วันถัดมา อธิคมและภาณินี ตื่นขึ้นมาแต่เช้า
“ตั้งใจจะมานอนกับพ่อแม่แต่กลับหลับสนิทไม่อือ ไม่อาเลย” อธิคมเอ่ยกับภรรยา
ภาณินีพลิกตัว และยันกายลุกขึ้นนั่ง
“พี่คม“ ภาณินีแตะหน้าผากลูกสาวอีกครั้ง อย่างห่วงใย
“ไปคุยกันที่ระเบียงเถอะค่ะ อุ้มไม่อยากให้ลูกได้ยิน”
อธิคมเดินตามภรรยาออกไปด้านนอก รับลมอ่อน ๆ ยามเช้า พระอาทิตย์ลอยระไล่ขอบฟ้าสูงขึ้น เรือยาวในคลองมอญส่งเสียงคำรามผ่านไปลำแล้วลำเล่า
ภาณินีลูบแขนทั้งสองข้าง กอดอก แล้วเริ่มเล่าเรื่องให้สามีฟัง
"เจ้าขวัญหล้าให้เจ้าองค์อินทร์เอาสายสร้อยทับทิมมาให้เก้าสวม”
"อืม แล้วยังไง”
“เธอตั้งใจจะมอบให้ผู้แสดงเป็นเจ้านางน้อย แต่พอถึงเวลาจะแสดง นักแสดงบทนี้ก็มีอันเป็นไป อุ้มได้ยินพวกกองละคร แอบคุยกันว่า รายล่าสุด ท้องร่วงจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือ”
“แต่เก้าไม่เป็นอะไร นอกจากทำท่าเหมือนเป็นคนอีกคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ลูกของเรา” อธิคมพูดต่อ
“พี่คมคะ...” ภาณินีเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ สามี “ยังจำเรื่องที่บ้านเวียงไชย ได้มั้ย”
“จำได้สิจ๊ะ”
“ตอนที่ฟ้าผ่าลงมา อุ้มตกใจมาก ในกลุ่มควันสีดำปนเทานั้น อุ้มเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสง่าและสวยงาม เธอยิ้มกับอุ้ม บอกว่าจะมาอยู่ด้วย ตอนนั้นอธิบดีอุดมบอกว่า สิ่งที่พวกเราพบเจอเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ แล้วท่านก็ทำนายว่า อุ้มจะได้ลูกสาว”
“พี่คมคะ มันอาจเป็นความบังเอิญที่ลูกของเราดวงชะตาแข็งกว่าคนอื่น ถึงสวมสร้อยเส้นนั้นได้ โดยไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน”
“พี่ยังสงสัยที่มาที่ไปของสร้อยเส้นนั้นอยู่ อุ้มไปปลุกลูกเถอะ พี่จะเตรียมของไปกราบหลวงพ่ออุดมเอง”
“ค่ะ ชวนคุณแม่ไปอีกทีสิคะ”
“แม่ไม่ไปด้วยหรอก แกจะอยู่รอหลานจุ๊บแจง”
“งั้นก็ไม่เป็นไร อุ้มกลัวว่าคุณแม่จะน้อยใจ ที่อุ้มไม่ยอมพาลูกไปวัดนางใน”
สามีภรรยาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ภาณินีเขย่าตัวลูกสาว ร้องเรียกดัง ๆ สองสามที ส่วนอธิคมออกไปข้างนอก เพื่อซื้อของไปทำบุญ
ÿ
ที่แกรนด์คอนโดมิเนียม ถนนสุขุมวิท 24 เจ้าขวัญหล้าเรียกหลานชายคนโตมาคุยกันเพียงสองคนในห้องพักของเธอ
“องค์อินทร์ เจ้าเห็นว่า ย่าทำเหลวไหลหรือเปล่า ที่เอาสมบัติล้ำค่าของตระกูลไปให้เด็กสาวคนนั้น”
