“พี่คม คุณแม่ มีอะไรกันเหรอคะ” ภาณินีพูดแล้วเหลียวหลังไปสั่งลูกสาว “เก้าไปรอแม่ที่รถเลยลูก”
แก้วเก้า ปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้น หมุนตัวหนึ่งรอบ คล้ายระบำปลายเท้า พนมมือไหว้ย่านวลและพ่อ ทำหน้าตาล้อเลียนแม่ แล้วหมุนตัวออกไปทางประตูด้านหน้าบ้าน “ค่ะแม่”
อธิคมโบกมือลา “อุ้ม ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ สักสี่โมงครึ่ง พี่คงพาคุณแม่ไปถึง”
“ค่ะ อุ้มไปนะ”
แก้วเก้านั่งไปในรถข้างหน้า คู่กับแม่ซึ่งเป็นคนขับ มือข้างหนึ่งแตะจี้รูปพระจันทร์เสี้ยว ทำจากกะลาตาเดียว
“อ้าว เก้า แม่เก็บเอาไว้แล้ว นี่ลูกยังเอามาสวมคออีกเหรอ”
“ค่ะ แม่ เก้าคิดถึงใหญ่”
“ถอดออกเถอะ มันไม่เข้ากับเสื้อผ้าเลย” ภาณินีอดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้
ภาณินีขับรถพาเก้าไปถึงหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก้วเก้าเห็นเพื่อนของแม่ 2 คน มองมายิ้ม ๆ
“นี่ป้าเบญจา น้าแดง เพื่อนร่วมงานของแม่จ้ะ”
แก้วเก้ายกมือไหว้ แม่ยิ้มแย้มสดใส
“ต๊าย! ลูกเธอ ถอดคุณคมมายังกับพิมพ์เดียวกันเลยนะ” ป้าเบญจาแตะลูกคางของแก้วเก้าเชยขึ้น เด็กสาวฉีกยิ้ม โดยอัตโนมัติ เพื่อนแม่ยังชมต่อ “มีลักยิ้มด้วย น่ารักจัง”
น้าแดง เพ่งพินิจแก้วเก้า มองอย่างไม่วางตา “อยู่ปักษ์ใต้ตั้งหลายปี กลับมาทีลูกสาวโตเชียว”
ภาณินีเกิดนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องหนึ่งไป
“ตายแล้ว อุ้มต้องรีบพาลูกไปพบช่างแต่งหน้า ขอตัวนะคะ แล้วค่อยคุยกันใหม่”
แม่แตะแขนแก้วเก้าให้เดินไปข้างหน้า ดุนหลังเร่งให้เดินเร็วขึ้น “เก้าต้องซ้อมบทกับพี่ ๆ น้า ๆ ก่อนขึ้นเวทีจริง ว่าไงลูก พร้อมมั้ย”
“ไม่พร้อม ก็ต้องบอกว่าพร้อม จริงมั้ยล่ะคะแม่” แก้วเก้าทำงอนแก้มป่อง
แม่หัวเราะเบา ๆ ส่ายศีรษะ คว้าแขนลูกสาวเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว
“โอโห” เด็กสาวอุทาน พลางสะกิดเรียกแม่ “แม่คะ พี่ ๆ เขาสวย ๆ หล่อ ๆ กันทั้งนั้นเลย”
เธอมองเลยไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดอ้าน คมคาย สมาร์ท ในชุดสูทสีเข้ม กางเกงสีเดียวกับสูท เขายืนเอามือกอดอก ทำท่าคิดอะไรอยู่ แก้วเก้ามองเพลิน เขารู้ตัวว่ามีคนมอง หันมาเจอสายตาของเด็กสาวพอดี
แก้วเก้าตกใจ รีบหันหลังให้อย่างรวดเร็ว หัวใจเต้น โครมครามแปลก ๆ
ÿ
ผู้หญิงคนหนึ่งอายุพอ ๆ กับแม่ เดินมาหาแก้วเก้า
“สวัสดีค่ะคุณอุ้ม หนูแก้วเก้า! น่ารัก อาจารย์อลงกต พูดชมหลานสาวจนอรอยากเห็นตัว”
“อุ้มส่งตัวลูกสาวให้คุณเอมอรไว้เลย” แม่ส่งมือเก้าให้เอมอร “เก้า แม่จะเดินวน ๆ ดูอยู่แถวนี้นะ ลูกอดทนสักนิดนะจ๊ะ ทำผมแต่งหน้าอาจจะทำให้อึดอัด รำคาญบ้าง”
แก้วเก้ายกมือป้องปากกระซิบ
“ค่ะแม่ แต่แม่อย่าไปนานนักนะคะ เก้าไม่เห็นมีเด็กคนอื่นเลย ในนี้มีแต่ผู้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น”
“ได้ แม่จะหมั่นแวะมาดูลูกนะจ๊ะ” แม่หอมแก้มลูกสาวก่อนไป
แก้วเก้าเดินตามคุณเอมอรเข้าไปข้างใน เธอบอกให้นั่งลงตรงเก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่ ในห้องนั้นค่อนข้างวุ่นวาย และเสียงพูดคุย วี้ดว้ายดังอื้ออึง แก้วเก้ามองแม่ผ่านกระจก เห็นหลังของแม่ที่ด้านนอก กำลังยืนคุยกับใครคนหนึ่ง คงตัวสูงพอสมควร เพราะแม่ต้องแหงนหน้าคุยกับเขา ท่าทางของแม่ดูนอบน้อม เหมือนคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า แก้วเก้าเบ้หน้าเล็กน้อย เมื่อช่างทำผมดึงผมยาว ๆ ของเธอรวบตึงและยกเกล้าขึ้นสูง ทำเอาน้ำตาซึมทีเดียว
เผลอกะพริบตาสองสามที แม่ก็หายไปจากครรลองสายตา แถมใครก็ไม่รู้ปิดประตูทำให้สอดส่ายสายตาหาแม่ ไม่ได้อีก
ÿ
“แก้วเก้า” เสียงแหบ ๆ พยายามบีบเสียงให้เล็กแหลม คุณเอมอรกำลังวาดริมฝีปากของเด็กสาวอย่างระมัดระวังก็ชะงักหยุดมือเสีย
“อยู่นี่จ้ะ เชอรี่”
“จะเสร็จหรือยังฮ้า พี่อร ผู้กำกับขอเชิญฮ่ะ”
“จะเสร็จแล้ว สักสิบนาทีนะ บอกเจ้าด้วย”
“ฮ่า” เชอรี่ลากเสียงยาว ๆ แล้วกลับออกไปข้างนอก ปิดประตู เก้าเพ่งมอง ทางหนึ่งข่มตาไม่ให้หลับ อีกทางหนึ่งก็คอยกังวลดูว่าแม่จะกลับเข้ามาเมื่อไหร่
คุณเอมอรสำรวจไปรอบ ๆ จนพออกพอใจ “เอาล่ะ เรียบร้อย สวยที่สุดเลยค่ะหนูแก้วเก้า”
“ดูไม่เหมือนเก้าคนเดิมเลยค่ะ”
แก้วเก้ารู้สึกว่า ตัวเธอกลายเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวแปลกประหลาดที่สุดต่างหาก ถ้าใหญ่กับหรัดเห็น ต้องจำไม่ได้แน่ ๆ
