"สวัสดีครับ” อลงกตยื่นมือออกไปจับมือทักทาย
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เจ้าแมนสรวงยื่นมือมาจับเขย่าเบา ๆ “ว่าไงองค์อินทร์”
“สวัสดีครับ เจ้าพ่อ” เจ้าองค์อินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีทอมมัส นี่อาจารย์อลงกต สามีของหมอเนตรดาวครับ คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เจ้าองค์อินทร์ถามบิดาของเขา
“ถ้ามาก็ต้องเห็นสิ” เขาตอบลูกชายคนโต แต่เมินมองออกไปทางด้านหลัง “รีบพาพ่อเข้าที่พักเลย” เขาเอ่ยกับลูกชายคนเล็ก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าคำพูดประโยคแรก
เจ้าองค์อินทร์เข้าใจบิดาดี เขายิ้ม แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งกับน้องชาย สองมือล้วงกระเป๋า ทำเดินตัวเอียง กระซิบบอกน้องชาย “พ่อของนาย แน่มาก”
เจ้าเทพนรินทร์อมยิ้ม เอาหัวไหล่กระแทกอกพี่ชาย แล้วเข็นกระเป๋าเดินทางของเจ้าพ่อ พลางชี้มือบอกทางไปยังห้องรับรอง
ÿ
อลงกตพอจะรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพ่อลูกคู่นี้มาบ้าง เขาจึงรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มเดินช้า ๆ เข้าไปโอบไหล่
“สักวันเจ้าแมนสรวงจะเห็นว่า ลูกชายของเขาคนนี้ คือ ณ แมนรัตน์ ที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง”
“ขอบคุณครับ ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตของผมมันดี มันมีความสุข ผมก็จะทำ ผมผิดหรือครับที่ไม่เป็นอย่างที่พวกท่านต้องการ”
“มันไม่ผิดหรอก ที่ลูกไม่ชอบในสิ่งพ่อแม่ชอบ เพียงแต่พวกท่านคาดหวังเอากับเจ้าเยอะมาก ท่านคงหวังจะให้ลูกชายคนโตสืบทอดสำนักงานกฎหมายของท่านด้วยนะ”
“ครับ...แต่...ช่างเถอะครับ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ถึงตอนนี้ ผมขอแค่เจ้าพ่อยังเห็นว่าผมเป็นลูกคนหนึ่งเท่านั้น”
“เถอะน่า!! นึกถึงเจ้าย่าของเจ้าเอาไว้ อย่างน้อยท่านก็เห็นอะไรดี ๆ ในตัวเจ้า” อลงกตตบไหล่ผู้อ่อนวัยกว่า ส่งกำลังใจให้เขาอีกครั้ง
“นั่นสิครับ” ชายหนุ่มหายใจยาว ๆ ลึก ๆ “เจ้าย่าและเจ้าป้ายังต้องการผม แล้วก็คุณแม่อีกคน”
“สู้น่ะ น้องชาย” อลงกตกล่าวทิ้งท้าย
ÿ
เจ้าเทพนรินทร์และเจ้าแมนสรวง เข้าห้องพักที่แกรนด์คอนโดมิเนียม เจ้าองค์อินทร์และอลงกตพาทอมมัสไปพักที่โรงแรมไฮแอทเอราวัณ ถนนราชประสงค์
“ทอมมัส พรุ่งนี้เราค่อยบินไปเชียงรายกันนะ”
“โอเค อินดี้ เจ้าย่าของคุณท่านจะต้อนรับผมยังไงนะ”
“คงหาสาว ๆ ไว้รำฟ้อนให้คุณดูอยู่ล่ะมั้ง เผื่อคุณจะถูกใจสาวไทยสักคน หึ หึ”
“ฝันไปเถอะอินดี้ นอกจากมันเป็นแผนของคุณเอง” ทอมมัสหัวเราะ “แล้วพบกันใหม่ครับ ดอกเตอร์อลงกต อินดี้”
ทอมมัสยืนส่งที่ประตูห้อง ร้องเรียกเจ้าองค์อินทร์อีกครั้ง
“เฮ้! อินดี้ ยังไงเจ้าย่าของคุณ ก็ไม่ปล่อยให้คุณเลือกหลานสะใภ้ตามใจตัวคุณเองหรอกน่ะ เชื่อผม”
เจ้าองค์อินทร์กลับหลังหัน หรี่ตาข้างซ้าย เอามือทำท่าเล็งปืนไปที่ทอมมัส
“คุณรู้อะไร ถ้าไม่บอกผมมาให้หมด ตายแน่” เจ้าองค์อินทร์ส่งท้ายด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
ÿ
ณ คุ้มแมนรัตน์ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย บนเนื้อที่ 20 ไร่ ริมแม่น้ำโขง เลอสรวง ณ แมนรัตน์ สมิธ นั่งอยู่บนรถเข็น เจ้าขวัญสรวงมารดาของเขา กำลังอ่านหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายให้ลูกชายฟัง
เลอสรวงได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเจื้อยแจ้วผ่านหูทุก ๆ วัน เป็นเสียงเดียวกับที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก เจ้าขวัญหล้าเก็บดอกบัวหลวงกำลังแรกแย้ม พับกลีบบัว ลอยน้ำในแก้วใส วางบนโต๊ะ เขากะพริบตาถี่ขึ้น เมื่อบัวดอกนั้นหมุนวนช้า ๆ
แมนสรวงแสดงความเกี้ยวกราดต่อหน้าญาติพี่น้อง เมื่อรู้ว่าสมบัติทั้งหมด ไม่ได้ถูกแบ่งให้เขาอย่างที่หวังไว้ ... งานเลี้ยงแบบขันโตกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตามประเพณีเหนือ เจ้าขวัญหล้าตั้งใจจะให้องค์อินทร์บวช หากเลอสรวงกลับมาหายเป็นปกติ
ÿ
หมอเนตรดาวสะกิดข้อมือเจ้าขวัญสรวง ทั้งคู่ยิ้มให้กันและกัน
“เลอสรวง หลานชอบดอกบัวหลวงหรือจ๊ะ”
เจ้าขวัญหล้าเอ่ยทัก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลานชาย
“ระวังครับเจ้าแม่ เดี๋ยวจะหกล้ม” เจ้าแมนสรวงที่เพิ่งเดินทางมาถึง แสดงตัวต่อหน้าทุกคน
“ไม่เป็นไร...แม่แข็งแรงดีหูตาก็ดีขึ้นมาก”
เจ้าขวัญหล้าจับข้อมือเจ้าแมนสรวงแล้วก้าวเดินช้า ๆ ไปหาเลอสรวง “เลอสรวงหลานยาย โอ!”
