“เก้าอยากเหนี่ยวแขนห้อยโหน แกว่งไปมาอย่างสนุกสนานบนนั้น แล้ว “ใหญ่” ก็ลื่นถลาลงตรงส่วนเว้า เหมือนเล่นสไลเดอร์ไงคะแม่ เก้าและใหญ่วิ่งวนรอบเดือนเสี้ยว เราฝันว่าเราเล่นด้วยกัน สนุกมาก ๆ เลยค่ะ”
“ตอนแม่เด็ก ๆ อายุเท่า ๆ เก้า แม่ก็มีเพื่อนเล่นเหมือนกัน แต่ก็จำได้ลางเลือนเหลือเกิน ตอนเล็ก ๆ แม่ไม่ได้มีอิสระออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนเก้าหรอกนะ เพราะคุณตาคุณยายท่านเข้มงวดมาก”
“แล้วคุณปู่ของเก้าล่ะคะ”
“ปู่ของเก้า ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านเสียไปตั้งแต่พ่อคมยังเด็กมาก เก้าต้องถามคุณย่าแล้วล่ะ ตอนนี้เรามาอยู่ใกล้ ๆ ย่านวล ลุงกต ป้าเนตร และก็อากรณ์แล้ว ต่อไปเก้าก็จะมีญาติผู้ใหญ่ไปมาหาสู่แล้วเก้าก็ต้องช่วยแม่ดูแลเอาใจใส่ท่านด้วย”
“ลุงกตเย้ ! เก้าเจอลุงกตหนเดียวเอง ลุงกตใจดี เหมือนพ่อเก้าเลย แต่อากรณ์นี่สิ เก้าไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่แม่คะ เก้าคิดถึงเพื่อน”
ภาณินียิ้มอ่อนโยนกับลูกสาว นิสัยของแก้วเก้านั้นหากรักใครชอบใครจะยอมเชื่อฟังโดยดี แต่หากไม่ชอบใจล่ะก็ต่อให้อธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมดีด้วย
“คิดถึงก็เขียนจดหมายไปหาสิจ๊ะ”
“ค่ะแม่... แต่แม่คะ...” มองไปรอบ ๆ ห้องอีกที “ แม่บอกว่าบ้านคุณตาเป็นบ้านร้าง แล้วทำไม มันไม่ดูร้างหรือสกปรกเลยล่ะ”
“ก็ลุงกต พาคนงานมาปรับปรุงส่วนที่ทรุดโทรมแล้วก็ทำความสะอาดอยู่เรื่อย ๆ”
“อ๋อ…” แก้วเก้าเอียงใบหน้าซุกอกแม่ ตาเริ่มหนักอีกครั้ง พยายามฝืน แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมาทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง... เคลิ้มหลับซับซาบความอบอุ่นจากอ้อมอกของแม่
ÿ
คืนนี้เป็นวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ บริเวณระเบียงไม้ ทอดยาวยื่นไปทางฝั่งแม่น้ำ เงาร่างสูงสง่าจ้องมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าเห็นกระต่ายบนนั้นชัดเจน
เด็กสาวเดินไปใกล้ ๆ อยากเห็นหน้าชัด ๆ แต่เขาไม่มองมาทางเธอเลย ยังคงจดจ้องมองพระจันทร์บนท้องฟ้า จะมีก้มหน้านิดหน่อยก็ตอนที่มองสายน้ำ ซึ่งก็สะท้อนเงา เหมือนมีพระจันทร์สองดวงอยู่บนโลก
“เก้าชอบพระจันทร์เสี้ยว เก้าจะรอพระจันทร์เสี้ยว คุณน้ามาอีกทีวันนั้นสิคะ...แล้วคุณน้าจะได้รู้ว่า พระจันทร์เสี้ยวสวยกว่าพระจันทร์เต็มดวงอีก”
แก้วเก้าพูดกับเขา แต่เขายังคงเหม่อลอย มองไปไกลแสนไกล
“คุณน้าคะ” คะเนดูว่า เขาคงอายุน้อยกว่าแม่หลายปี “คุณน้าอยู่ที่บ้านนี้เหรอคะ”
เขาหันหน้ามามองเธอตรง ๆ เด็กสาวผงะถอยจนหลังไปชนแนวกั้นระเบียง เขาเป็นผู้ชายตัวโต ผิวขาวซีด แต่งตัวประหลาด ๆ เหมือนรูปคนโบราณในหนังสือเล่มหนา ๆ ของแม่
“เจ้าน้อย โอเจ้าน้อย...”