“น้าอรจะพาไปส่งที่เวทีให้ค่ะ พวกพี่ ๆ กำลังซ้อมกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับ” ชายเจ้าของสูทสีเข้มยืนอยู่ข้างหลัง
แก้วเก้าเห็นเขา จ้องมองหน้าของเธอที่กระจก ดวงหน้าของเธอก็แดงสร้าน น้าเอมอรเองก็ดูตกใจไม่น้อย เขาเข้ามาเงียบมาก
“เจ้า! แหม เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ เออ จะให้เปลี่ยนชุดให้เธอเลยมั้ยคะ”
“ยังไม่ต้องครับ เสื้อผ้าที่จะใช้แสดง เดี๋ยวอาจารย์ภาณินีจะทำให้ลูกสาวของเธอเอง เชิญครับ”
เขายื่นมือไปตรงหน้าเด็กสาว แก้วเก้าช้อนตาขึ้นมามองสบตาเขา ความรู้สึกหยิ่งทะนงตนผุดขึ้นมาอย่างประหลาด เรื่องอะไรจะต้องยื่นมือให้เขาจับด้วย ลุกขึ้นยืน และก้าวเดินออกไปช้า ๆ เห็นใบหน้าของเขาในกระจกยิ้ม
“เก้าจะหาแม่ค่ะ น้าอร”
“อาจารย์ภาณินีให้ผมมารับครับ เรากำลังรอหนูไปเข้าฉาก ถ้าหิวก็รบกวนรอสักนิด ซ้อมเสร็จแล้วก็ทานข้าวได้เลย”
“เจ้าคะ นี่จะซ้อมกันกี่รอบคะ” น้าอรถามต่อ
“จนกว่าผมจะพอใจครับ” ตาคม ๆ จ้องมองเด็กสาว ไม่สนใจว่าเธอจะรู้สึกยังไง
“ถ้างั้น ก่อนขึ้นแสดงจริง ๆ เราต้องเจอกันอีกหนนะจ๊ะหนูแก้วเก้า”
คุณเอมอรเปิดประตูห้องให้แก้วเก้าเดินออกไป ชายคนนั้นเดินตามมาข้างหลัง แก้วเก้ารู้สึกหวาดระแวงไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่
“ทางนี้ครับ”
เขาเดินเร็วนำหน้า ยกมือบอกทางไป แก้วเก้าซอยเท้าถี่ ๆ เร่งเดินเร็วเพื่อให้ทันคนข้างหน้า
“ค่อย ๆ ไปก็ได้”
“ค่ะ” แก้วเก้าทำปากขมุบขมิบ
“เดี๋ยวหนูแก้วเก้า ซ้อมบทพูดปากเปล่ากับผมก่อน ทราบแล้วใช่มั้ยครับว่าจะเล่นเป็นใคร”
"เป็นเจ้านางน้อยเนี่ยล่ะค่ะ” ปากเล็ก ๆ สีแดงขยับพูดกับเขาอย่างระมัดระวัง
“หนูจะต้องรู้ภูมิหลังของเจ้านางน้อยก่อน เธอเป็นพระธิดาที่เกิดจากพระสนมของเจ้าเวียงเชียงรุ้ง จะต้องถูกส่งตัวไปถวายให้เจ้าเวียงไชยแทนพระธิดาองค์โตที่เกิดจากพระชายา”
“ทะ ทำไมเก้าต้องซ้อมบทพูดด้วยล่ะ ก็แม่บอกว่า...”
“เดิมทีก็ไม่มีบทพูดหรอก แต่ถ้ามีบทพูด หนูก็จะสามารถแสดงอารมณ์ออกมาทางน้ำเสียงได้”
“แล้วเก้าต้องพูดอะไรคะ”
เขาพาเดินอ้อมไปทางด้านหลังเวที ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
“อะไรล่ะคะ ไม่บอกมาแล้วเก้าจะรู้เหรอ” แก้วเก้าเริ่มแผลงฤทธิ์นิดหน่อย ขณะเขาพาขึ้นไปบนเวที
“อย่าเพิ่งโมโหสิ หึ หึ หนูลองนึกถึงอารมณ์เศร้า ๆ เวลาที่ต้องจากใครสักคน แล้วเดินออกไปหน้าเวที หยุดยืนอยู่ตรงกลาง ที่พื้นมีกากบาทสีแดงเป็นเครื่องหมาย หนูยืนพูดตรงนั้น จากนั้นจะมีนายทหารแบกหามเสลี่ยงมารอรับ หนูส่งอารมณ์ให้คนดู ตรงนั้น แล้วก้าวเดินขึ้นไปนั่งด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์บ้านเกิดเมืองนอน” เขายังใจเย็นอยู่ พูดอธิบายเสียยืดยาว
“ไม่เห็นยากเลยค่ะ เก้าจะทำให้เห็นเองว่าเก้าทำได้” แก้วเก้ายักไหล่ แค่นึกถึง “ใหญ่” กับสายน้ำที่เคยแหวกว่าย ก็น้ำตาไหลได้อย่างง่ายดายแล้ว
“ตกลงจะไม่พูดใช่มั้ย” เขาก้มลงมองจ้องลูกตาเด็กสาว มีแววแฝงความท้าทายอยู่ในที
แก้วเก้าผงกศีรษะเล็กน้อยรับคำท้าของเขา เขาหันไปบอกคนสองสามคนที่ประจำอยู่ด้านข้าง ยกมือส่งสัญญาณให้ แล้วก็แตะหัวไหล่ของแก้วเก้าให้เริ่มเดินไปด้านหน้าเวที เห็นแม่นั่งดูอยู่ในที่นั่งแถวหน้าสุด ท่ามกลางกับใครต่อใครอีกหลาย ๆ คน
“แม่! แม่คะ เก้าอยู่ทางนี้”
แก้วเก้าตะโกนเรียกภาณินี ลืมการแสดงของตัวเอง ทุกคนหัวเราะเธอ รวมทั้งเขาคนนั้น เป็นอันว่าต้องเริ่มต้นซ้อมใหม่อีกสามครั้ง แม่ยกนิ้วโป้งขึ้นสองนิ้วชูขึ้นให้กำลังใจ แก้วเก้าหายใจยาว ๆ ลึก ๆ ช้า ๆ
ผู้กำกับไม่ได้มาวุ่นวายสั่งอะไรอีก เขาปล่อยให้เด็กสาวสร้างอารมณ์และจินตนาการแต่ลำพัง
แก้วเก้ารู้สึกเต็มตื้นในอารมณ์คิดถึงเพื่อน เดินไปเรื่อย ๆ สมมุติว่า เบื้องหน้าคือท้องฟ้า และโคมไฟกลางห้องประชุม คือเดือนเสี้ยว ก้มมองดูพื้นเวทีที่มีกากบาทสีแดง ถึงตรงนั้น ก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงทีละข้าง ยื่นมือไปข้างหน้า แล้วปล่อยท่อนแขนตกลงข้าง ๆ ลำตัว ก้มหน้าร้องไห้ ทางขวามือทหารแบกเสลี่ยงมาถึง ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นช้า ๆ หมุนตัวมองดวงจันทร์ครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปนั่งในเสลี่ยงหลังตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ถูกพาเข้าไปด้านหลังม่าน
เสียงปรบมือดังเปาะแปะ แม่ลุกขึ้นยืน เคียงข้างกับลุงกต
“โอเค!” เขายื่นมือมาข้างหน้าอีกครั้ง “แต่จะทำให้ดีกว่านี้ก็ได้อีกนะ”
“ฮึ! ตกลงว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ ถ้าไม่ดีก็เอาคนอื่นมาเล่นเหอะ เก้าจะกลับบ้าน”