เจ้าขวัญหล้าตะลึงพรึงเพริศ ยกฝ่ามือทาบหน้าอก “หลานยกมือ และบังคับนิ้วได้แล้ว”
“แต่ทางกฎหมายก็ยังเรียกว่า คนพิการทุพพลภาพอยู่ดีล่ะครับ หึ หึ” เจ้าแมนสรวงแค่นหัวเราะ
เจ้าขวัญหล้าหันขวับไปมองลูกชาย ส่งสายตาตำหนิ และปะปนด้วยความรู้สึกละอายใจ
ÿ
“สวัสดีครับ” ทอมมัสพนมมือไหว้ทุก ๆ คน
เจ้าขวัญหล้าโอบกอดทอมมัส ทอมมัสหอมแก้มเธอ
“เจ้าขวัญสรวงที่รัก” ทอมมัสโผเข้าหาเจ้าขวัญสรวงเป็นคนต่อไป “ผมคิดถึงคุณมาก เลอสรวงสร้างภาระให้คุณมากมายจริง ๆ”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นกับลูกค่ะ คุณดูสิทอมมัส เขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแค่ไหน”
“พระเจ้า!” ทอมมัสเดินเข้าไปหาเลอสรวง ร่างสูงใหญ่ของทอมมัส ทำให้เลอสรวงแหงนคอมอง
เจ้าแมนสรวงคว้าถ้วยแก้วลอยดอกบัวหลวงมาถือเอาไว้
“ดูซิ! แกจะมีปัญญาเอามือมาคว้าคืนไปมั้ย”
“แมนสรวง!” เจ้าขวัญหล้าตวาดเสียงสูง “เอาวางลงที่เดิมเดี๋ยวนี้”
เจ้าแมนสรวงยังคงถือถ้วยแก้วไว้ในมือ เลอสรวงมองทอมมัส แล้วเลยไปมองหน้าแมนสรวง เห็นถ้วยแก้วไปอยู่ในมือของแมนสรวง เขาหันกลับไปมองบนโต๊ะอีกครั้ง แววตาเลื่อนลอย
“เห็นมั้ย มันก็ยังเป็นคนสมองกลวงเหมือนเดิม”
เจ้าแมนสรวงวางถ้วยแก้วลงบนโต๊ะ เบะปาก ยักไหล่ ท่าทางยียวน
เจ้าองค์อินทร์ปรากฏกายอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ
“ผมเห็นสิ่งที่เจ้าพ่อทำกับน้องแล้ว ไม่สามารถคิดเป็นอื่นไปได้ นอกจากคิดว่า เจ้าพ่อกำลังอิจฉาเลอสรวงอยู่ และก็เป็นเอามากซะด้วย”
“นั่นสิ” เจ้าขวัญหล้าเดินช้า ๆ เข้ามาใกล้ลูกชายคนเดียว “แม่รู้ว่าแกร้าย แต่ก็ไม่นึกว่า แกจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าทุกคนในบ้าน ญาติพี่น้องด้วยกันเอง ที่แกมานี่ มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นใช่มั้ย ที่อยากรู้”
“เจ้าแม่!” เจ้าแมนสรวงอุทานลั่น แม่ของเขาพูดจี้ใจดำ
“แม่รู้ทันแกหรอกนะ ทอมมัสจัดการให้แม่เสร็จแล้ว ทรัพย์สินส่วนของแกที่แม่ให้ไป นั่นเพียงพอให้แกมีชีวิตที่ดีแล้ว ถ้ารู้จักใช้มัน ส่วนที่เหลืออยู่เป็นของแม่ แม่ยังไม่ให้ใครทั้งนั้น จนกว่าแม่จะตาย และแม่เลือกที่จะตายที่นี่”
เจ้าแมนสรวงจะยังไม่เชื่อง่าย ๆ “ว่าไงนรินทร์แกได้ยินเหมือนพ่อมั้ย”
เจ้าเทพนรินทร์ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้าย่านะครับ แต่ผมคิดว่าเจ้าย่าพูดถูก สำนักงานกฎหมายของเรา เจ้าย่าร่วมทุนและสร้างขึ้นมา เจ้าย่ายกให้มันเป็นของผมทั้งหมดก็น่าจะพอแล้วนะครับ”
“ยกให้ใครนะ” เจ้าแมนสรวงหน้าตาเหรอหรา
“ให้ผมครับ”
“เมื่อไหร่”
“เจ้าย่าบอกผม หลายวันแล้วครับ”
ÿ
เจ้าขวัญหล้าพยักหน้า ให้สัญญาณทอมมัส