เด็กสาวเอียงใบหน้า นัยน์ตาเหลือบแลชายแปลกหน้า อย่างฉงนสนเท่ห์
“เจ้าคือ เจ้านางแก้วเก้าเนาวรัตน์ขัติยนารีศรีเวียงเชียงรุ้ง อย่างไรจำไม่ได้”
“หนูงงไปหมดแล้ว คุณน้าอยู่บ้านนี้เหรอ นี่บ้านคุณตาคุณยายของเก้า คุณเป็นอะไรกับแม่ของเก้าเหรอ” แก้วเก้าขยับเข้าไปใกล้เขา สายสร้อยห้อยยาวแกว่งไปมาบริเวณอกเสื้อ เขาขยับตัวห่างออกไป ยกมือขึ้นบังหน้า
“แม่ของน้อง เป็นเจ้าอาของพี่” น้ำเสียงแผ่วเบา เขาซวนเซเล็กน้อย ยกมือกุมศีรษะ ร่างของชายหนุ่มค่อยเลือนและลอยขึ้นเหนือพื้นบ้าน พุ่งจากระเบียงบ้าน หายลับไปในสายน้ำเบื้องล่าง
ÿ
“เก้า ... เก้า ... ตื่นเถอะลูก คุณย่ากับคุณลุงมาแล้ว !”
เสียงแม่แทรกเข้ามา แก้วเก้ามองไปทางสายน้ำ จุดที่เขาหายไป
“ว่าง ๆ ก็มาหาเก้าอีก...!” เด็กสาวยกมือขึ้นโบก แล้วเดินกลับมาที่เตียงนอน ไม่เห็นแม่แล้ว
“เก้า!”
เสียงใครกัน แก้วเก้าพึมพำ “คุณน้า” ลืมตาขึ้น กะพริบช้า ๆ “ใครน่ะ!”
“ลุงกตเอง... ว่าไงจ๊ะแม่นักเดินทางตัวน้อยของลุง ได้กลับมาอยู่บ้านของตัวเองสักทีนะ”
“ลุงกตจริง ๆ เหรอคะ...” เก้าเอื้อมมือขึ้นลูบคลำหนวดบนหน้าของลุง ไม่ใช่คุณน้าคนนั้น
“อ้าว ก็จริงนะสิ”
“ลุงกตอ่ะ”
“ก็เก้าจำลุงกตไม่ได้นี่คะ นึกว่าคุณน้าผู้ชายอีกคน”
“น้าผู้ชาย บ้านนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเรานะ หรือว่าพ่อกับแม่ของเราพาใครมาด้วย”
“มีค่ะ คุณน้าผู้ชายบอกว่าแม่เป็นอา หรือเจ้าอาอะไรเนี่ยแหละ”
ลุงกตดึงเด็กสาวขึ้นจากที่นอน “เก้าเจอคุณน้าที่ไหน”
“อ๋อ ที่ระเบียงทางนู้นค่ะลุงกต แต่งตัวโบร๊าณ โบราณค่ะ”
“เขาบอกมั้ย ว่าชื่ออะไร”
“เปล่าค่ะ แต่เขาเรียกเก้าว่า เจ้าน้อย เจ้าแก้วเก้าอะไรสักอย่างยาว ๆ เก้าจำไม่ได้อ่ะค่ะ”
“ดอกเตอร์อลงกต ศักดิ์เดชา” กลอกตามองไปทางด้านระเบียง หัวเราะ หึ หึ
“เก้าคงฝันไปแล้วล่ะลูก”
“ฝันเหรอคะ ทำไมเก้ายังรู้สึกตัวดี ๆ อยู่เลย”
“โบราณท่านว่าเหตุที่ทำให้ฝันมี 4 อย่าง คือ เทพนิมิต จิตนิวรณ์ ลางสังหรณ์ และธาตุโขภ”
แก้วเก้าเลิกคิ้ว สงสัย
“ทานขนมก่อนนอนมากเกินไปหรือเปล่า” ลุงกตหาสาเหตุที่ทำให้แก้วเก้าฝัน
“เปล่าค่ะ เมื่อคืนเก้าก็ปกติดีทุกอย่าง จะมีก็แต่เดินทางมาทั้งคืน แต่เก้าก็หลับตลอด”
“เอ...หรือจะหลับมากเกินไปหรือเปล่า” ลุงกตลุกขึ้นไปดูระเบียง มองไปรอบ ๆ
“ไม่รู้สิคะ...” คำพูดที่มักติดปากคำเธอเสมอ ๆ เวลาคิดอะไรไม่ออก
ÿ
ผ่านไปแล้วเดือนเศษ บ้าน “วิริยนันท์” เรือนไม้ทรงปั้นหยาสีเขียวมรกต มรดกที่พลโทภรตและบุษบา ศักดิ์เดชา ให้ไว้แก่ลูกสาว คือ ภาณินี หลังจากพวกท่านเสียชีวิต บริเวณลานซีเมนต์หน้าบ้านกลาดเกลื่อนไปด้วยหนังสือเก่าและของใช้ส่วนหนึ่งซึ่งถูกรื้อออกมาจากลังไม้ ผึ่งแดดอ่อน ๆ และฉีดน้ำยาไล่ปลวก
กริ๊ง กริ๊งงงงงงงงง … !