“เก้า” แม่เรียก “เก้าทำได้ แต่เวลาแสดงจริง ๆ คนดูเยอะ ๆ เก้าต้องไม่ประหม่านะลูก”
“แม่คะ เก้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” เด็กสาวยกมือป้องปาก กระซิบกระซาบกับแม่ แต่แม่กลับพูดกับอีกคนหนึ่ง
“เจ้าองค์อินทร์คะ ขอบคุณมาก ๆ”
เพราะคน ๆ นี้เป็น “เจ้า”แม่จึงพูดกับเขาด้วยท่าทางนอบน้อม ทั้ง ๆ ที่แม่อาวุโสกว่า แก้วเก้าไม่เห็นจะสนใจเลย เขาดูดีแต่ภายนอกเท่านั้นแหละ
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ อาจารย์ภาณินี หนูแก้วเก้าคิดเองแสดงเองหมดเลย”
เขายิ้ม... แสร้งถ่อมตัวแน่ ๆ เธอรู้ดี
อลงกตเดินอ้อมมาทางด้านหลังหลานสาว
“ลุงกต” แก้วเก้าโผกอดลุง “พ่อกับคุณย่าของเก้ามาหรือยังคะ”
ภาณินีตอบลูกสาวแทนพี่ชาย “ยังไม่มา แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ ไปรับประทานอาหารก่อนนะเก้า คุณเอมอรกำชับว่าห้าโมงเย็นให้พาเก้าไปส่งที่ห้องแต่งตัวอีกครั้ง”
“ค่ะแม่ เก้าหิวแล้ว” บ่นอุบอิบ
ÿ
ดอกเตอร์อลงกต ศักดิ์เดชา คณบดีคณะศิลปกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จูงมือหลานสาว เดินผ่านป้ายสีทองตัวหนังสือน้ำเงินเข้ม “ห้องรับรองแขกวีไอพี”
ลุงกตผลักประตูเข้าไปข้างในมีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหญิงชราแต่งตัวดูภูมิฐาน ชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาอ่อนเยาว์แต่ก็อายุมากกว่าแก้วเก้า เขาสวมสูทสีเข้ม สุภาพเรียบร้อย
ลุงกตค้อมศีรษะให้กับหญิงชรา “เก้าก้มลงกราบ เจ้าขวัญหล้า ณ แมนรัตน์ สิลูก”
แก้วเก้ามองหน้าแม่ แม่พยักหน้าให้ทำตามที่ลุงบอก เด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นพรมสีแดง ค่อย ๆ เดินด้วยเข่า ก้มกราบที่เท้าของท่าน เห็นน้ำตาของท่านไหลด้วย
“สวัสดีจ้ะ” ท่านเอ่ย น้ำเสียงสั่นไหว “นี่ เจ้าเทพนรินทร์ ณ แมนรัตน์ หลานชายของฉัน”
แก้วเก้าเงยหน้าขึ้น ยกมือไหว้เขา เขารับไหว้ด้วยท่าทีที่นุ่มนวล อ่อนโยน ต่างกับท่าทีของเจ้าองค์อินทร์ ผู้กำกับละคร คนนั้นลิบลับ
“อาจารย์ภาณินี ลูกสาวของคุณทำผมแบบนี้หน้าตาเหมือนญาติคนหนึ่งของเรามาก ๆ ดิฉันอยากเห็นเธอแต่งชุดชาววังในเวียงหลวงเสียแล้วสิ”
“ก็อีกสักครู่ค่ะเจ้า อดใจรอนิดนะคะ” ภาณินียิ้มเอาใจหญิงชรา
“เชิญรับอาหารว่างด้วยกันก่อนนะครับเจ้า เจ้านางน้อยแห่งเวียงเชียงรุ้งของเราหิวมากเลยครับ” ประโยคเด็ดของลุงกตเรียกเสียงหัวเราะในห้องนั้น
“ขอบใจ ดอกเตอร์อลงกตอีกคนนะคะ หมอเนตรดาวภรรยาของคุณดูแลเลอสรวงได้ดีมากค่ะ เธอมีความอดทน และทุ่มเทเหมือนเลอสรวงเป็นลูกชายของเธอทีเดียว”
“ครับ” ลุงกตเองนอบน้อม อ่อนโยน กับเจ้าขวัญหล้ามากกว่า ตอนที่แม่คุยกับเจ้าองค์อินทร์
“นรินทร์ ดูแลน้องนะ อย่าให้น้องหิวจนเป็นลมไปล่ะ”
“ครับ เจ้าย่า” เจ้าเทพนรินทร์พูดอย่างสุภาพนุ่มนวลอีกครั้ง เขาหันไปยิ้มกับแก้วเก้า แล้วพาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ซึ่งจัดวางของว่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว
แก้วเก้ารู้สึกแปลก ๆ กับบรรยากาศรอบ ๆ ตัวในห้องรับรองนั้น แม่และลุงกตดูเกร็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะว่า คนพวกนี้เป็นเจ้า ก็เลยต้องระวังตัว เมื่อคิดได้อย่างนี้ เธอก็เลยทำตัวลีบ ๆ เกร็ง ๆ ตามแม่กับลุงกตไปด้วย
“ทำตัวสบาย ๆ เถอะครับ น้องเก้า ไม่ต้องเรียกพี่ว่า เจ้า เหมือนคนอื่น ๆ เรียกว่าพี่นรินทร์”
“ค่ะ พี่นรินทร์” แก้วเก้าเรียกเขาตามนั้น
“น้องเก้าคิดจะเรียนต่อที่ต่างประเทศบ้างมั้ย พี่ยินดีต้อนรับนะ ถ้าน้องจะไปเรียนที่อังกฤษ”
เด็กสาวอึ้งนิดหน่อย ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม รอให้แม่เดินมาใกล้ ๆ
“แม่คะ พี่นรินทร์ชวนเก้าไปเรียนที่อังกฤษค่ะ”
“โอ ไม่ล่ะมั้ง เจ้านรินทร์คงแค่ล้อเล่นกับลูกน่ะจ้ะ”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นหรอกครับ คุณแม่ของผมเห็นน้องเก้าแล้วจะต้องรักและเอ็นดูไม่น้อยทีเดียว”
ภาณินีเปลี่ยนเรื่องสนทนา หันหน้ามาเอ่ยกับลูกสาว
“เก้าลูกแม่ วันนี้ มีคนรอชมลูกแสดงละครเวทีอยู่เยอะเลย ตั้งใจและเชื่อฟังเจ้าองค์อินทร์นะจ๊ะ”
“ไม่ต้องกังวลใจในเรื่องฝีมือของพี่ชายเลยครับ แต่ปัญหาของท่านคือ เป็นคนที่พูดจาออกจะตรงแบบขวานผ่าซากไปหน่อย อย่าเพิ่งขุ่นเคืองซะก่อนนะครับ”
แก้วเก้าคิดไปเพลิน ๆ พลางใช้ช้อนเขี่ยขนมเค้กรสส้ม
“น้องเก้าคิดถึงใครอยู่เหรอ” เจ้าเทพนรินทร์คอยเอาใจใส่และชวนคุย