“เจ้าย่าต้องการความจริงแบบไหนกันล่ะครับ หึ หึ” หลานชายนึกขำ เมื่อคิดถึงภาพเด็กสาวขี้วีน
“ก็ความจริงอย่างที่เจ้าเห็น อย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ”
“เหลวไหลมั้ย ไม่มั้งครับ ผมไม่สนใจสร้อยเส้นนั้นหรอกครับ ของสวย ๆ งาม ๆ อย่างนั้นเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า เจ้าย่าก็มีแต่หลานชายซะด้วย เจ้าย่าเอ็นดูเด็กคนนั้น ถ้าให้ไปแล้วมีความสุข ผมก็มีความสุขด้วย”
“ย่ามีลูกสาว แต่ลูกสาวของย่า เขารักตัวเองมากกว่า รักวงศ์ตระกูล”
“เจ้าย่าครับ เจ้าป้าขวัญสรวงก็เป็นปุถุชนนะครับ อีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็ไม่ได้เป็นเจ้าครองเมืองอย่างบรรพบุรุษกันแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นเราก็จะกลายเป็นพวกหลงชาติภูมิอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
“ว่าแต่ตอนที่หลานเอาสร้อยไปให้อาจารย์ภาณินีมีใครเห็นหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเห็นหรอกฮะ ในห้องแต่งตัวมีผมกับอาจารย์และก็ลูกสาว อาจารย์ภาณินีสวมให้เธอ ก่อนจะส่งตัวมาให้ผมซ้อมบทครั้งสุดท้าย”
“แก้วเก้าเห็นสร้อยใช่มั้ย”
“เห็นสิครับเจ้าย่า เธอสวมสร้อยแล้ว สวยงามมาก แต่ก็คงเข้าใจว่าเป็นเครื่องประดับของกองละครครับ ไม่ได้สงสัยอะไร แต่ปูเป้นี่สิ จ้องมองสร้อยที่คอน้องเก้า จนเสียมารยาท”
“หวังว่าอาจารย์ภาณินีและแก้วเก้าจะรักษาของชิ้นนั้นเอาไว้ได้ เธอเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้ว และย่าก็คิดว่า ย่ามอบให้ไม่ผิดตัวแน่นอน”
“ผู้ถูกเลือก หมายถึงอะไรครับเจ้าย่า”
“ย่าจะบอกหลาน เมื่อถึงเวลาที่สมควรนะองค์อินทร์” เจ้าขวัญหล้าเอนตัวพิงกับพนัก มองหลานชายคนโตนิ่ง ๆ นาน ๆ
เจ้าองค์อินทร์รู้ว่า เจ้าย่ากำลังคิดอ่านทำบางอย่าง ซึ่งเขายังไม่เข้าใจนัก
ÿ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเรียกของเด็กรับใช้ เจ้าองค์อินทร์เดินไปเปิดประตู “มีอะไรหรือ เมียะขิ่น”
“อาจารย์อลงกตโทรมาค่ะ ฝากเรียนท่านว่า ใกล้จะถึงแล้ว”
“ได้ ขอบใจนะ หนูไปบอกเจ้าเทพนรินทร์ด้วย ให้เตรียมตัวเอาไว้เลย อาจารย์จะมารับแล้ว”
“ค่ะ” เมียะขิ่นรับคำแล้วเดินไปที่ห้องของเจ้าเทพนรินทร์
เจ้าองค์อินทร์ปิดประตูห้องแล้วหันไปบอกเจ้าย่า
“อาจารย์อลงกตจะมาถึงแล้วครับ เจ้าย่าแต่งตัวรอเลยนะครับ ผมเองก็จะไปจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วเหมือนกัน”