แก้วเก้ากำลังทำความสะอาดหนังสือและจัดวางเรียงบนชั้นไม้ เธอวางงานที่ทำอยู่แล้วเดินไปรับโทรศัพท์
“แม่คะ... โทรศัพท์ของแม่จากลุงกตค่ะ” ไม่ได้ยินเสียงแม่ขานรับ แก้วเก้าบอกกับลุง “เดี๋ยวนะคะลุงกต แม่อยู่ในห้องหนังสือของคุณตา ถือสายรอนิดนะคะ”
แก้วเก้าเดินก้าวยาว ๆ ไปในห้องปีกซ้ายของตัวบ้าน มองหาแม่ ได้ยินเสียงขลุกขลักดังอยู่ในมุมมืด “แม่... แม่คะ... อยู่ไหน ...โทรศัพท์ลุงกตค่ะ”
“เก้ามาช่วยแม่หน่อย” เสียงแม่มาจากมุมนั้น แก้วเก้าเดินไปหา
“แม่!” แก้วเก้าตกใจ
“ดึงแม่ขึ้นไปหน่อย แม่เจอหนังสือเล่มโปรดของคุณตาจ้ะ นั่งอ่านจนเป็นเหน็บชาเลย โอย...”
“โธ่ เก้าก็นึกว่า แม่ค้นหนังสือจนเป็นลม”
“ลุงกตโทรมาว่ายังไงล่ะ”
“เก้าไม่ได้ถามค่ะ ลุงจะคุยกับแม่”
ภาณินียื่นแขนส่งให้ลูกสาวช่วยดึง “หยิบหนังสือเล่มนั้นมาให้แม่หน่อยจ้ะ”
แก้วเก้าฉุดแม่ขึ้นยืน แล้วพาไปนั่ง หยิบหนังสือเก่าเล่มหนาขึ้นมา
“ขบถเจ้า…” แก้วเก้าวางหนังสือลงบนโต๊ะ “หนังสือเกี่ยวกับอะไรคะแม่”
“ถือตามแม่มาสิ” ภาณินีเดินช้า ๆ ลูกสาวประคองแม่เดินไปจนถึงโทรศัพท์ “เป็นเรื่องของเจ้าแคว้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางเหนือ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย แคว้นพวกนั้นยังเป็นรัฐเอกเทศไม่ขึ้นกับใคร มีการต่อสู้ การชิงรักหักสวาทกัน ลองอ่านดูมั้ยลูก”
“เป็นนิยายเหรอคะ เก้าอยากอ่านค่ะ แต่มันเก่ามากกลัวจะขาดไปเสียก่อน”
“ไม่ใช่นิยายหรอกลูก เปิดดูหน้าใน ตรงคำนำสิลูก คนเขียนเอามาจากจดหมายเหตุฉบับหนึ่งในรัชกาลที่ 5 เขาก็เลยเอามาผสมผสานกับเรื่องเล่าของบรรพบุรุษของเขาเอง แม่จะเอาไปอัดสำเนาทำเล่มใหม่ ส่วนเล่มนี้จะเก็บไว้ เราจะทำบ้านใหม่จ้ะ
แก้วเก้ามองหนังสือในมือ กระดาษกรอบแห้ง จนเธอไม่กล้าขยับปลายนิ้วเปิดมันออกอ่านตามที่แม่บอก “หนังสือของคุณตาเหรอคะ เยอะมากเลยค่ะ”
“เก้าทำอะไรค้างไว้ ไปทำต่อสิลูก แม่จะคุยกับลุง”
แก้วเก้ามองหนังสือ “ขบถเจ้า” ด้วยความเสียดาย “เก้าจัดหนังสือค้างไว้ค่ะ”
ÿ
ลูกสาวเดินพ้นไปแล้ว ภาณินียกกระบอกโทรศัพท์แนบข้างหู “ฮัลโหล พี่กต ขอโทษค่ะ ให้รอซะนานเลย”
“เก็บกวาดบ้านยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
“ค่ะ เคลียร์กองหนังสือเก่า ๆ น่ะค่ะ บางเล่มโดนปลวกแทะน่าเสียดายมาก”
“พี่มีเรื่องจะรบกวนอุ้ม”
“มีอะไรคะ บอกมาเลย”
“ก็ที่มหาวิทยาลัยจะจัดงานของคณะศิลปกรรมการแสดง มีพิธีไหว้ครูด้วย พี่อยากให้อุ้มมาร่วมงานด้วย มาเจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ หน่อยนะ”
“วันไหนคะ พี่กต”
“วันพฤหัสหน้าจ้ะ”
“ทั้งวันเลยเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ มาดูละครเวทีกัน ได้ครูมาใหม่ มาจากอังกฤษซะด้วย”
ÿ
สัปดาห์ต่อมา …
แก้วเก้า วิริยนันท์ นั่งที่โต๊ะทำงานของพ่อ แล้วเขียนจดหมายถึงเพื่อน ด้วยความคิดถึงใหญ่กับหรัด จดหมายฉบับแรกของแก้วเก้าถูกหย่อนลงตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ดูเหมือนเธอจะเฝ้ารอจดหมายตอบกลับมานับแต่นั้น
ย่านวล แม่ของอธิคม เดินทางมาจากอำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง มานอนค้างอยู่ด้วย ระหว่างที่พ่อกับแม่กำลังวุ่นวายกับการจัดการเรื่องในบ้าน และออกไปพบเพื่อน ๆ ข้างนอกบ้างเป็นบางวัน หลานสาวสนิทสนมกับย่านวลอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่า บางครั้งแม่ช่างเข้มงวด และชอบบังคับใจเธอบ่อย ๆ
เช้าวันพฤหัสบดีนี้ก็เหมือนกัน ....แก้วเก้าถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ แม่ลากแขนเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้ว เตรียมชุดสวยเอาไว้ให้ ดูแล้วไม่ค่อยจะเหมาะกับเธอ เหลียวหลังไปทางประตูห้องนอน เด็กสาวทำเป็นไม่เห็นชุดนั้น แล้วหยิบกางเกงขาสั้นพร้อมเสื้อยืดตัวโปรดมาสวม
“เก้า!”