“เก้าคิดถึงเพื่อนค่ะ”
“เพื่อนคนนั้นคงสำคัญกับน้องเก้ามาก ๆ”
เขารินน้ำส้มคั้นจากเหยือกใส่แก้ว เมื่อเห็นว่ามันพร่องไปกว่าครึ่งหนึ่ง
“เพื่อนที่สุราษฎร์ธานีค่ะ เราสนิทกันมาก เก้ากับใหญ่ชอบไปเล่นน้ำที่แม่น้ำด้วยกัน”
เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกขบขันหัวเราะในลำคอ หึหึ
“แม่น้ำเลยหรือครับ”
“แม่น้ำไหลผ่านด้านหลังโรงเรียนของเรา ตลิ่งไม่ชันหรอกค่ะ เดินไปได้ น้ำอยู่ระดับอก แต่ถ้าเดินห่างฝั่งไปก็จะเจอ น้ำลึก พวกเราไม่มีใครกล้าว่ายข้ามไป นอกจากใหญ่คนเดียว” แก้วเก้าเล่าให้เขาฟัง
“โรงเรียนไม่มีสระว่ายน้ำเหรอ”
“ไม่มีสระว่ายน้ำหรอกค่ะเจ้า... เด็ก ๆ เล่นกันตามแหล่งน้ำธรรมชาติ” แม่ช่วยเสริม
“อ้อ” เจ้าเทพนรินทร์พูดสั้น ๆ แค่นั้น เขาเหลียวมองหน้าภาณินี
“เพื่อนของน้องเก้าคนนี้ อาจารย์รู้จักมั้ยครับ”
“ใหญ่น่ะเหรอคะ เขามาวิ่งเล่นแถว ๆ บ้านเราบ่อย ๆ ค่ะ เป็นเด็กดี และก็เรียนก็เก่งด้วย”
“ใช่ค่ะ ใหญ่เรียนดีที่สุดในห้อง เก้ายังต้องให้ใหญ่ช่วยสอนเลย”
“พอพูดถึงเพื่อน น้องเก้าก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันทีทันใดเลย” เจ้าเทพนรินทร์สัพยอก แก้วเก้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนน่าคบหาทีเดียว
“เก้าอิ่มแล้วค่ะแม่ แล้วก็เริ่มง่วงนอนด้วยค่ะ”
“ได้เวลาที่ต้องพาเก้าไปส่งให้คุณเอมอรแล้วค่ะ ดิฉันกับลูกต้องขอตัวก่อน” ภาณินีบอกกับเจ้าเทพนรินทร์
อลงกตยังคงนั่งจิบน้ำชาและอาหารว่าง สนทนาอยู่กับเจ้าขวัญหล้า ภาณินีค้อมหลังเข้าไปหาหญิงชราอย่างสุภาพอ่อนน้อม “ดิฉันกับลูกสาวขอตัวนะคะ”
ภาณินีพาแก้วเก้าออกไปข้างนอก ขณะที่เจ้าเทพนรินทร์ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารตามสองแม่ลูกออกไปด้วย
ÿ
เจ้าเทพนรินทร์เดินแยกจากสองแม่ลูกไปอีกทางหนึ่ง สุดปลายทางนั้นแก้วเก้าเห็นเจ้าองค์อินทร์ยืนกอดอกฟังสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่งพูดคุยอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่พอเห็นว่าเจ้าเทพนรินทร์เดินตรงไปหา เจ้าองค์อินทร์ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นค้อมศีรษะนิดหนึ่งให้สุภาพสตรีคนนั้น แล้วก้าวขาถอยเบี่ยงตัวออกมาคุยกับเจ้าเทพนรินทร์
แก้วเก้าคิดเอาเองว่า ผู้กำกับฯ คนนั้น คงจะกำลังถูกเจ้าเทพนรินทร์ต่อว่า เรื่องที่พูดไม่ดีกับเธอ เจ้าองค์อินทร์ผงกศีรษะสองสามครั้ง
“แม่คะ” แก้วเก้ากระตุกแขนแม่เบา ๆ “เจ้าองค์อินทร์กับเจ้าเทพนรินทร์เป็นอะไรกันคะ”“เจ้าองค์อินทร์ท่านเป็นพี่ อายุมากกว่าเจ้าเทพนรินทร์ ผู้เป็นน้องราวสี่หรือห้าปีเนี่ยล่ะ ท่านทั้งสองเป็นบุตรของเจ้าแมนสรวงกับคุณวิชุดา คุณวิชุดานั้นเป็นหญิงสาวสามัญชน ท่านพบรักกับเจ้าแมนสรวงสมัยเรียนกฎหมายที่อ๊อกฟอร์ดด้วยกัน”แก้วเก้ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ถ้าเป็นอย่างนั้นตาผู้กำกับจอมเฮี้ยบนั่นจะกลัวเจ้าเทพนรินทร์เหรอภาณินีดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าถึงเวลาแล้ว จึงจูงมือลูกสาวพาเดินสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปจนถึงหน้าห้องแต่งตัว ใช้มือข้างหนึ่งผลักประตูเข้าไป แล้วทักเอมอรที่นั่งพักอยู่ข้างใน“ขอโทษนะคะ มาช้าไปหน่อย”“ไม่เป็นไรค่ะ ใช้เวลานิดหน่อย คราวนี้ไม่นานเหมือนเมื่อกลางวันหรอกนะหนูแก้วเก้า” แก้วเก้านั่งนิ่งเป็นหุ่นอีกครั้ง คุณเอมอรจัดแต่งผมให้ แล้วตบแป้งและเติมสีลิปสติก“แต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็ไปให้คุณแม่แต่งตัวนะคะ”คุณเอมอร ก้าวออกไปที่ประตู ชะเง้อแล เรียกห
แก้วเก้าตัวเล็กที่สุดถูกจัดให้เดินนำหัวขบวน เสียงพิธีกรพูดออกไมโครโฟนเป็นทางการ เหล่านักแสดงนั่งพับเพียบลงกับพื้นเวที นักแสดงทุกคนได้รับขันเงิน ในนั้นมีเงินอยู่ 6 บาท ผ้าเช็ดหน้าสีขาว 1 ผืน เทียนขี้ผึ้งขาว 3 เล่ม ดอกไม้คนละ 1 ช่อ มีดอกหญ้าแพรก ดอกเข็ม และดอกมะเขือ ธูป บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และหมากพลู 3 คำ พี่ฉัตรพรบอกให้แก้วเก้าพนมมือถือขัน ฉากกั้นหน้าเวทีที่เป็นผ้าม่านสีแดงถูกเปิดออกแก้วเก้ามองไปรอบเวที มีโต๊ะหมู่ใหญ่ หัวโขนฤาษี พ่อแก่เรียงเป็นแถว ชั้นบนสุดเป็นพระพิฆเนศวร พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม พระอินทร์ พระพิราบยักษ์ และคนธรรพ์ แม่บอกว่าเป็นครูบาอาจารย์นาฏศิลป์ ที่นักเรียนคณะศิลปกรรมทุกคนจะต้องเคารพและมีพิธีไหว้ครูปีละ 1 ครั้งพราหมณ์ผู้ทำพิธีคลานเข่าเข้าไปนั่งตรงพื้นที่ว่าง กลางพิธี วงดนตรีปี่พาทย์เริ่มบรรเลง“พี่ฉัตรพร คนนั้นน่ะใครกันคะ” แก้วเก้าบุ้ยใบ้ไปทางชายชรานุ่งขาวห่มขาว“ครูช่างจ้ะ พวกเราต้องเข้าไปกราบท่านด้วยเครื่องกำนลนี้ แต่ว่าต้องตามหลังคณะของท่านอธิการบดี เรารอดูจังหวะ
วันถัดมา อธิคมและภาณินี ตื่นขึ้นมาแต่เช้า “ตั้งใจจะมานอนกับพ่อแม่แต่กลับหลับสนิทไม่อือ ไม่อาเลย” อธิคมเอ่ยกับภรรยาภาณินีพลิกตัว และยันกายลุกขึ้นนั่ง“พี่คม“ ภาณินีแตะหน้าผากลูกสาวอีกครั้ง อย่างห่วงใย“ไปคุยกันที่ระเบียงเถอะค่ะ อุ้มไม่อยากให้ลูกได้ยิน”อธิคมเดินตามภรรยาออกไปด้านนอก รับลมอ่อน ๆ ยามเช้า พระอาทิตย์ลอยระไล่ขอบฟ้าสูงขึ้น เรือยาวในคลองมอญส่งเสียงคำรามผ่านไปลำแล้วลำเล่า ภาณินีลูบแขนทั้งสองข้าง กอดอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้สามีฟัง"เจ้าขวัญหล้าให้เจ้าองค์อินทร์เอาสายสร้อยทับทิมมาให้เก้าสวม”"อืม แล้วยังไง”“เธอตั้งใจจะมอบให้ผู้แสดงเป็นเจ้านางน้อย แต่พอถึงเวลาจะแสดง นักแสดงบทนี้ก็มีอันเป็นไป อุ้มได้ยินพวกกองละคร แอบคุยกันว่า รายล่าสุด ท้องร่วงจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือ”“แต่เก้าไม่เป็นอะไร น
“ลูกสาวของอุ้มคุยกับใครไม่รู้ค่ะ เราไม่เห็นเขา” ภาณินีกล่าวกับหลวงพ่อเบา ๆหลวงพ่อรับฟังนิ่ง ๆ “หลานน้อยมองเห็นเขาหรือเปล่า”“เห็นค่ะ เราเจอกันแล้วสองครั้ง”หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้ตามนั้นÿแก้วเก้ากับเจ้าองค์อินทร์เอาถาดรองน้ำทองเหลืองไปเทรดน้ำใต้โคนไม้ใหญ่ ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาพร้อม ๆ กัน ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุดมพูดถึงตอนสำคัญพอดี“พ้นสงกรานต์ไปแล้ว อาตมาจะออกธุดงค์ขึ้นเหนือ ไปธรรมจาริก เป้าหมาย คือ พระธาตุหลวงเวียงไชย ให้แก้วเก้าเดินทางไปกับแม่ชีสิ โยมก็ไปด้วย”ภาณินีหันไปหาอธิคม กวักมือเรียกแล้วกระซิบข้อความของหลวงพ่อ“ยายเก้าจะต้องสอบวัดความรู้ อีกสามเดือนข้างหน้าครับ ช่วงนี้ต้องไปกวดวิชาเพิ่มเติม ถ้าลูกสอบเสร็จไปแล้วก็น่าจะไปร่วมงานได้ครับ”“อืม... แล้วอาตมาจะโทรไปบอก หรือโยมจะโทรมาถามเองก็ตามใจ”ÿเจ้าขวัญหล้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับน้ำตา หลวงพ่อเห็นเข้าก็ทักขึ้นว่า “โยมมีเรื่องอะไรทุกข์หนักหนาล่ะนั่น”หลวงพ่อยิ้มนิด ๆ แววตาอ่อนโยน“ดิฉันไปอยู่ต่างประเทศหลายสิ
“อ้าว พี่คม หลวงพ่อล่ะคะ” ทักสามีเมื่อเห็นเขาเปิดประตูออกมาเพียงคนเดียวอธิคมมองหาลูกสาว “ลูกล่ะอุ้ม”เจ้าองค์อินทร์ตอบแทนภาณินี“น้องเก้าเดินเล่นอยู่ที่ลานวัดทางนั้น ผมไปตามให้ครับ”อธิคมชั่งใจอยู่ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเจ้าองค์อินทร์ที่ทำตัวจาบจ้วงกับลูกสาวของเขาเมื่อวันก่อน แต่ภาณินีกลับตัดสินใจรวดเร็วกว่า“พี่ไปตามลูกเองดีกว่าค่ะ” ภาณินีขยับตัว“ให้องค์อินทร์ไปเถอะค่ะ เรารบกวนอาจารย์หลายเรื่องแล้ว เดินไปตามน้องสิลูก” เจ้าขวัญหล้าสั่งหลานชายคนโต“งั้นก็รบกวนด้วยนะคะเจ้า” ภาณินีเกรงใจเจ้าขวัญหล้า ยอมทำตามใจเธอ“ไม่เป็นไรครับ ยินดี” เจ้าองค์อินทร์ลุกขึ้นเจ้าขวัญหล้ายิ้มละไม หลานชายคนโตนิสัยอารีอารอบชอบช่วยเหลือคนอื่น...เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเขาÿลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวน้ำในลำคลองหน้าวัด แก้วเก้ากลับรู้สึกสดชื่น สูดกลิ่นไอระเหยความชื้นเย็น กลิ่นใบไม้และต้นกล้าจากท้องนาท้องทุ่งรอบ ๆ วัด
“เจ้าพ่อ! พี่เลอสรวงน่าสงสารนะครับ เจ้าย่าเพียงแค่อยากชดเชยสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนเรา” “นรินทร์ลูกรัก ฟังพ่อนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือ ไอ้ลูกต่างด้าวนั่น อยู่กับปัจจุบันเถิด นรินทร์ ลูกเลิกพร่ำเพ้อ เอาใจเจ้าย่าได้แล้ว องค์อินทร์ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร บอกเขา พ่อไม่มีสมบัติสักชิ้นจะให้เขาหรอกนะ ถ้าเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นั่น” “เจ้าพ่อ!” เจ้าเทพนรินทร์ผงะ “ทำไมครับ ทำไมเจ้าพ่อทำเหมือนไม่รักพี่ชาย” “มันอวดดี อยากให้เรียนกฎหมายดันไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีแก่นสารเอาเสียเลย” “พี่ชายเมเจอร์ลิทเทอเรเจอร์นะครับเจ้าพ่อ ละครน่ะแค่ไมเนอร์เท่านั้น” “จะอะไรก็ช่าง พ่อกับแม่เป็นนักกฎหมาย ลูกก็ต้องเป็นนักกฎหมาย องค์อินทร์มันนอกคอก ไม่สนใจความต้องการของพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่ต้องการมันแล้ว นรินทร์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะลูก คดีเข้ามาเยอะเลย พ่อทำหามรุ่งหามค่ำทุกคืนไม่ไหวแน่” “ครับเจ้าพ่อ ผมจะรีบกลับไปในวันสองวันนี่แหละครับ ฝากสวัสดีตอนเช้าคุณแม่ด้วยนะครับ”ÿ อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ออกจากวัดคลองขนุน อำเภอเมืองนนทบุรีแล้วก็แวะทำธุระที่โรงพิมพ์หนังสือแถว ๆ ปิ่นเกล้า และรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน
"สวัสดีครับ” อลงกตยื่นมือออกไปจับมือทักทาย“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เจ้าแมนสรวงยื่นมือมาจับเขย่าเบา ๆ “ว่าไงองค์อินทร์”“สวัสดีครับ เจ้าพ่อ” เจ้าองค์อินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีทอมมัส นี่อาจารย์อลงกต สามีของหมอเนตรดาวครับ คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เจ้าองค์อินทร์ถามบิดาของเขา“ถ้ามาก็ต้องเห็นสิ” เขาตอบลูกชายคนโต แต่เมินมองออกไปทางด้านหลัง “รีบพาพ่อเข้าที่พักเลย” เขาเอ่ยกับลูกชายคนเล็ก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าคำพูดประโยคแรกเจ้าองค์อินทร์เข้าใจบิดาดี เขายิ้ม แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งกับน้องชาย สองมือล้วงกระเป๋า ทำเดินตัวเอียง กระซิบบอกน้องชาย “พ่อของนาย แน่มาก”เจ้าเทพนรินทร์อมยิ้ม เอาหัวไหล่กระแทกอกพี่ชาย แล้วเข็นกระเป๋าเดินทางของเจ้าพ่อ พลางชี้มือบอกทางไปยังห้องรับรองÿอลงกตพอจะรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพ่อลูกคู่นี้มาบ้าง เขาจึงรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มเดินช้า ๆ เข้าไปโอบไหล่ “สักวันเจ้าแมนสรวงจะเห็นว่า ลูกชายของเขาคนนี้ คือ ณ แมนรัตน์ ที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง”“ขอบคุณครับ ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตของผมมันดี มันมีความสุข ผมก็จะทำ ผมผิดหรือครับที่ไม
เจ้าขวัญหล้ามองตามปลายนิ้วชี้ประดับแหวนเพชรเม็ดโตของเพื่อน“อ๋อ...นั่นหลานชายคนโตของฉัน องค์อินทร์มานี่สิลูก” เจ้าขวัญหล้ากวักมือเรียก“ครับ เจ้าย่า”“นี่ ๆ มากราบท้าวศรีบุญจันทร์ เพื่อนของย่า สายวงศ์ของเขากับเรากินดองกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของย่าแล้ว พอดีรุ่นของย่า ฝ่ายนั้นก็มีศรีบุญจันทร์ ฝ่ายเราก็มีย่า เราทั้งคู่ก็เลยผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนรักกันแทน”“กราบเจ้าย่าศรีบุญจันทร์ครับ” องค์อินทร์ลงไปคุกเข่ากราบบนตักหญิงชราท้าวศรีบุญจันทร์ยิ้มปลื้มใจ ยกผ้าทอขลิบทองขึ้นเช็ดมือตนเองก่อนจะประคองใบหน้าของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอันแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี”“เหอะ ๆ ๆ “ เจ้าขวัญหล้าหัวเราะเพื่อนรัก “แม่ท้าวศรีบุญจันทร์ ถึงกับเพ้อท่องโคลงสอง ยอยศพระลอออกมาเชียว เจ้าองค์อินทร์เขินจนหน้าแดง “ผมถูกเจ้าย่าศรีบุญจันทร์เกี้ยวหรอกเหรอนี่ โธ่!!” “ใช่ ๆ ย่าเกี้ยวเจ้า แต่เกี้ยวให้หลานสาวของย่าต่างหาก”“เอ้อ...อ้า ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อย มองหน้าเจ้าย่าขวัญหล้าของเขา พยายามส่งสายตาบอก “ไม่ได้
“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ชักจะเริ่มเกร็งขึ้น แข็งใจถามกลับไปว่า “เอ้อ เพราะเจ้าย่าให้สร้อยนั่นกับน้องเก้า แล้วทำให้ผมกับเธอกลายเป็นคู่หมั้นกันหรือเปล่าครับ”ภาณินีพยักหน้า “ใช่ค่ะ ... เราเห็นว่าการหมั้นครั้งนั้นเจ้าย่าของเจ้าทึกทักเอาฝ่ายเดียว เราไม่รู้ไม่เห็นด้วย รวมทั้งตัวเจ้าก็ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ อย่างนี้เรายิ่งยอมรับไม่ได้”เจ้าองค์อินทร์ใจแป้วลงไปเป็นกอง ถึงจะเพิ่งรู้เรื่องการหมั้นและรู้จักความหมายของสร้อยมณีแก้วเก้า แต่เขาก็ยินดีที่จะรับเงื่อนไขตามนั้นโดยไม่มีข้อแม้เลย เสียงภาณินียังคงเจื้อยแจ้วต่อไป“เรารู้จักกับเจ้ามาตั้งหลายเดือนแล้วนะคะ ถึงวันนี้พี่ว่า ครอบครัวของเราก็สนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พี่กับพี่คมยังไม่ทราบเลยว่า เจ้ามีคนรักหรือยัง เรายังไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเพื่อนผู้หญิง นอกจากคุณปูเป้ที่เคยเห็นตัวคนนั้น คุณปูเป้เป็นคนรักของเจ้าหรือของเจ้าเทพนรินทร์กันแน่คะ”เจ้าองค์อินทร์รู้สึกขัน เมื่อเจอคำถามนี้ “อาจารย์ … ” เขาเรียกภาณินี หัวเราะในลำคอ หึ หึ “ผมน่