ทอมมัสเดินเข้ามาแทรกอยู่กลางความขัดแย้งภายในครอบครัว “เอาล่ะครับ ในเมื่อเจ้ามรดกอนุญาตให้ผมพูด ผมก็จะพูดเฉพาะในส่วนที่เจ้ามรดกสั่งเอาไว้ ทรัพย์สินและกิจการใน เมย์แฟร์” เขาเดินโหย่ง ๆ ไปหาเจ้าองค์อินทร์ “อินดี้ ขอกระเป๋าเอกสารของผม”
เจ้าองค์อินทร์ยื่นกระเป๋าหนังสีดำมันวับ ส่งให้ทอมมัส ทนายความของเจ้าขวัญหล้าปลดรหัสล็อคกุญแจกระเป๋า แล้วล้วงหยิบเอกสารออกมา 1 ปึกใหญ่
“สำนักงานกฎหมายแมนรัตน์ หุ้นส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ของเจ้าขวัญหล้า จะตกเป็นของเจ้าเทพนรินทร์ทั้งหมด โดยมีเงื่อนไขว่า ภายใน 10 ปีนับแต่ได้ครอบครองกิจการจะต้องไม่ถ่ายโอน หรือขาย หรือแบ่งให้ใคร ถ้าผิดจากนี้ ทรัพย์สินส่วนนี้จะตกเป็นขององค์กรกฎหมายเพื่อช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ยากไร้”
ทอมมัสวางเอกสารลงบนโต๊ะ
“เซ็นรับทราบกันทุกคนเลยครับ เชิญ”
แมนสรวงยืนกอดอก กัดฟันกรอด หยิบปากกาขึ้นจรดหน้ากระดาษ แต่วางปากกาลง
“แกไม่พอใจที่แม่ยกหุ้นส่วนของแม่ให้ลูกชายแกเหรอ ที่แกบอกแม่ว่า ต้องการสร้างสำนักงานกฎหมายให้มีชื่อเสียง ไม่ใช่เพื่อตัวแกเอง แต่เพื่อลูกชายทั้งสองคน แล้วแกก็โกรธเกลียดองค์อินทร์มากที่เขาไม่ยอมเรียนกฎหมายตามคำสั่งของแก ถ้าแกยังต้องการทำสิ่งนั้น เพื่อลูกจริง ๆ ก็น่าจะยินดีกับการตัดสินใจของแม่ นรินทร์ต้องทำความต้องการของพ่อได้เป็นจริงแน่ ๆ ใช่มั้ย หลานย่า”
“ครับเจ้าย่า ผมมั่นใจครับ ของ ๆ ผมก็เหมือนกับของเจ้าพ่ออยู่แล้ว”
เจ้าแมนสรวงนัยน์ตาแดงก่ำ เขาควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างสุดกำลัง
“ได้! ไม่มีปัญหา แล้วทรัพย์สินอื่น ๆ ล่ะ ร้านเพชรของนายสมิธนั่น”
“อ๋อ หุ้นส่วนของเจ้าขวัญหล้าที่ร้านเพชรและวัตถุโบราณของมิสเตอร์สมิธ ท่านโอนขาดไปแล้วครับ หลังจากสมิธเสียชีวิต และรู้ว่าคุณเลอสรวงมีโอกาสแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ที่จะกลับเป็นเหมือนเดิม”
"เจ้าแม่โอนขาดแล้ว โอนให้ใครครับ” เจ้าแมนสรวงถามทอมมัส มองหน้าเจ้าขวัญหล้า หาคำตอบจากทั้งสองคน
“ผมตอบเจ้าไม่ได้ครับ เป็นความลับของเจ้านายของผม” ทอมมัสกล่าวยิ้ม ๆ กวนอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ
เจ้าแมนสรวงหันขวับไปจ้องหน้าพี่สาว อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เจ้าขวัญสรวงส่ายหน้า
“ท่านไม่ได้ให้พี่หรอก พี่ได้รับส่วนที่สมิธถือหุ้นอยู่แค่นั้น และตอนที่พี่ตัดสินใจพาลูกกลับมาอยู่ที่นี่ พี่ก็ขายหุ้นที่ร้านเพชรทั้งหมดไปแล้ว บ้านหลังนี้และคอนโดที่กรุงเทพฯ ก็ซื้อหามาจากเงินที่พี่ขายกิจการร้านเพชรของสมิธ”
“ได้...ได้...ในเมื่อทำแบบนี้กับผม ทิ้งผมไว้ที่นั่นคนเดียวอีกแล้ว เมื่อสามสิบปีก่อน เจ้าแม่กับเจ้าพี่ก็ทำกับผมอย่างนี้พอผมตามไปอยู่ด้วย ตั้งหลักปักฐานมั่นคง ทุกคนก็ย้ายหนีกลับมาที่นี่อีก”
เจ้าแมนสรวงตะโกนโหวกเหวก เหมือนคนเสียสติ
“แมนสรวง!”