“ย่าดูหลานมีความสุขมากเชียวนะ พอรู้ว่าจะได้ไปที่บ้านวิริยนันท์” เจ้าขวัญหล้าจับตัวหลานชายให้ยืนตรง ๆ แล้วมองจ้องตาของเขา
“เจ้าย่ารู้ได้ยังไงครับ ผมก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน” แก้มของ ชายหนุ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ ขับผิวขาวของเขาให้ยิ่งขาวขึ้น นัยน์ตาวาวแวว
“นัยน์ตาของหลาน ปิดบังย่าไม่ได้หรอกนะ ย่าน่ะ 79 ปีแล้ว เกิดก่อนหลานตั้ง 50 ปี ย่าอ่านใจเจ้าออกนะ”
“ครับ เจ้าย่าคนเก่งของผม แต่งตัวสวย ๆ นะ” เจ้าองค์อินทร์หอมแก้มเจ้าย่าทั้งสองข้าง
“ย่าอยากมีชีวิตอยู่จนได้เห็นเหลนมาคลาน และวิ่งเล่นเต็มคุ้มแมนรัตน์ของเรา”
“ผมไปอาบน้ำก่อนครับเจ้าย่า”
เจ้าองค์อินทร์หลานชายเดินตัวปลิวออกจากห้องนอนของเจ้าย่า เขาคอยหลบ ๆ เลี่ยง ๆ เวลาเจ้าย่าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะยังไม่เคยมีความคิดเรื่องการแต่งงาน
เจ้าขวัญหล้า เลื่อนบานประตูตู้เสื้อผ้า หยิบชุดสวยที่สุดอย่างที่หลานชายบอก
“ย่ารู้นะ องค์อินทร์ ยังไงย่าก็ยังมีความหวังขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว”
ÿ
ที่บ้านวิริยนันท์ แก้วเก้าถูกแม่ปลุกให้ตื่น พอรู้สึกตัว มือไม้ทั้งสองข้างก็ควานหาสร้อยคอกะลาตาเดียวรูปพระจันทร์เสี้ยว
“แม่ถอดเก็บไว้ให้แล้ว อยู่ในลิ้นชักนั่น”
“เหรอคะแม่ ขอบคุณค่ะ”
"ไปอาบน้ำ แล้วแต่งตัวให้สุภาพนะเก้า ห้ามนุ่งขาสั้น เสื้อยืด เอวลอย”
“แหม แม่คะ นั่นมันชุดโปรดของเก้าเลยนะ” แม่จ้องตาทำท่าเอาเรื่อง
“ได้ค่ะแม่ ชุดนั้นเก้าใส่อยู่กับบ้านเท่านั้นค่ะ แม่จะพาเก้าไปไหนอีกเหรอคะ”
“ไปวัดคลองขนุน ที่เมืองนนท์จ้ะ ไปทำบุญไหว้พระกัน”
“เหรอคะแม่”
“อ้อ ย่านวลจะกลับบ้านนอกแล้ว เก้าลงไปพูดคุยกับย่าบ้างนะลูก วันนี้พี่จุ๊บแจง ลูกสาวอากรณ์ จะมารับกลับ”
“ว้า...เก้ายังไม่หายคิดถึงย่าเลย จะกลับซะแระ”
แก้วเก้ารีบลุกขึ้นจากที่นอน
“นี่เก้ามานอนห้องพ่อกับแม่เหรอคะ”
“อืม เราไปสัญญิง สัญญาอะไรกับพ่อเอาไว้ล่ะ หืม”
แม่ยื่นมือมาทำท่าจะบีบจมูกอีก ลูกสาวหลบมือแม่หัวเราะ ฮ่า ฮ่า แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ÿ
เก้านาฬิกาของวันเดียวกันนั้น รถยนต์ซีอาร์วีสีดำของครบครัวแล่นออกจากบ้านวิริยนันท์ มุ่งหน้าไปตามถนนราชพฤกษ์เข้าสู่เมืองนนทบุรี พร้อมเครื่องสังฆทานสำหรับทำบุญถวายพระสงฆ์ ขณะเดียวกันรถยนต์ยุโรปสีขาวแล่นเข้าซอย สวนทางและคลาดกันอย่างหวุดหวิด
