำหามรุ่งหามค่ำทุกคืนไม่ไหวแน่” “ครับเจ้าพ่อ ผมจะรีบกลับไปในวันสองวันนี่แหละครับ ฝากสวัสดีตอนเช้าคุณแม่ด้วยนะครับ”ÿ อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ออกจากวัดคลองขนุน อำเภอเมืองนนทบุรีแล้วก็แวะทำธุระที่โรงพิมพ์หนังสือแถว ๆ ปิ่นเกล้า และรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน
"สวัสดีครับ” อลงกตยื่นมือออกไปจับมือทักทาย“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เจ้าแมนสรวงยื่นมือมาจับเขย่าเบา ๆ “ว่าไงองค์อินทร์”“สวัสดีครับ เจ้าพ่อ” เจ้าองค์อินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีทอมมัส นี่อาจารย์อลงกต สามีของหมอเนตรดาวครับ คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เจ้าองค์อินทร์ถามบิดาของเขา“ถ้ามาก็ต้องเห็นสิ” เขาตอบลูกชายคนโต แต่เมินมองออกไปทางด้านหลัง “รีบพาพ่อเข้าที่พักเลย” เขาเอ่ยกับลูกชายคนเล็ก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าคำพูดประโยคแรกเจ้าองค์อินทร์เข้าใจบิดาดี เขายิ้ม แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งกับน้องชาย สองมือล้วงกระเป๋า ทำเดินตัวเอียง กระซิบบอกน้องชาย “พ่อของนาย แน่มาก”เจ้าเทพนรินทร์อมยิ้ม เอาหัวไหล่กระแทกอกพี่ชาย แล้วเข็นกระเป๋าเดินทางของเจ้าพ่อ พลางชี้มือบอกทางไปยังห้องรับรองÿอลงกตพอจะรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพ่อลูกคู่นี้มาบ้าง เขาจึงรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มเดินช้า ๆ เข้าไปโอบไหล่ “สักวันเจ้าแมนสรวงจะเห็นว่า ลูกชายของเขาคนนี้ คือ ณ แมนรัตน์ ที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง”“ขอบคุณครับ ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตของผมมันดี มันมีความสุข ผมก็จะทำ ผมผิดหรือครับที่ไม
เจ้าขวัญหล้ามองตามปลายนิ้วชี้ประดับแหวนเพชรเม็ดโตของเพื่อน“อ๋อ...นั่นหลานชายคนโตของฉัน องค์อินทร์มานี่สิลูก” เจ้าขวัญหล้ากวักมือเรียก“ครับ เจ้าย่า”“นี่ ๆ มากราบท้าวศรีบุญจันทร์ เพื่อนของย่า สายวงศ์ของเขากับเรากินดองกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของย่าแล้ว พอดีรุ่นของย่า ฝ่ายนั้นก็มีศรีบุญจันทร์ ฝ่ายเราก็มีย่า เราทั้งคู่ก็เลยผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนรักกันแทน”“กราบเจ้าย่าศรีบุญจันทร์ครับ” องค์อินทร์ลงไปคุกเข่ากราบบนตักหญิงชราท้าวศรีบุญจันทร์ยิ้มปลื้มใจ ยกผ้าทอขลิบทองขึ้นเช็ดมือตนเองก่อนจะประคองใบหน้าของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอันแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี”“เหอะ ๆ ๆ “ เจ้าขวัญหล้าหัวเราะเพื่อนรัก “แม่ท้าวศรีบุญจันทร์ ถึงกับเพ้อท่องโคลงสอง ยอยศพระลอออกมาเชียว เจ้าองค์อินทร์เขินจนหน้าแดง “ผมถูกเจ้าย่าศรีบุญจันทร์เกี้ยวหรอกเหรอนี่ โธ่!!” “ใช่ ๆ ย่าเกี้ยวเจ้า แต่เกี้ยวให้หลานสาวของย่าต่างหาก”“เอ้อ...อ้า ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อย มองหน้าเจ้าย่าขวัญหล้าของเขา พยายามส่งสายตาบอก “ไม่ได้