เจ้าขวัญสรวงผุดลุกขึ้น หมอเนตรดาวมองตามอย่างเป็นห่วง “ที่พี่ไปเพราะเจ้าพ่อไม่ต้อนรับสมิธต่างหาก ความรักและผูกพันระหว่างพี่กับสมิธเป็นเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ เพราะเธอยังเด็ก เธอรักพี่และหวงพี่ เหมือนพี่เป็นสมบัติของเธอ พอพี่แต่งงานกับ สมิธ เธอก็รับไม่ได้ โกรธและเกลียดเขา พาลมาลงโทษเอากับพี่และหลาน ตอนนั้นน้องเองเป็นฝ่ายขับไล่ไสส่งพี่ให้ไปไกล ๆพี่ก็ไป แต่เจ้าแม่...”
เจ้าขวัญสรวงเหลียวหน้าไปมองเจ้าขวัญหล้า พลางสะอื้นไห้ “เจ้าแม่ทนเห็นพี่ไปยากลำบากไม่ได้ พอเจ้าพ่อสิ้น ท่านก็ตามไปอยู่ที่ลอนดอนกับพี่ น้องไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ยังมีเจ้าแม่ดูแลน้องอยู่จนเรียนจบไฮสกูลที่เมืองไทย แล้วน้องก็ตามไปพร้อม ๆ กับเจ้าแม่ น้องคิดแต่ว่าตัวเองสูญเสีย ที่จริงแล้วน้องได้ทุกอย่างมาตลอดเวลา ไม่เคยเลยสักครั้ง แมนสรวงที่พี่จะไม่รัก ไม่ห่วงใยน้องชายคนนี้ เพียงแต่น้องไม่เห็นค่าของมัน”
“ลูกคิดแค้นเจ้าพี่มากเกินไปนะแมนสรวง ตอนนี้อายุ ก็มากขึ้นแล้ว มองดูลูก ๆ สิ โตเป็นหนุ่มมีงานการทำกันหมดแล้ว พ่อยังยึดติดกับอารมณ์โกรธแค้นสมัยเด็ก ๆ ไม่อายลูก ๆ บ้างหรือไง”
“อย่ามาสั่งสอนผม และผมไม่เชื่อคำโกหกพกลมพวกนั้น!” เจ้าแมนสรวงเดินลงส้นเท้าออกไปจากห้อง
ÿ
บริเวณรอบคุ้มแมนรัตน์ ประดับประดาโคมไฟ สว่างไสว เจ้าขวัญหล้าและเจ้าขวัญสรวง จัดเตรียมงานไว้รับรองเจ้าแมนสรวงและทอมมัส
“งานเลี้ยงอาหารขันโตก ฟ้อนเล็บ งานบุญสู่ขวัญ บุญเลี้ยงพระ ขึ้นบ้านใหม่”
ทอมมัสรู้สึกทึ่งกับการต้อนรับเขา “อินดี้บอกผมแล้ว แต่นึกว่าพูดอำกันเล่น ๆ”
“ทอมมัส ขอบคุณนะ คุณดูแลเราสองคนมาด้วยดีเสมอ ฉันคงคิดถึงคุณน่าดูเลย”
เจ้าขวัญหล้ายิ้มละมุนละไม นัยน์ตาเริ่มระรื้นชุ่มน้ำตา
“ผมเองก็คิดถึงพวกคุณมาก แต่เจ้าครับ เจ้าแมนสรวงยังไม่เป็นที่น่าไว้ใจนัก เขาเจ้าเล่ห์มาก ในวงการทนายความเขาเป็นที่เล่าลือ เรื่องการหักหลังเพื่อน ตอนนี้แทบจะไม่ใครคบเขาอยู่แล้ว นอกจากพวกนักเลง มาเฟีย ที่ชอบคบหากับเขา”
"แล้วคดีอุบัติเหตุของเลอสรวงล่ะ มีอะไรคืบหน้าบ้างมั้ย” เจ้าขวัญสรวงถามเสียงเบาเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ
“มีครับ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตำรวจกันเอาไว้เป็นพยาน เขาบอกว่า นักเลงบ่อนคาสิโนย่านโซโหให้เงินค่าจ้างแล้วพาเขาไปชี้รถ บอกให้ตัดสายเบรกแค่นั้น และตำรวจก็ควบคุมตัวนักเลงบ่อนคนนั้นได้แล้ว”
“เขาว่ายังไง ซัดทอดใครมั้ย” เจ้าขวัญหล้าพูดกับทอมมัส
ประตูห้องเลื่อนเปิด เจ้าแมนสรวงเดินเข้ามาหาคนทั้งสาม ทอมมัสชะงักโดยสัญชาตญาณ
เจ้าแมนสรวงปรับท่าทีมาเป็นมิตรกับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว “เจ้าแม่ เจ้าพี่ ทอมมัส เฮ้! คุณมาอยู่ตรงนี้เอง ผมตามหาเสียทั่วเชียว”
“มีอะไรกับผมเป็นพิเศษหรือเปล่า” ทอมมัสพูดคุยเป็นปกต
“สาว ๆ สวย ๆ มาเตรียมตัวรำฟ้อนให้คุณกับผมดู ไม่ออกไปต้อนรับหน่อยเหรอ”
“โอ...ไม่ล่ะครับ สู้กับลูกชายคุณสองคน ผมสู้ไม่ได้หรอก”
“ดูถูกตัวเองเกินไป ไปกันเถอะทอมมัส”
ทอมมัสลุกขึ้น ค้อมศีรษะให้หญิงชราทั้งสอง
“ขอตัวก่อนนะครับเจ้า ขอบคุณสำหรับงานนี้ ที่ทำให้เราสองคน”
เจ้าแมนสรวงเดินโอบไหล่ทอมมัสออกไปข้างนอก
ÿ