ทันทีที่ขายาว ๆ เก้งก้างของแก้วเก้าโผล่พ้นขอบประตูห้องนอน เด็กสาวก็เจอเข้ากับเสียงของแม่
แม่มาเร็วกว่าที่แก้วเก้าคาดคิด
“มีอะไรคะแม่” ทำไขสือ
“ที่ทำงานของลุงกตจัดงานและก็มีงานเลี้ยงช่วงหัวค่ำ มีละครเวทีด้วย คนที่เล่นเป็นเจ้านางน้อยเกิดปวดท้องป่วยกะทันหัน แสดงไม่ได้ ลุงกตขอให้แม่พาลูกไปด่วนที่สุดเลย”
“พาเก้าไปด้วย! อย่าบอกนะคะว่าจะให้เก้าไปแสดงแทน”
“นั่นแหละจ้ะ ใช่เลย เก้าชอบอยู่แล้วนี่”
“ชอบก็จริงแหละค่ะ แต่เก้าไม่รู้เรื่องเลยว่าบทเป็นยังไง”
เด็กสาวอิดออด แต่เมื่อประสานสายตากับแม่แล้ว จำเป็นต้องเดินตามและยอมให้แม่แต่งตัวให้ใหม่
“ผู้กำกับฯ คนนี้ บินมาจากอังกฤษเชียวนะ เห็นว่าจะมาเป็นอาจารย์คนใหม่ที่คณะศิลปกรรมด้วย”
แม่ชี้ไปที่ชุดราตรีสั้นสีขาวผ้าซาตินยาวคลุมเข่า
“สวมเดี๋ยวนี้เลย อย่าโยกโย้” แก้วเก้าระบายลมหายใจยาว ตั้งใจให้แม่รู้ “แล้วของแม่ล่ะคะ”
“แม่แต่งชุดไทยประยุกต์จ้ะ ให้เข้ากับบรรยากาศของงาน” ภาณินีหยิบหวี รวบผมยาว ๆ ของลูกสาว แล้วแผ่ออก “หน้าตาของเก้า เหมาะกับผมเกล้าสูง เก้าไปงานนี้อย่ากระโดกกระเดกนะลูก มีผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมงานกันมาก”
“ค่ะแม่” ดวงตากลมโตของเก้ากะพริบถี่ ๆ
“เดี๋ยวไปถึงงาน ก็จะมีช่างแต่งตัว แต่งหน้า แต่งผมให้ลูกอีกที” แม่พูดพลางนัยน์ตาเปล่งประกายภูมิใจ เก้ารู้สึกได้ว่าแม่รักเธอไม่น้อยไปกว่าพ่อหรอก
“เก้าจะแสดงเรื่องอะไร เป็นใครคะ”
“เป็นเจ้านางน้อยจ้ะ ละครอิงตำนานประวัติศาสตร์”
แก้วเก้ามองดูหน้าแม่ ใช้ความคิดไปด้วย “ทำไมเหมือนที่คุณน้าคนนั้นเรียกเรา…” แล้วบอกกับแม่ว่า “เก้าขอดูบทก่อนแล้วกันค่ะแม่”
แม่จับมือลูกสาวเดินลงบันไดไปข้างล่าง พ่อยืนกอดอกมองมา ยิ้มกริ่ม เก้าเกิดอายขึ้นมา
“พ่อคะ เก้าน่าขำมากหรือไง” สะบัดหน้าแง่งอนกับพ่อ
“ชุดนี้ ทำให้ลูกพ่อสวยเหมือนเจ้าหญิงนะ” อธิคมชมลูกสาว แต่ดวงตายังยิ้มเย้า
ภรรยาส่ายหน้า พูดกับสามีพอได้ยินกันเพียงสองคน
“พี่คมคะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พี่กตขอร้องมาทั้งที จะไม่ช่วยได้ยังไงล่ะคะ”
“แล้วพี่กับคุณแม่จะตามไปนะ ห้าโมงเย็นใช่มั้ย”
“ค่ะ ช่วงบ่ายสองจะเริ่มพิธีไหว้ครู จบราว ๆ ห้าโมงเย็น จากนั้นก็เริ่มการแสดงค่ะ เก้าต้องไปซ้อมกับพี่ ๆ ตั้งแต่เช้า”
เด็กสาวแตะชายกระโปรง รวบพอให้เดินสะดวก เดินไปนั่งรอแม่ที่ห้องนั่งเล่น เปิดโทรทัศน์
ÿ
“วันไหนไม่ยุ่ง ไม่ได้ไปไหน ก็ไปบ้านเก่าของพ่อกับแม่กันนะ เลือกดูว่าอะไรใช้ประโยชน์ได้ ลูกหลานบ้านอื่นเขามีแต่ทะเลาะแย่งสมบัติปู่ย่าตายายกัน บ้านเราไม่มีใครอยากได้อะไรเลย” ย่านวลพูดกับอธิคม ลูกชายคนโต
“โธ่! แม่” อธิคมโอดครวญ “แค่สมบัติของผมกับเมียและลูกก็เต็มรถบรรทุกสิบล้อหนึ่งคันแล้ว ขืนเอาของเก่าล้ำค่าของแม่ติดตัวไปด้วย ไหนจะสมบัติเก่าของท่านนายพลอีก ผมกลัวจะรักษามันไว้ไม่ได้”
“แล้วจะว่าแม่ทีหลังว่ารักลูกไม่เท่ากัน” แม่รำพึงเบา ๆ
“อืม...ถ้าน้องอยากได้อะไรก็ให้ไปเถอะครับ”
“คม” ย่านวลน้ำตาซึม “ลูกนี่ไม่เหมือนชาวบ้านเอาซะเลย“