เจ้าขวัญหล้าทั้งยิ้ม และขำไปด้วย “ย่านวลนี่ก็ ... พูดจาเสียจนฉันใจหายหมดเลย”ขณะพูดแก้วเก้าเห็นเจ้าองค์อินทร์แต่งตัวหล่อเฟี้ยวเข้ามาในห้อง พร้อม ๆ กับเจ้าขวัญสรวง แก้วเก้ายกคางเกยตักย่านวล มองเขาตาแป๋ว... คิดในใจว่า คุณเจ้าหล่อจัง พอเห็นสายตาของเขาตวัดมองมา แก้วเก้ากลับเขิน หลบสายตาของเขา เอาหน้าซบกับตักย่านวล มือสองข้างกอดหน้าแข้งย่า ทำมือขยุกขยิกย่านวลเขย่าขา ก้มลงมองว่าหลานสาวทำอะไรกับขาของแก“เก้า...เงยหน้าขึ้นมาสิลูก”“อะไรคะย่า เก้าหิวข้าวแล้วไปกันเถอะ ตกลงกันเสียทีสิคะว่าย่านวลกับเจ้าย่าใครจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวมือนี้”“อะไรกัน มาถึงบ้านย่า ย่าก็ต้องเลี้ยงน่ะสิ นี่เราสองบ้านมารวมญาติกันนะ จริงมั้ย อาจารย์อุ้ม อาจารย์อลงกต”“ครับเจ้า” อลงกตทราบเรื่องทั้งหมดจากน้องสาวแล้ว “ผมกราบขอโทษ ที่จำเรื่องตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้เพราะไปเรียนอยู่ต่างประเทศตั้งแต่จบ ม.ปลาย”“ท่านนายพลฯ กับคุณหญิงมีลูกน่ารักทั้งคู่ ดูสิโตจนป่านนี้ ก
“ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับคุณแม่ กริชอันนั้น แรงจริง ๆ ผมงี้ตัวสั่น รู้สึกถึงพลังที่มารวมอยู่กับจิตของผมแล้วพุ่งออกไปเมื่อผมสั่งด้วยจิตของผมเองให้หมามันหยุดเห่า เออ มันหยุดจริง ๆ แถมกลัวจนหางจุกตูดเลย”“เหรอครับ ... ” อธิคมเหลียวไปข้างหลัง คุยกับแม่ “เอาอย่างไรดีครับ แม่เป็นห่วงกรณ์จะกลับไปดูมั้ย หรือว่าจะเดินหน้าไปกรุงเทพกับผมต่อ”ย่านวลเอนหลัง มองออกไปข้างนอกรถ อลงกตผ่อนความเร็วลง รอว่าย่านวลจะตัดสินใจอย่างไร “แม่ไปดูหลานที่กรุงเทพก่อน ไอ้กรณ์มันทำตัวมันเอง อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ เข้าสี่สิบแล้ว เดี๋ยวลูกเมียมันก็ดูแลกันเอง” “เอางั้นนะ เฉียบกับชาวบ้านช่วยกันจับตัวเอาไว้ได้แล้ว เอาไปให้หลวงลุงปลดดูอาการอยู่ คงทำน้ำมนต์รดให้นั่นแหละ เอะอะอะไรก็หาหลวงลุงรดน้ำมนต์กันท่าเดียว” “ก็ชาวบ้านเขาเชื่อถือศรัทธา ถ้าไม่มีน้ำมนต์ดี ชาวบ้านก็ไม่เข้าวัดหรอก สิ้นหลวงพี่ปลดแล้วจะหาใครมาดึงคนเข้าวัดล่ะ พระเณรแต่ละคน พ่อแม่พามาบวชอาศัยข้าวสุกวัดกันเสียส่วนใหญ่ ดูแต่ไอ้จ้อยหลานยายแป๊วสิ นี่ก็ถูกบังคับให้บวชเรียนเป็นเณรแล้ว เมื่อห้าวันเจ็ดวันมานี่เอง”“เหรอครับ จ้อยบวชเป็นเณรก็ดี พระเกจิอาจารย์หลายท่านก
“แม่ก็ไม่เป็นไรหรอก เป็นห่วงลูกมากกว่า ลูกมัวแต่ถามถึงพ่อกับแม่ ตัวลูกเองล่ะที่เป็นหนัก ดีนะที่ได้เจ้าองค์อินทร์มาช่วย” แม่พยายามบอกให้รู้ ว่าเจ้าองค์อินทร์นั่งอยู่ด้วย“เจ้าองค์อินทร์!” แก้วเก้าหันกลับมามองคนที่คิดว่าเป็นพ่ออย่างเต็มตา พลางยกมือขยี้ตา“เดี๋ยวก็หน้าย่นหรอกแก้วเก้า ขยี้ตาแรง ๆ อย่างนั้น” เจ้าองค์อินทร์หยอกล้อ ยิ้มปนหัวเราะแก้วเก้าได้ยินเสียงชัด ๆ “มะ มะไม่ใช่พ่อหรอกเหรอคะ” รู้สึกตัวว่าทำเรื่องขายหน้า “คุณเจ้าอ่ะ”เจ้าองค์อินทร์ส่ายหน้า ทำหน้าล้อเลียน ความสุขแล่นฉิวไปทั่วทั้งร่างแก้วเก้ารู้สึกอื้ออึงไปทั้งศีรษะ เมื่อกี๊ที่เธอกอดไม่ใช่พ่อ แต่เป็นเขา คนที่เธอนั่งรอ อยู่ในความฝันเนิ่นนาน แสนทรมาน ภาณินีปล่อยให้ทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันอีกครั้ง“แม่ลงไปโทรศัพท์บอกพ่อของลูกก่อนนะ เก้า...คุยกับเจ้าองค์อินทร์ดี ๆ ล่ะ”แก้วเก้าได้ยินเสียงแม่ แต่จับใจความอะไรไมได้ เพราะจิตใจของเธอ จดจ่ออยู่กับชายหนุ่มตรงหน้าÿอลงกตขั
เจ้าองค์อินทร์นั่งซึมเหม่อนึกถึงแก้วเก้าที่เคลื่อนไหวอย่างร่าเริง ช่างพูด ช่างคุย และต่อว่าเขาเสมอ ๆ พอได้เห็นเธอนอนนิ่งและเงียบไปอย่างนี้ ความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเธอไป ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปในทรวงอก “บางทีเจ้าองค์อินทร์อาจจะช่วยเก้าได้” ภาณินีบอก“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่กรุณาไว้ใจผม” อธิคมสบสายตากับภรรยา แล้วก้าวออกไปÿเจ้าองค์อินทร์นั่งบนขอบเตียง จับมือของเธอมากุม คลึงนิ้วเรียวยาวเบา ๆ “แก้วเก้าหนีไปเที่ยวอยู่ที่ไหนคนเดียว มารับผมไปด้วยสิ ... เที่ยวคนเดียวสนุกเหรอ…” วางมือของแก้วเก้าลงข้าง ๆ ลำตัว ก้มลงจุมพิตที่หน้าผาก “น้องเก้า” น้ำตาของชายหนุ่ม หยดลงบนพวงแก้มขาวซีด “เพราะผม...ผมเองที่พาเลอสรวงมาทำร้ายน้องเก้า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า น้องเก้า ผมขอโทษ”“ตื่นขึ้นมาสิครับ ผมรอให้น้องเก้าต่อว่า หรือทำโทษยังไงก็ได้ แต่ขอให้น้องเก้ากลับมาเป็นสาวน้อยที่น่ารักและสนุกสนานคนเดิม” เขาลูบไล้เช็ดน้ำตาออกจากพวงแก้มนั้น ยั้งมือนิดหนึ่ง น้ำตาของแก้วเก้าหรือน้ำตาของเขากันแน่นะ ทำไมเหมือนกับซึมออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ ÿ ตั้งแต่ถูกพลังจิตของเจ้าขวัญฟ้าดึงออกมา แล้วถูกปล่อยก