ในห้องนั้น เหลือเพียงสองคนแม่ลูก
“รู้สึกว่าแมนสรวงจะเลิกรังเกียจทอมมัสแล้วนะคะ เจ้าแม่ ไม่เคยเห็นเขาอยากสนิทสนมกับทนายความของเราเลย”
“ระวังตัวเอาไว้บ้างก็ดีนะ คนของเราเหลี่ยมจัด นี่พอรู้ว่าเรารู้ทัน ก็ปรับท่าทีใหม่ แม่ไม่เข้าใจเลย ว่าแมนสรวงไปได้นิสัยแย่ ๆ อย่างนี้มาจากไหน”
เจ้าขวัญหล้าวางดอกบัวหลวง ดอกสุดท้ายลงในอ่างแก้วใส “เลอสรวงเก่งขึ้นมาก เมื่อกลางวัน ลูกสังเกตหรือเปล่า”
“ตอนไหนคะ”
“ที่แมนสรวงถือถ้วยแก้วเอาไว้ในมือ เลอสรวงมองตามตลอด สมองของเขา เริ่มบังคับและควบคุมให้ไปตามความต้องการของจิตใจได้แล้ว”
“อ๋อ...ค่ะ หมอเนตรบอกลูกแล้ว เสียงดัง ๆ ของแมนสรวงอาจเข้าไปกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของเลอสรวงค่ะ”
“พูดถึงหมอ... ขวัญสรวง หมอเนตรดาวกับอาจารย์อลงกตได้พบกันหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้าแม่ ครอบครัวของน้องสาวอาจารย์ก็มากันแล้วตั้งแต่ตอนบ่ายค่ะ”
“องค์อินทร์บอกว่าถ้าเลอสรวงหายเป็นปกติ จะบวชพระ ให้บวชก่อนที่แมนสรวงจะกลับอังกฤษดีมั้ย”
“กีดีค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ สำหรับวิชุดา คงต้องใช้วิธีโทรศัพท์บอก”
“ลองดูนะ องค์อินทร์ก็เหมือนเป็นลูกคนหนึ่งของเธอ เขาบวชก็เหมือนลูกชายของเธอบวช”
“ลูกจะช่วยงานของหลานอย่างเต็มที่ค่ะเจ้าแม่ อย่าห่วงเลย จะว่าไปนะคะ องค์อินทร์สนิทสนมกับเลอสรวงมากกว่านรินทร์เสียอีก คู่นั้นรู้ใจกันชนิดที่ไม่ต้องเอ่ยปากเลยเชียว”
“ใช่ ! แม่ว่า องค์อินทร์คงตั้งใจมาเกิดเป็นลูกของเรา มากกว่าเป็นลูกของแมนสรวงนะ” เจ้าขวัญหล้าหัวเราะเบา ๆ
“นั่นสิคะเจ้าแม่”
เจ้าขวัญหล้าช้อนตาขึ้นมองลูกสาว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา แววตาสว่างวาบ แล้ววูบลงไปพร้อมกับความรู้สึกเศร้าหมอง
ÿ
ลานหญ้ากว้าง หน้าคุ้มแมนรัตน์ ปูเสื่อผืนยาวเป็นแถว ๆ วางขันโตกอาหารเป็นวง เจ้าขวัญหล้าแต่งกายเต็มยศ เจ้านางคุ้มหลวงตามขนบประเพณีของตระกูล ประดับช่อเอื้องสายน้ำผึ้งที่เกล้ามวยผม
แขกชุดหนึ่งแต่งกายอย่างล้านนา ผ้าฝ้ายทอมือสีสด หญิงคนหนึ่งวัยใกล้เคียงกันกับเจ้าขวัญหล้า พอพบเห็นหน้ากันก็โผกอด ร่ำไห้
“ขวัญหล้า...โอ ขวัญหล้า เจ้ายังอยู่ดี นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอะเจอกันอีกแล้ว”
“อยู่ดี มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างคละเคล้าไปตามประสาละตัว แม่ท้าวศรีบุญจันทร์”
“พ่อหนุ่มหน้าละอ่อน ผิวใสคนนั้น ใครล่ะนั่น”
เจ้าขวัญหล้ามองตามปลายนิ้วชี้ประดับแหวนเพชรเม็ดโตของเพื่อน“อ๋อ...นั่นหลานชายคนโตของฉัน องค์อินทร์มานี่สิลูก” เจ้าขวัญหล้ากวักมือเรียก“ครับ เจ้าย่า”“นี่ ๆ มากราบท้าวศรีบุญจันทร์ เพื่อนของย่า สายวงศ์ของเขากับเรากินดองกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของย่าแล้ว พอดีรุ่นของย่า ฝ่ายนั้นก็มีศรีบุญจันทร์ ฝ่ายเราก็มีย่า เราทั้งคู่ก็เลยผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนรักกันแทน”“กราบเจ้าย่าศรีบุญจันทร์ครับ” องค์อินทร์ลงไปคุกเข่ากราบบนตักหญิงชราท้าวศรีบุญจันทร์ยิ้มปลื้มใจ ยกผ้าทอขลิบทองขึ้นเช็ดมือตนเองก่อนจะประคองใบหน้าของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอันแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี”“เหอะ ๆ ๆ “ เจ้าขวัญหล้าหัวเราะเพื่อนรัก “แม่ท้าวศรีบุญจันทร์ ถึงกับเพ้อท่องโคลงสอง ยอยศพระลอออกมาเชียว เจ้าองค์อินทร์เขินจนหน้าแดง “ผมถูกเจ้าย่าศรีบุญจันทร์เกี้ยวหรอกเหรอนี่ โธ่!!” “ใช่ ๆ ย่าเกี้ยวเจ้า แต่เกี้ยวให้หลานสาวของย่าต่างหาก”“เอ้อ...อ้า ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อย มองหน้าเจ้าย่าขวัญหล้าของเขา พยายามส่งสายตาบอก “ไม่ได้