“ผมกับอุ้มอยู่ที่นี่ก็ลงตัวแล้วครับ บ้านของพ่อกับแม่ ถ้าน้องต้องการก็ยกให้ไป ผมพูดจริง ๆ นะครับ ผมอยากดูแลแม่ ทำให้มีความสุขสบายที่สุดมากกว่า”
“ไม่ห่วงยายเก้าบ้างหรือไง” ย่านวลนึกห่วงไปถึงหลานสาว
“แม่ครับ ผมห่วงลูก แต่ไม่ได้ห่วงว่าลูกจะไม่มีสมบัติพัสถานติดตัว สิ่งที่ผมห่วงลูกคือ การทำให้ลูกสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เอาไว้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่แกจะต้องพบเจอ แกต้องเอาตัวให้อยู่รอดได้จนโตเป็นผู้ใหญ่” ดอกเตอร์อธิคม ถอนหายใจเบา ๆ
“แม่เก็บสมบัติเก่าแก่ของพ่อแกเอาไว้ให้ แกเป็นลูกชายคนโตต้องเก็บรักษาไว้ ถึงจะมีลูกสาวสืบทอดสกุล ก็ต้องตกเป็นของยายเก้าต่อไป”
“อะไรเหรอครับแม่”
“กริชของตาทวด”
“บ้านเรามีของอย่างนี้ด้วยเหรอครับ”
“มีสิ ตาทวดของลูกทำเองกับมือ ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราถึงจะเป็นชาวนาแต่ก็จัดได้ว่าเป็นคนที่มีหัวพลิกแพลงชอบคิดค้นทำอะไรใหม่ ๆ”
อธิคมฟังย่านวลพูดถึงบรรพบุรุษ นึกถึงตัวเองในอดีตสมัยหนุ่ม ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ คิดว่าตัวเขาเองก็มีนิสัยคล้าย ๆ กับบรรพบุรุษ
“นักเล่นแร่แปรธาตุ” อธิคมบอกกับย่านวล ซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับการเล่าเรื่องเก่า ๆ
“ใช่...ครั้งหนึ่งตาทวด ขุดหาสายแร่ แกเจอเอาสายแร่ทองแดง คืนฝนตกฟ้าคะนอง ฟ้ามันผ่าเปรี้ยงลงที่ตรงนั้น ต้นไม้ไหม้ดำเป็นตอตะโก”
อธิคมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เขาก็เคยเผชิญฟ้าผ่าตอนกลางวันมาแล้ว
“อ้าว แล้วตาทวดของพ่อเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“หึ หึ ไม่เป็นอะไร โชคดีน่ะสิ ฟ้าผ่าตอนกลางคืน ถ้าเป็นตอนกลางวันก็ไม่เหลือหรอก”
“เข็ดไปเลยสิ” อธิคมหัวเราะในลำคอ นี่อีกอย่างที่เขาเหมือนตาทวดของพ่อ...ชอบขุดค้น
ย่านวลหัวเราะเบา ๆ แล้วเล่าต่อ “ใครว่าล่ะ...แกไม่เข็ดหรอก ทำอะไรแผลง ๆต่อไปเรื่อย แม่เก็บกริชเอาไว้ให้คม แม่ขอร้องว่า ของเก่าแก่ของปู่ย่าตายาย คมอย่าขายนะ เราคงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกจนถึงกับขายสมบัติเก่ากินกันใช่มั้ย”
“ไม่หรอกครับแม่ ผมกับอุ้มยังมีรายได้พอเลี้ยงดูครอบครัว รวมทั้งแม่ด้วยนะ มาอยู่กับผมสิครับแม่”
“แม่มาอยู่กับคมแล้วใครจะเก็บค่าเช่าที่นาล่ะ คมไม่ต้องเอาเงินมาให้แม่หรอก มีแต่แม่จะเก็บเอาไว้ให้คม”
“ขอบคุณครับแม่ แล้วผมจะพาอุ้มกับเก้าไปบ้านนู้นบ้าง”
ดอกเตอร์ภาณินีถือกระเป๋าผ้าปักเลื่อมขนาดย่อม ฝีมือโอทอปสินค้าส่งออกยุโรป พร้อมที่จะพากันออกไปข้างนอกแล้ว
“พี่คม คุณแม่ มีอะไรกันเหรอคะ” ภาณินีพูดแล้วเหลียวหลังไปสั่งลูกสาว “เก้าไปรอแม่ที่รถเลยลูก”แก้วเก้า ปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้น หมุนตัวหนึ่งรอบ คล้ายระบำปลายเท้า พนมมือไหว้ย่านวลและพ่อ ทำหน้าตาล้อเลียนแม่ แล้วหมุนตัวออกไปทางประตูด้านหน้าบ้าน “ค่ะแม่” อธิคมโบกมือลา “อุ้ม ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ สักสี่โมงครึ่ง พี่คงพาคุณแม่ไปถึง”“ค่ะ อุ้มไปนะ” แก้วเก้านั่งไปในรถข้างหน้า คู่กับแม่ซึ่งเป็นคนขับ มือข้างหนึ่งแตะจี้รูปพระจันทร์เสี้ยว