เจ้าองค์อินทร์มองบนเวทีอีกครั้ง นางกินรีก็รำจบพอดี“พอทราบข่าวจากเจ้าขวัญหล้า เราก็เตรียมงานแสดงชุดนี้มาเป็นของขวัญ ยายเก้าไปเติบโตอยู่ปักษ์ใต้ ถูกคัดตัวไปรำบ่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากจับแต่งชุด ก็รำได้เลยค่ะ” ภาณินีตอบอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกสา“เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางการแสดงนะครับ” เจ้าองค์อินทร์เอ่ยปากชมอย่างจริงใจภาณินีสบตากับอลงกต แล้วยิ้มหวานกับเจ้าองค์อินทร์ “ยินดีกับอาจารย์องค์อินทร์ ณ แมนรัตน์ ด้วยนะคะ”“เอ๋…” เจ้าองค์อินทร์มองอลงกต เห็นสายตาของชายสูงวัยกว่า ก็พอจะเข้าใจ “ตกลงทางมหาวิทยาลัย...”“ครับ อีกสองสัปดาห์อาจารย์ลงไปรายงานตัวได้เลย”“เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกกังวล เขาสัญญาว่าจะบวชให้เจ้าย่าสักครั้ง“อ๋อ...กลับจากงานธรรมจาริก ก็พอดีเปิดเทอมค่ะ แต่ว่าเรื่องการประชุมแผนการเรียนการสอนของสาขาศิลปกรรมและการแสดงนี่ เจ้าคงจะต้องคุยกับท่านคณบดีก่อนนะคะ” ภาณินีหมายถึงอลงกต ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมจะเสนอแผนการสอนล่วงหน้าได้ก่อนมั้ยครับ หากว่าทางคณะเห็นควรจะปรับอย่างไร ก็ถือไปตามนั้น”“ได้ครับ ฝากผมไปก็ได้ เวลาประชุมก็มาคุยกันเรื่อง การจัดเวลาสอนเด็ก ๆ ถ้าเจ้ารับได
“ขวัญสรวง ลูกช่วยไปดูองค์อินทร์ก่อนนะ ส่วนทอมมัสคุณเจอเรื่องร้ายมามากแล้ว เชิญไปพักผ่อนเถิดค่ะ”ÿทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง เจ้าเทพนรินทร์ก็แผดเสียงใส่เจ้าย่าของเขาอย่างลืมตัว“ผมไม่เชื่อว่าพ่อจะทำอย่างนั้นหรอก!”เจ้าขวัญหล้ายกฝ่ามือขึ้นตบหน้าหลานชายคนเล็กอย่างแรง“นรินทร์! หลานไม่เคยหยาบคายกับย่าอย่างนี้มาก่อนเลยนะ””เจ้าย่าก็ไม่เคยตบหน้าผมเหมือนกัน ไม่รู้กันหรือไง พี่ชายแก้แค้น เอาคืนที่เจ้าพ่อไม่รักเขา พี่ชายเป็นลูกอกตัญญูนะ”“หลานต่างหาก ที่ตาบอดสนิท ถ้าองค์อินทร์ไม่เข้าไปช่วยทอมมัส ทอมมัสคงถูกพ่อของหลานฆ่าไปแล้ว และพ่อของหลานก็จะกลายเป็นฆาตรกรสองศพทันที”“อะ...อะไรนะครับ เจ้าย่า” เจ้าเทพนรินทร์ชะงักกึก หน้าซีดเผือด “สองศพ...ใคร...ใครกัน” “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลุงสมิธและเลอสรวง มีพ่อของหลานอยู่เบื้องหลัง” เจ้าเทพนรินทร์เหมือนโดนทุบศีรษะอย่างแรง “เจ้าย่าเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำเจ้าพ่ออีกล่ะครับ” “ตำรวจจับตัวคนร้ายได้แล้ว เขาซัดทอดมาถึงพ่อของหลาน และพ่อของหลานเองก็ได้พูดความจริงออกมาแล้ว”“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทำอย่างนั้นทำไมกัน”“พ่อของหลานเจต
หมอเนตรดาวนึกย้อนหลังไปว่าช่วงเวลานั้นครอบครัวพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่ พอนึกขึ้นมาได้ก็ร้องขึ้น “อ๋อ!” ขึ้นมานายตำรวจมองหมอเนตรดาวอย่างสนใจ “มีอะไรครับ” “ช่วงนั้น พวกเรา ... เอ้อ... ญาติ ๆ ดิฉันที่มาจากกรุงเทพนี่แหละค่ะ เข้าไปในงาน ยังเจอกับเจ้าแมนสรวงอยู่เลย ดิฉันเอง ที่เห็นว่าข้อศอกของเจ้าแมนสรวงมีบาดแผลเลือดไหลซึม” “แล้วยังไงต่อครับ” “เจ้าขวัญหล้าก็เลยให้ลูกชายกลับไปทำแผลค่ะ” “แล้วเจ้าองค์อินทร์กับคุณเอดการ์ดนั่นอยู่ในงานหรือเปล่าครับ” “ดิฉันไม่เห็นทอมมัสเลยค่ะ เจ้าองค์อินทร์ดิฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาหายไปตอนไหนจนกระทั่งโชว์สุดท้าย เขาเข้ามาในงานพร้อม ๆ กัน”“งั้นก็แสดงว่า เจ้าองค์อินทร์ออกไปตามหาคุณเอดการ์ด ทอมมัส ตามคำให้การของเจ้าขวัญหล้า” นายตำรวจ บอกกับหมอเนตรดาวอย่างสุภาพ “ขอเชิญบันทึกถ้อยคำไว้เป็นพยานนะครับ คุณเป็นอะไรกับคนที่นี่ครับ” “ดิฉันเป็นหมอพิเศษมาดูแลอาการทางระบบประสาทของคุณเลอสรวงค่ะ” “เจ้าแมนสรวงเป็นยังไงบ้างคะ หมายถึงสุขภาพของเขา” ภาณินีถาม “ที่นี่ตอนกลางคืนอา
ใกล้เข้าไปยิ่งเห็นคุ้มชัดขึ้น เจ้าเทพนรินทร์เลี้ยวรถเข้าที่จอด ท้าวศรีโสภางค์ลงรถมายืนรออยู่ก่อนแล้ว “ผู้หญิงบอบบางอย่างเจ้า ขับโฟร์วีล ดูไม่เข้ากันเลยนะครับ” เจ้าเทพนรินทร์กล่าวยิ้ม ๆ“น้องคุมงานไร่ยาสูบและไร่ชา เจ้าพี่ก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกัน”“เจ้าย่าศรีบุญจันทร์เล่าว่า น้องเรียนจบเลขานุการมาไม่ใช่เหรอ”“ค่ะ แต่น้องก็ใช้วิชาเลขานุการกับงานที่นี่ได้ เจ้าพ่อของน้องเป็นผู้จัดการใหญ่ ส่วนเจ้าพี่ของน้องอีก 2 คน ก็ดูแลควบคุมการผลิต และการตลาด น้องเป็นเลขาของเจ้าพ่อยังไงล่ะคะ เชิญเจ้าพี่เข้าไปในคุ้ม น้องจะเรียนเจ้าย่ากับเจ้าพ่อ เจ้าพี่รับชาหอมหมื่นลี้ร้อน ๆ กับอาหารว่างรอไปก่อนนะคะ”“ครับ ขอบคุณ” ระหว่างรอเจ้าของบ้าน เจ้าเทพนรินทร์เดินไปรอบ ๆ ห้องรับแขก ตู้ไม้โบราณเก็บหนังสือเก่า ๆ น่าสนใจสำหรับเขา หนังสือเล่มหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใส หน้าปกและเนื้อกระดาษอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เว้นแต่ว่ามันมีสีเหลืองและกรอบแห้งแทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ “สนใจหนังสือเล่มไหนอยู่ล่ะ หลานนรินทร์” ท้าวศรีบุญจันทร์ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังท้าวศรีบุญจันทร์ในชุดผ้าทอยาวกรอมเท้า เสื้อคอปาด คลุมไหล่ ห่มด้วยผ้
“มันแปลกตรงที่ ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน พวกเขาเปลี่ยนความคิดบางอย่างของผม”วันถัดมา เป็นวันที่เจ้าขวัญหล้าได้อาราธนานิมนต์ หลวงพ่ออุดมไปฉันภัตตาหารเพลที่คอนโดมีเนียมย่านสุขุมวิทเพื่อขอให้เทศน์โปรดเลอสรวงเจ้าองค์อินทร์ขับรถยนต์เล็กซัสสีดำ ป้ายแดง ไปรับภาณินีกับแก้วเก้าที่บ้าน ”วิริยนันท์” อธิคมเดินตามหลังออกมาส่งภรรยาและลูกสาว“สวัสดีครับ อาจารย์” เจ้าองค์อินทร์ก้าวลงจากรถ กล่าวทักทายเจ้าของบ้านอธิคมยังอยู่ในชุดนอน มือถือถ้วยกาแฟ ควันฉุย “สวัสดีครับ เจ้า...ช่วยดูแลหน่อยนะ”"เสร็จธุระแล้ว จะรีบพามาส่งเลยครับ” “โอ้ย! ไม่ต้องรีบหรอกคุณ” อธิคมโบกมือให้ภรรยาและลูกสาว “พ่อไปกับเราเถอะค่ะ... นะคะ” แก้วเก้าอ้อนพ่ออีกครั้ง “เมื่อคืน พ่อดื่มเป็นเพื่อนลุงกตหนักไปหน่อย ยังปวดหัวอยู่เลย ไปไม่ไหวจริง ๆ” “พ่อดื่มเหล้าเหรอคะ” แก้วเก้าขึ้นเสียงสูง “ไม่ได้ดื่มเหล้าหรอกน่า น้ำผลไม้” “น้ำผลไม้แล้วทำไมถึงเมาล่ะคะ ไม่ยอมนะเก้าไม่ให้ พ่อดื่ม” ภาณินีดึงมือลูกสาวขึ้นรถ “ไปกันเถอะลูก ต้องไปรับหลวงพ่ออีก พ่อของลูกดื่มไวน์เท่านั้นแหละ เมื่อคืนเราเลี้ยงวันเกิดป้าเนตรกัน”“พ่อนะ เก้าเผลอไม่ได้เ
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