โทรศัพท์มือถือของภาณินีมีเสียงดังขึ้น ขณะที่ในรถยุโรปสีขาวก็มีสายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเจ้าขวัญหล้า
ภาณินีรับโทรศัพท์ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงของพี่ชาย “ฮัลโหล พี่กต ว่าไงคะ”
“เอ้อ...อุ้ม พี่ข้ามคลองมอญมาแล้ว จวนจะถึงบ้านเรา เตรียมต้อนรับแขกด้วยล่ะ”
“อ้าว ทำไมพี่กตไม่โทรบอกก่อนล่ะคะ อุ้มกับพี่คมกำลังจะไปทำบุญที่วัดกัน”
“ไปวัดไหน เดี๋ยวพี่ตามไป พี่อยู่กับเจ้าขวัญหล้า เจ้าาองค์อินทร์ และเจ้าเทพนรินทร์”
ภาณินีปรายสายตามองสามี เขากำลังขับรถ แต่ฟังการสนทนาอยู่อย่างตั้งใจ
“วัดคลองขนุนค่ะ แต่อุ้มคิดว่า คงไม่สะดวกมั้งคะ นัดพบกันเป็นวันอื่นได้มั้ย”
เธอเข้าใจสามีดี เขาอยากพาลูกไปให้ไกลคนเหล่านั้นเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้พบกันก่อนที่ลูกสาวจะพร้อม
ÿ
“อุ้ม เจ้าขวัญหล้าขอพูดด้วย รอนิดนะ” อลงกตยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าขวัญหล้า
“อาจารย์ภาณินีคะ...” น้ำเสียงสั่นเครือ บ่งบอกความอ่อนโรยของสังขาร ผิดกับท่าทีเมื่อเช้านี้
“ดิฉันและหลาน ๆ จะเดินทางกลับเชียงราย เลอสรวงหลานชายอีกคนของดิฉัน คงหมดบุญในเวลาอันใกล้นี้ หมอเนตรดาวบอกว่าร่างกายของเขาเริ่มปฏิเสธสารอาหาร”
“โอ...เจ้าคะ” ภาณินีแตะปลายนิ้วเรียวปิดริมฝีปากของเธอ ดวงตาเบิกกว้าง
“ลูกสาวของดิฉัน ขวัญสรวง รักลูกชายของเขาไม่ต่างอะไรจากจิตใจของผู้เป็นแม่ทุกคน ที่หวาดกลัวอย่างยิ่งต่อการสูญเสียลูกผู้เป็นที่รัก”
“เจ้าคะ ดิฉันเสียใจด้วยจริง ๆ ทำใจดี ๆ ไว้นะคะไม่ทราบว่าคุณเลอสรวงป่วยเป็นอะไร”
“เขาประสบอุบัติเหตุที่อังกฤษเมื่อ 6 เดือนก่อน ตอนนี้กลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ค่ะ”
น้ำเสียงแผ่วเบาจนภาณินีเองก็รู้สึกใจหาย
“เอ้อ พวกเรากำลังจะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดคลองขนุนกันค่ะ ถ้าเจ้าต้องการเพื่อนคุยที่ทำให้สบายใจขึ้นก็เชิญค่ะ ให้อาจารย์อลงกตพามาเลยค่ะ”
“ค่ะ ระ...เราจะตามไป” หญิงชรา น้ำตาไหลรื้น
ในยามความทุกข์เข้าเร้ารุม คำเชิญชวนอันเปี่ยมน้ำใจของภาณินี ช่วยชะโลมความทุกข์ร้อนในใจให้ผ่อนคลายลงไปได้มาก
ภาณินียุติการโต้ตอบกับเจ้าขวัญหล้า แล้วเรียกสามี เบา ๆ “พี่คมคะ…”