เจ้าองค์อินทร์มองบนเวทีอีกครั้ง นางกินรีก็รำจบพอดี“พอทราบข่าวจากเจ้าขวัญหล้า เราก็เตรียมงานแสดงชุดนี้มาเป็นของขวัญ ยายเก้าไปเติบโตอยู่ปักษ์ใต้ ถูกคัดตัวไปรำบ่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากจับแต่งชุด ก็รำได้เลยค่ะ” ภาณินีตอบอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกสา“เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางการแสดงนะครับ” เจ้าองค์อินทร์เอ่ยปากชมอย่างจริงใจภาณินีสบตากับอลงกต แล้วยิ้มหวานกับเจ้าองค์อินทร์ “ยินดีกับอาจารย์องค์อินทร์ ณ แมนรัตน์ ด้วยนะคะ”“เอ๋…” เจ้าองค์อินทร์มองอลงกต เห็นสายตาของชายสูงวัยกว่า ก็พอจะเข้าใจ “ตกลงทางมหาวิทยาลัย...”“ครับ อีกสองสัปดาห์อาจารย์ลงไปรายงานตัวได้เลย”“เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกกังวล เขาสัญญาว่าจะบวชให้เจ้าย่าสักครั้ง“อ๋อ...กลับจากงานธรรมจาริก ก็พอดีเปิดเทอมค่ะ แต่ว่าเรื่องการประชุมแผนการเรียนการสอนของสาขาศิลปกรรมและการแสดงนี่ เจ้าคงจะต้องคุยกับท่านคณบดีก่อนนะคะ” ภาณินีหมายถึงอลงกต ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมจะเสนอแผนการสอนล่วงหน้าได้ก่อนมั้ยครับ หากว่าทางคณะเห็นควรจะปรับอย่างไร ก็ถือไปตามนั้น”“ได้ครับ ฝากผมไปก็ได้ เวลาประชุมก็มาคุยกันเรื่อง การจัดเวลาสอนเด็ก ๆ ถ้าเจ้ารับได
“ขวัญสรวง ลูกช่วยไปดูองค์อินทร์ก่อนนะ ส่วนทอมมัสคุณเจอเรื่องร้ายมามากแล้ว เชิญไปพักผ่อนเถิดค่ะ”ÿทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง เจ้าเทพนรินทร์ก็แผดเสียงใส่เจ้าย่าของเขาอย่างลืมตัว“ผมไม่เชื่อว่าพ่อจะทำอย่างนั้นหรอก!”เจ้าขวัญหล้ายกฝ่ามือขึ้นตบหน้าหลานชายคนเล็กอย่างแรง“นรินทร์! หลานไม่เคยหยาบคายกับย่าอย่างนี้มาก่อนเลยนะ””เจ้าย่าก็ไม่เคยตบหน้าผมเหมือนกัน ไม่รู้กันหรือไง พี่ชายแก้แค้น เอาคืนที่เจ้าพ่อไม่รักเขา พี่ชายเป็นลูกอกตัญญูนะ”“หลานต่างหาก ที่ตาบอดสนิท ถ้าองค์อินทร์ไม่เข้าไปช่วยทอมมัส ทอมมัสคงถูกพ่อของหลานฆ่าไปแล้ว และพ่อของหลานก็จะกลายเป็นฆาตรกรสองศพทันที”“อะ...อะไรนะครับ เจ้าย่า” เจ้าเทพนรินทร์ชะงักกึก หน้าซีดเผือด “สองศพ...ใคร...ใครกัน” “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลุงสมิธและเลอสรวง มีพ่อของหลานอยู่เบื้องหลัง” เจ้าเทพนรินทร์เหมือนโดนทุบศีรษะอย่างแรง “เจ้าย่าเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำเจ้าพ่ออีกล่ะครับ” “ตำรวจจับตัวคนร้ายได้แล้ว เขาซัดทอดมาถึงพ่อของหลาน และพ่อของหลานเองก็ได้พูดความจริงออกมาแล้ว”“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทำอย่างนั้นทำไมกัน”“พ่อของหลานเจต