ทำจากกะลาตาเดียว“อ้าว เก้า แม่เก็บเอาไว้แล้ว นี่ลูกยังเอามาสวมคออีกเหรอ”“ค่ะ แม่ เก้าคิดถึงใหญ่”“ถอดออกเถอะ มันไม่เข้ากับเสื้อผ้าเลย” ภาณินีอดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ภาณินีขับรถพาเก้าไปถึงหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้วเก้าเห็นเพื่อนของแม่ 2 คน มองมายิ้ม ๆ “นี่ป้าเบญจา น้าแดง เพื่อนร่วมงานของแม่จ้ะ”แก้วเก้ายกมือไหว้ แม่ยิ้มแย้มสดใส “ต๊าย! ลูกเธอ ถอดคุณคมมายังกับพิมพ์เดียวกันเลยนะ” ป้าเบญจาแตะลูกคางของแก้วเก้าเชยขึ้น เด็กสาวฉีกยิ้ม โดยอัตโนมัติ เพื่อนแม่ยังชมต่อ “มีลักยิ้มด้วย น่ารักจัง”น้าแดง เพ่งพินิจแก้วเก้า มองอย่างไม่วางตา “อยู่ปักษ์ใต้ตั้งหลายปี
“แม่คะ” แก้วเก้ากระตุกแขนแม่เบา ๆ “เจ้าองค์อินทร์กับเจ้าเทพนรินทร์เป็นอะไรกันคะ”“เจ้าองค์อินทร์ท่านเป็นพี่ อายุมากกว่าเจ้าเทพนรินทร์ ผู้เป็นน้องราวสี่หรือห้าปีเนี่ยล่ะ ท่านทั้งสองเป็นบุตรของเจ้าแมนสรวงกับคุณวิชุดา คุณวิชุดานั้นเป็นหญิงสาวสามัญชน ท่านพบรักกับเจ้าแมนสรวงสมัยเรียนกฎหมายที่อ๊อกฟอร์ดด้วยกัน”แก้วเก้ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ถ้าเป็นอย่างนั้นตาผู้กำกับจอมเฮี้ยบนั่นจะกลัวเจ้าเทพนรินทร์เหรอภาณินีดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าถึงเวลาแล้ว จึงจูงมือลูกสาวพาเดินสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปจนถึงหน้าห้องแต่งตัว ใช้มือข้างหนึ่งผลักประตูเข้าไป แล้วทักเอมอรที่นั่งพักอยู่ข้างใน“ขอโทษนะคะ มาช้าไปหน่อย”“ไม่เป็นไรค่ะ ใช้เวลานิดหน่อย คราวนี้ไม่นานเหมือนเมื่อกลางวันหรอกนะหนูแก้วเก้า” แก้วเก้านั่งนิ่งเป็นหุ่นอีกครั้ง คุณเอมอรจัดแต่งผมให้ แล้วตบแป้งและเติมสีลิปสติก“แต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็ไปให้คุณแม่แต่งตัวนะคะ”คุณเอมอร ก้าวออกไปที่ประตู ชะเง้อแล เรียกห
แก้วเก้าตัวเล็กที่สุดถูกจัดให้เดินนำหัวขบวน เสียงพิธีกรพูดออกไมโครโฟนเป็นทางการ เหล่านักแสดงนั่งพับเพียบลงกับพื้นเวที นักแสดงทุกคนได้รับขันเงิน ในนั้นมีเงินอยู่ 6 บาท ผ้าเช็ดหน้าสีขาว 1 ผืน เทียนขี้ผึ้งขาว 3 เล่ม ดอกไม้คนละ 1 ช่อ มีดอกหญ้าแพรก ดอกเข็ม และดอกมะเขือ ธูป บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และหมากพลู 3 คำ พี่ฉัตรพรบอกให้แก้วเก้าพนมมือถือขัน ฉากกั้นหน้าเวทีที่เป็นผ้าม่านสีแดงถูกเปิดออกแก้วเก้ามองไปรอบเวที มีโต๊ะหมู่ใหญ่ หัวโขนฤาษี พ่อแก่เรียงเป็นแถว ชั้นบนสุดเป็นพระพิฆเนศวร พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม พระอินทร์ พระพิราบยักษ์ และคนธรรพ์ แม่บอกว่าเป็นครูบาอาจารย์นาฏศิลป์ ที่นักเรียนคณะศิลปกรรมทุกคนจะต้องเคารพและมีพิธีไหว้ครูปีละ 1 ครั้งพราหมณ์ผู้ทำพิธีคลานเข่าเข้าไปนั่งตรงพื้นที่ว่าง กลางพิธี วงดนตรีปี่พาทย์เริ่มบรรเลง“พี่ฉัตรพร คนนั้นน่ะใครกันคะ” แก้วเก้าบุ้ยใบ้ไปทางชายชรานุ่งขาวห่มขาว“ครูช่างจ้ะ พวกเราต้องเข้าไปกราบท่านด้วยเครื่องกำนลนี้ แต่ว่าต้องตามหลังคณะของท่านอธิการบดี เรารอดูจังหวะ