แก้วเก้าเดินลงไปจนถึงชายตลิ่ง เพื่อนสองคนของเธอไม่มีใครสนใจมองเธอเลย ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกดังขนาดไหน “ใหญ่ ใหญ่ ฮือ ฮือ ช่วยฉันด้วย ฉันอยากกลับบ้าน”เธอกลับขึ้นมายืนบนฝั่งอีกครั้ง แล้วเดินไปเรื่อย ๆ มองเหลียวหลังกลับไปดูเพื่อนเป็นระยะไม่มีใครสนใจว่าเธออยู่ตรงนั้น“ฉันทำไม่ดีกับแกใช่มั้ยใหญ่... แกก็เลยเอาคืน... ฉันรักแกนะ... แต่ไม่รู้สิ... เวลาแกมองฉัน ฉันมักจะนึกถึงใครอีกคนทุกที ฉันนึกถึงเขาเสมอเลย แต่พอเห็นว่าเป็นสายตาของแก ฉันก็รู้สึกไม่ชอบ ฉันอยากให้แกมองฉันอย่างเดิม มองธรรมดา ๆ ยิ้มธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำแบบคุณเจ้าได้มั้ย ให้เขามองฉันอย่างนั้น คนเดียวก็พอ... คุณเจ้า! เจ้าองค์อินทร์อยู่ไหน.... มาช่วยเก้าที... เก้าอยากกลับบ้าน... ฮือ... ฮือ... ฮือ...” แก้วเก้าสะอึกสะอื้น เริ่มสิ้นหวังที่จะกลับถึงบ้านขึ้นเรื่อย ๆ แต่แล้วสายน้ำตาปี ก็เปลี่ยนไป...เธอกลับมานั่งอยู่ริมคลองในสวนร่มรื่น มีเรือแจวมาขายก๋วยเตี๋ยว ดอกลีลาวดีทัดหูอยู่ทั้งสองข้าง ส่งกลิ่นหอม “เก้าชอบที่นี่ เก้าอยากมีบ้านอยู่ที่นี่ แต่ย่านวลบอกว่า มันเป็นวัด เก้าจะไปอยากอยู่วัดได้ยังไง นั่นสิเนอะ.... แล้วทำไมเก้าจะอ
อธิคมยกมือปิดปากหาว ปิดไฟ แสงไฟดับวูบลง เขาเอนตัวลงบนที่นอนของลูกสาว นึกในใจว่าวันนี้ ตั้งแต่เลอสรวงตกน้ำ เพิ่งจะได้พักผ่อน ... ตอนนี้ความกังวลเรื่องชายคนนั้น ผ่อนคลายลงแล้ว โมบายดินเผาข้างนอก ส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งยามต้องลม อธิคมฟังเพลิน ๆ เริ่มเคลิ้ม เขาดึงผ้าห่มที่ปลายเท้าขึ้นคลุมตัว ขณะที่ข้างนอกนั้นหมอกควันลอยล่องขึ้นจากท้องน้ำ ม้วนตัวขึ้นเป็นลำแสงยาว ๆ พุ่งขึ้นมาบนระเบียงบ้าน “แก้วเก้าเนาวรัตน์ขัติยนารีศรีเวียงเชียงรุ้ง” เสียงทุ้มนุ่ม ดังก้องขึ้น แต่ไม่อาจผ่านเข้าไปถึงข้างใน ลมพัด วี้ด วื้อ เหมือนจะมีลมฝน แต่เสียงกรุ๋งกริ๋งกลับเงียบหาย... อธิคมลืมตาขึ้นในความมืด ดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าออก พลิกตัวตะแคงข้าง ยอดไม้ชายน้ำคลองมอญโบกโยกไปมา บ้านทั้งหลังคล้ายกำลังจะพังครืน อธิคมรู้สึกอย่างเดี
“ตามจารีตประเพณีเจ้านางหญิงจะถูกเก็บตัวให้ทำงานบ้านงานเรือนอยู่ในคุ้มหลวง วันบุญวันพระจึงจะได้ออกไปไหว้บูชาพระธาตุหลวง เจ้าแก้วเก้าเนาวรัตน์ตอนที่ยังพระเยาว์เคยตามเจ้าขวัญฟ้าราชบุตรไปเที่ยวป่าเที่ยวเขานอกเมือง และมักจะลงสรงน้ำกาหลง เล่นสนุกสนาน เจ้าแก้วเก้าเนาวรัตน์จึงทรงยึดถือเอาเจ้าขวัญฟ้าราชบุตร ลูกผู้พี่ เป็นชายในอุดมคติมาตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นสาว เหตุที่เจ้าศรีธรรมกับเจ้าศรีภูมิสองพี่น้องขัดใจกัน และยิ่งขัดแย้งหนัก ก็เพราะเจ้าศรีธรรมถูกนางคำหล้า สนมคนหนึ่งเพ็ดทูลใส่ร้ายเจ้าแก้วเก้าเนาวรัตน์ว่าประสงค์จะให้เจ้าขวัญฟ้าราชบุตรทำการรัฐประหารและขึ้นครองเชียงรุ้ง เจ้าหลวงเชื่อถือนางคำหล้า จึงส่งสารบอกเจ้าศรีเวียงไชย ให้ส่งราชบุตร คือเจ้าศรีเวียงไชยะบุรีมารับตัวเจ้าแก้วเก้าเนาวรัตน์ เจ้าแก้วเก้าเนาวรัตน์ทรงหนีไปกับเจ้าขวัญฟ้าราชบุตรข้ามแม่น้ำกาหลงหนีตายไปถึงเชียงม่อน แสดงว่า ทรงรักใคร่ในตัวพระเชษฐาจนยอมสละทุกอย่างได้ ฉันไม่คิดว่าท่านจะมีใจให้เจ้าลอราชบุตรหรอกนะ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน” &
อธิคมรับโทรศัพท์จากภรรยา ซึ่งเดาว่าโทรมาตามให้ไปทานอาหาร เจ้าขวัญสรวงบอกว่าจะอยู่เฝ้าลูกชาย แต่เจ้าขวัญหล้าเอ่ยปรามขึ้นเสียก่อน “อย่าเลย ไม่ต้องเฝ้าหรอก ขวัญสรวงลูกตรากตรำมามากเกินไปแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาอีกทีนะ เชื่อแม่” “ครับ ผมอยู่ใกล้ ๆ จะมาดูให้แต่เช้าเลย ตอนนี้เราไปทานอาหารเย็นกันดีกว่า พวกนั้นรออยู่นานแล้ว” “อืม...เจ้าป้าคะ” แก้วเก้านึกวิธีเอาใจเจ้าขวัญสรวง “ที่ร้านนั่นน่ะ ใหญ่เพื่อนเก้า คนที่โดดน้ำลงไปช่วยคุณเลอสรวง รออยู่นะคะ พรุ่งนี้ใหญ่จะกลับปักษ์ใต้แล้ว” “จริงสินะ ป้าลืมไป เราต้องไปขอบใจเขาที่ช่วยเลอสรวง” เจ้าขวัญสรวงยิ้มออก เธอก้มลงไปหอมแก้มลูกชาย เดินไปที่เตียงหลานชาย หอมแก้มอีกคน