หมอเนตรดาวนึกย้อนหลังไปว่าช่วงเวลานั้นครอบครัวพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่ พอนึกขึ้นมาได้ก็ร้องขึ้น “อ๋อ!” ขึ้นมานายตำรวจมองหมอเนตรดาวอย่างสนใจ “มีอะไรครับ” “ช่วงนั้น พวกเรา ... เอ้อ... ญาติ ๆ ดิฉันที่มาจากกรุงเทพนี่แหละค่ะ เข้าไปในงาน ยังเจอกับเจ้าแมนสรวงอยู่เลย ดิฉันเอง ที่เห็นว่าข้อศอกของเจ้าแมนสรวงมีบาดแผลเลือดไหลซึม” “แล้วยังไงต่อครับ” “เจ้าขวัญหล้าก็เลยให้ลูกชายกลับไปทำแผลค่ะ” “แล้วเจ้าองค์อินทร์กับคุณเอดการ์ดนั่นอยู่ในงานหรือเปล่าครับ” “ดิฉันไม่เห็นทอมมัสเลยค่ะ เจ้าองค์อินทร์ดิฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาหายไปตอนไหนจนกระทั่งโชว์สุดท้าย เขาเข้ามาในงานพร้อม ๆ กัน”“งั้นก็แสดงว่า เจ้าองค์อินทร์ออกไปตามหาคุณเอดการ์ด ทอมมัส ตามคำให้การของเจ้าขวัญหล้า” นายตำรวจ บอกกับหมอเนตรดาวอย่างสุภาพ “ขอเชิญบันทึกถ้อยคำไว้เป็นพยานนะครับ คุณเป็นอะไรกับคนที่นี่ครับ” “ดิฉันเป็นหมอพิเศษมาดูแลอาการทางระบบประสาทของคุณเลอสรวงค่ะ” “เจ้าแมนสรวงเป็นยังไงบ้างคะ หมายถึงสุขภาพของเขา” ภาณินีถาม “ที่นี่ตอนกลางคืนอา
ใกล้เข้าไปยิ่งเห็นคุ้มชัดขึ้น เจ้าเทพนรินทร์เลี้ยวรถเข้าที่จอด ท้าวศรีโสภางค์ลงรถมายืนรออยู่ก่อนแล้ว “ผู้หญิงบอบบางอย่างเจ้า ขับโฟร์วีล ดูไม่เข้ากันเลยนะครับ” เจ้าเทพนรินทร์กล่าวยิ้ม ๆ“น้องคุมงานไร่ยาสูบและไร่ชา เจ้าพี่ก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกัน”“เจ้าย่าศรีบุญจันทร์เล่าว่า น้องเรียนจบเลขานุการมาไม่ใช่เหรอ”“ค่ะ แต่น้องก็ใช้วิชาเลขานุการกับงานที่นี่ได้ เจ้าพ่อของน้องเป็นผู้จัดการใหญ่ ส่วนเจ้าพี่ของน้องอีก 2 คน ก็ดูแลควบคุมการผลิต และการตลาด น้องเป็นเลขาของเจ้าพ่อยังไงล่ะคะ เชิญเจ้าพี่เข้าไปในคุ้ม น้องจะเรียนเจ้าย่ากับเจ้าพ่อ เจ้าพี่รับชาหอมหมื่นลี้ร้อน ๆ กับอาหารว่างรอไปก่อนนะคะ”“ครับ ขอบคุณ” ระหว่างรอเจ้าของบ้าน เจ้าเทพนรินทร์เดินไปรอบ ๆ ห้องรับแขก ตู้ไม้โบราณเก็บหนังสือเก่า ๆ น่าสนใจสำหรับเขา หนังสือเล่มหนึ่งถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใส หน้าปกและเนื้อกระดาษอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เว้นแต่ว่ามันมีสีเหลืองและกรอบแห้งแทบจะหลุดออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ “สนใจหนังสือเล่มไหนอยู่ล่ะ หลานนรินทร์” ท้าวศรีบุญจันทร์ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังท้าวศรีบุญจันทร์ในชุดผ้าทอยาวกรอมเท้า เสื้อคอปาด คลุมไหล่ ห่มด้วยผ้
“มันแปลกตรงที่ ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน พวกเขาเปลี่ยนความคิดบางอย่างของผม”วันถัดมา เป็นวันที่เจ้าขวัญหล้าได้อาราธนานิมนต์ หลวงพ่ออุดมไปฉันภัตตาหารเพลที่คอนโดมีเนียมย่านสุขุมวิทเพื่อขอให้เทศน์โปรดเลอสรวงเจ้าองค์อินทร์ขับรถยนต์เล็กซัสสีดำ ป้ายแดง ไปรับภาณินีกับแก้วเก้าที่บ้าน ”วิริยนันท์” อธิคมเดินตามหลังออกมาส่งภรรยาและลูกสาว“สวัสดีครับ อาจารย์” เจ้าองค์อินทร์ก้าวลงจากรถ กล่าวทักทายเจ้าของบ้านอธิคมยังอยู่ในชุดนอน มือถือถ้วยกาแฟ ควันฉุย “สวัสดีครับ เจ้า...ช่วยดูแลหน่อยนะ”"เสร็จธุระแล้ว จะรีบพามาส่งเลยครับ” “โอ้ย! ไม่ต้องรีบหรอกคุณ” อธิคมโบกมือให้ภรรยาและลูกสาว “พ่อไปกับเราเถอะค่ะ... นะคะ” แก้วเก้าอ้อนพ่ออีกครั้ง “เมื่อคืน พ่อดื่มเป็นเพื่อนลุงกตหนักไปหน่อย ยังปวดหัวอยู่เลย ไปไม่ไหวจริง ๆ” “พ่อดื่มเหล้าเหรอคะ” แก้วเก้าขึ้นเสียงสูง “ไม่ได้ดื่มเหล้าหรอกน่า น้ำผลไม้” “น้ำผลไม้แล้วทำไมถึงเมาล่ะคะ ไม่ยอมนะเก้าไม่ให้ พ่อดื่ม” ภาณินีดึงมือลูกสาวขึ้นรถ “ไปกันเถอะลูก ต้องไปรับหลวงพ่ออีก พ่อของลูกดื่มไวน์เท่านั้นแหละ เมื่อคืนเราเลี้ยงวันเกิดป้าเนตรกัน”“พ่อนะ เก้าเผลอไม่ได้เ