วันถัดมา อธิคมและภาณินี ตื่นขึ้นมาแต่เช้า “ตั้งใจจะมานอนกับพ่อแม่แต่กลับหลับสนิทไม่อือ ไม่อาเลย” อธิคมเอ่ยกับภรรยาภาณินีพลิกตัว และยันกายลุกขึ้นนั่ง“พี่คม“ ภาณินีแตะหน้าผากลูกสาวอีกครั้ง อย่างห่วงใย“ไปคุยกันที่ระเบียงเถอะค่ะ อุ้มไม่อยากให้ลูกได้ยิน”อธิคมเดินตามภรรยาออกไปด้านนอก รับลมอ่อน ๆ ยามเช้า พระอาทิตย์ลอยระไล่ขอบฟ้าสูงขึ้น เรือยาวในคลองมอญส่งเสียงคำรามผ่านไปลำแล้วลำเล่า ภาณินีลูบแขนทั้งสองข้าง กอดอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้สามีฟัง"เจ้าขวัญหล้าให้เจ้าองค์อินทร์เอาสายสร้อยทับทิมมาให้เก้าสวม”"อืม แล้วยังไง”“เธอตั้งใจจะมอบให้ผู้แสดงเป็นเจ้านางน้อย แต่พอถึงเวลาจะแสดง นักแสดงบทนี้ก็มีอันเป็นไป อุ้มได้ยินพวกกองละคร แอบคุยกันว่า รายล่าสุด ท้องร่วงจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือ”“แต่เก้าไม่เป็นอะไร น
“ลูกสาวของอุ้มคุยกับใครไม่รู้ค่ะ เราไม่เห็นเขา” ภาณินีกล่าวกับหลวงพ่อเบา ๆหลวงพ่อรับฟังนิ่ง ๆ “หลานน้อยมองเห็นเขาหรือเปล่า”“เห็นค่ะ เราเจอกันแล้วสองครั้ง”หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้ตามนั้นÿแก้วเก้ากับเจ้าองค์อินทร์เอาถาดรองน้ำทองเหลืองไปเทรดน้ำใต้โคนไม้ใหญ่ ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาพร้อม ๆ กัน ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุดมพูดถึงตอนสำคัญพอดี“พ้นสงกรานต์ไปแล้ว อาตมาจะออกธุดงค์ขึ้นเหนือ ไปธรรมจาริก เป้าหมาย คือ พระธาตุหลวงเวียงไชย ให้แก้วเก้าเดินทางไปกับแม่ชีสิ โยมก็ไปด้วย”ภาณินีหันไปหาอธิคม กวักมือเรียกแล้วกระซิบข้อความของหลวงพ่อ“ยายเก้าจะต้องสอบวัดความรู้ อีกสามเดือนข้างหน้าครับ ช่วงนี้ต้องไปกวดวิชาเพิ่มเติม ถ้าลูกสอบเสร็จไปแล้วก็น่าจะไปร่วมงานได้ครับ”“อืม... แล้วอาตมาจะโทรไปบอก หรือโยมจะโทรมาถามเองก็ตามใจ”ÿเจ้าขวัญหล้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับน้ำตา หลวงพ่อเห็นเข้าก็ทักขึ้นว่า “โยมมีเรื่องอะไรทุกข์หนักหนาล่ะนั่น”หลวงพ่อยิ้มนิด ๆ แววตาอ่อนโยน“ดิฉันไปอยู่ต่างประเทศหลายสิ
“อ้าว พี่คม หลวงพ่อล่ะคะ” ทักสามีเมื่อเห็นเขาเปิดประตูออกมาเพียงคนเดียวอธิคมมองหาลูกสาว “ลูกล่ะอุ้ม”เจ้าองค์อินทร์ตอบแทนภาณินี“น้องเก้าเดินเล่นอยู่ที่ลานวัดทางนั้น ผมไปตามให้ครับ”อธิคมชั่งใจอยู่ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเจ้าองค์อินทร์ที่ทำตัวจาบจ้วงกับลูกสาวของเขาเมื่อวันก่อน แต่ภาณินีกลับตัดสินใจรวดเร็วกว่า“พี่ไปตามลูกเองดีกว่าค่ะ” ภาณินีขยับตัว“ให้องค์อินทร์ไปเถอะค่ะ เรารบกวนอาจารย์หลายเรื่องแล้ว เดินไปตามน้องสิลูก” เจ้าขวัญหล้าสั่งหลานชายคนโต“งั้นก็รบกวนด้วยนะคะเจ้า” ภาณินีเกรงใจเจ้าขวัญหล้า ยอมทำตามใจเธอ“ไม่เป็นไรครับ ยินดี” เจ้าองค์อินทร์ลุกขึ้นเจ้าขวัญหล้ายิ้มละไม หลานชายคนโตนิสัยอารีอารอบชอบช่วยเหลือคนอื่น...เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเขาÿลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวน้ำในลำคลองหน้าวัด แก้วเก้ากลับรู้สึกสดชื่น สูดกลิ่นไอระเหยความชื้นเย็น กลิ่นใบไม้และต้นกล้าจากท้องนาท้องทุ่งรอบ ๆ วัด
“เจ้าพ่อ! พี่เลอสรวงน่าสงสารนะครับ เจ้าย่าเพียงแค่อยากชดเชยสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนเรา” “นรินทร์ลูกรัก ฟังพ่อนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือ ไอ้ลูกต่างด้าวนั่น อยู่กับปัจจุบันเถิด นรินทร์ ลูกเลิกพร่ำเพ้อ เอาใจเจ้าย่าได้แล้ว องค์อินทร์ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร บอกเขา พ่อไม่มีสมบัติสักชิ้นจะให้เขาหรอกนะ ถ้าเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นั่น” “เจ้าพ่อ!” เจ้าเทพนรินทร์ผงะ “ทำไมครับ ทำไมเจ้าพ่อทำเหมือนไม่รักพี่ชาย” “มันอวดดี อยากให้เรียนกฎหมายดันไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีแก่นสารเอาเสียเลย” “พี่ชายเมเจอร์ลิทเทอเรเจอร์นะครับเจ้าพ่อ ละครน่ะแค่ไมเนอร์เท่านั้น” “จะอะไรก็ช่าง พ่อกับแม่เป็นนักกฎหมาย ลูกก็ต้องเป็นนักกฎหมาย องค์อินทร์มันนอกคอก ไม่สนใจความต้องการของพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่ต้องการมันแล้ว นรินทร์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะลูก คดีเข้ามาเยอะเลย พ่อทำหามรุ่งหามค่ำทุกคืนไม่ไหวแน่” “ครับเจ้าพ่อ ผมจะรีบกลับไปในวันสองวันนี่แหละครับ ฝากสวัสดีตอนเช้าคุณแม่ด้วยนะครับ”ÿ อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ออกจากวัดคลองขนุน อำเภอเมืองนนทบุรีแล้วก็แวะทำธุระที่โรงพิมพ์หนังสือแถว ๆ ปิ่นเกล้า และรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน
"สวัสดีครับ” อลงกตยื่นมือออกไปจับมือทักทาย“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เจ้าแมนสรวงยื่นมือมาจับเขย่าเบา ๆ “ว่าไงองค์อินทร์”“สวัสดีครับ เจ้าพ่อ” เจ้าองค์อินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีทอมมัส นี่อาจารย์อลงกต สามีของหมอเนตรดาวครับ คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เจ้าองค์อินทร์ถามบิดาของเขา“ถ้ามาก็ต้องเห็นสิ” เขาตอบลูกชายคนโต แต่เมินมองออกไปทางด้านหลัง “รีบพาพ่อเข้าที่พักเลย” เขาเอ่ยกับลูกชายคนเล็ก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าคำพูดประโยคแรกเจ้าองค์อินทร์เข้าใจบิดาดี เขายิ้ม แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งกับน้องชาย สองมือล้วงกระเป๋า ทำเดินตัวเอียง กระซิบบอกน้องชาย “พ่อของนาย แน่มาก”เจ้าเทพนรินทร์อมยิ้ม เอาหัวไหล่กระแทกอกพี่ชาย แล้วเข็นกระเป๋าเดินทางของเจ้าพ่อ พลางชี้มือบอกทางไปยังห้องรับรองÿอลงกตพอจะรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพ่อลูกคู่นี้มาบ้าง เขาจึงรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มเดินช้า ๆ เข้าไปโอบไหล่ “สักวันเจ้าแมนสรวงจะเห็นว่า ลูกชายของเขาคนนี้ คือ ณ แมนรัตน์ ที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง”“ขอบคุณครับ ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตของผมมันดี มันมีความสุข ผมก็จะทำ ผมผิดหรือครับที่ไม
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