“เอาน้ำมนต์ให้เขาดื่ม แล้วค่อย ๆ ปรับท่านั่งให้เขา ให้เอนนอนลงไปเลยก็ได้นะ” หลวงพ่อสั่งเจ้าองค์อินทร์ ที่เพิ่งก้าวเข้ามา พร้อมกับเจ้าขวัญสรวง “เจ้าขวัญหล้าล่ะ หายไปไหน”“เจ้าแม่ขอไปนอนพักรอในห้องค่ะ” เจ้าขวัญสรวงตอบ“ตักน้ำมนต์นี่เอาไปให้โยมแม่ดื่มด้วยเดี๋ยวนี้เลย” หลวงพ่อสั่งเจ้าขวัญสรวงเจ้าองค์อินทร์ตักน้ำมนต์ใส่แก้วส่งให้เจ้าขวัญสรวง “เจ้าป้าเอาไปให้เจ้าย่าดื่มนะครับ ของเลอสรวง ผมจะจัดการให้” ว่าแล้วเขาก็ประคองร่างน้องชาย และช่วยง้างปากออกพอที่จะดื่มน้ำจากขันได้ÿเจ้าขวัญสรวงออกมาจากห้องนอนของเจ้าขวัญหล้า พร้อมกับแก้วน้ำว่างเปล่า“ดื่มมั้ย” หลวงพ่อถาม“ดะ... ดื่มค่ะ” เจ้าขวัญสรวงตอบ“ดื่มแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”“เจ้าแม่เป็นปกติดีค่ะ”หลวงพ่อขมวดคิ้ว ยังไม่คลายความสงสัย แต่แล้วก็พิจารณาเห็นวาระกรรมของสัตว์โลก “ดูแลโยมแม่ให้ดี มีเวลาเหลืออยู่แค่ปลายปีนี้”“หลวงพ่อพูดเหมือนกับเจ้าแม่เลยค่ะ ท่านบอกว่ารู้วันตายล่วงหน้าแล้ว อยากจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยและไปอย่างหมดกังวล”“เจริญพร ขอให้ได้สมปรารถนานะโยม”เลอสรวงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สมองของเขารับรู้ภาพความเคลื่อนไหว และความรู้สึกชื้นเย็นที่เ
เจ้าขวัญหล้าเดินเลยไปที่โต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป ซึ่งจัดทำพิธีเมื่อช่วงเช้า จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้วก้มกราบพระพุทธรูป 3 ครั้ง รวบรวมจิตใจเข้าสู่ความสงบ แล้วอธิษฐานภาวนา“คุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เหล่าเทวดา เทวทูต สรรพวิญญาณ และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้าและตระกูล ณ แมนรัตน์ ได้โปรดรับคำขอบคุณจากข้าพเจ้านางขวัญหล้า ณ แมนรัตน์ บัดนี้ ข้าพเจ้าได้หลานชายกลับคืนมาแล้ว พร้อมยอมทำตามคำสัญญา หากความตายจะมาถึงข้าพเจ้าในวันนี้พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้ว ขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายที่จะทำในภายภาคนี้และภาคหน้าถวายเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้วิวัฒนาถาวรสืบไป”เทวทูตตนหนึ่ง ปรากฏกายเลือนรางอยู่เบื้องหลัง เจ้าขวัญหล้า “30 พฤศจิกายน เที่ยงคืน เราจะมารับเจ้า”“ดิฉันกราบขอบพระคุณที่มาบอก มาเตือน ดิฉันตั้งใจมั่นแล้วจะร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อเพื่อฝึกฝนตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ไปจนกระทั่งวันและเวลาสุดท้ายของชีวิต” เจ้าขวัญหล้าน้อมรับคำสั่งนั้น เทวทูตตนนั้นก็หายตัวไปÿเวลา 17 นาฬิกาเศษ เจ้าขวัญสรวงและเจ้าองค์อินทร์กลับมาถึงห้องพักหรูในแกรนด์คอนโดมิเนียม “ผมคงตาไม่ฝาดใช่มั้ยครับ
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