หน้าตาของอธิคมเคร่งขรึม “ลูกล่ะ”
“หลับอีกแล้วค่ะ” ภาณินีตอบ พลางลูบผมของลูกสาว “ง่วงนอนบ่อยจริง ๆ ป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า อุ้มไม่อยากปักใจว่าลูกจะถูกเสนียดจัญไรอย่างคุณแม่ว่า พี่คมเข้าใจอุ้มมั้ยคะ”
“เข้าใจทั้งคุณแม่ ทั้งอุ้มนั่นแหละจ้ะ เอ้อ... พี่กตโทรมาว่ายังไง”
ภาณินีถ่ายทอดการสนทนาระหว่างเธอกับเจ้าขวัญหล้าและอลงกตให้สามีฟัง
“สงสารคนพวกนั้นเหรอ”
“ค่ะ เรายังโชคดีกว่าคนอีกเยอะเลยนะคะ ที่ไม่เกิดเรื่องแบบนั้นกับคนในครอบครัวของเรา”
“และถ้าไม่เกิดเรื่องร้าย ๆ กับหลานชาย พวกเขาคงไม่กลับประเทศไทยกันหรอกใช่มั้ย”
“พ่อกับแม่พูดถึงใครอยู่คะ... ” แก้วเก้าทนนอนนิ่ง ๆ สู้กับความอยากรู้อยากเห็นต่อไปไม่ได้
“เก้า! แอบฟังพ่อกับแม่คุยกันเหรอ นี่แน่ะ!” แม่บีบจมูกลูกสาว “เสียมารยาทนะ”
“โอ๊ย ! อืม... แม่คะ จมูกเก้ามันโด่งจนแหลมแล้วค่ะแม่” แก้วเก้ารีบประจบประแจงก่อนที่แม่จะว่ากล่าวมากไปกว่านี้
“ถึงแล้วค่ะแม่ วัดคลองขนุน แต่แม่คะ ทำไมเก้าไม่ยักกะเห็นต้นขนุนสักต้น”
แม่หันไปพูดกับพ่อ “พี่คม ตรงไปที่ศาลาวัดเลยนะคะ ถวายสังฆทานแล้ว เราอาจจะพอมีเวลาคุยกับหลวงพ่อก่อนเวลาเพลสักเล็กน้อย”
“จะว่าไปนะคะแม่ เก้ารู้สึกแปลก ๆ กับละครเรื่องนั้น ยิ่งดูเก้าก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเก้าเป็นลูกของเจ้านพรัตน์กับเจ้านางรัศมีจันทร์นั่นจริง ๆ เขาเก่งนะคะที่เอาเรื่องพวกนี้มาแต่งเป็นละครได้อย่างกับเป็นเรื่องจริง”
“นั่นล่ะ ฝีมือของเจ้าองค์อินทร์” ภาณินีบอกลูกสาว
แก้วเก้านึกถึงที่เจ้าองค์อินทร์ทำกับเธอ เขาล่อหลอกให้เธอเกิดความรู้สึกโกรธ ผิดหวัง เสียใจ และอับจน แต่แล้วจู่จู่ ก็พาเธอเข้าสู่การซ้อมละคร ด้วยบทที่ไม่มีสคริปต์ให้พูด
ÿ
ภาณินีคุยกับสามีต่อ
“พอทราบเรื่องของครอบครัวนี้แล้ว ก็น่าเห็นใจเจ้าขวัญหล้ามาก ๆ นะคะ ทำไมนะ คนที่เกิดมาในฐานะชาติตระกูลสูงส่งกลับมีความทุกข์มากกว่าเราซะอีก” ภาณินีมองเห็นรถยนต์ยุโรปคันหรูตามมาข้างหลัง “พูดถึงก็มาเลย พี่กตกับพวกแมนรัตน์ตามมาแล้วค่ะ”
อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ลงมาจากรถ ต่างช่วยกันหยิบของถวายสังฆทานและดอกไม้ธูปเทียนลงจากรถ
“พี่กต...” ภาณิณีเรียกพี่ชาย
อลงกตยิ้มร่าเดินตรงเข้ามารับหน้าครอบครัวของน้องสาวกระซิบถามเบา ๆ ว่า “อุ้ม พี่หวังว่า พวกเธอคงไม่ได้พากันหลบหนีพวกแมนรัตน์หรอกนะ”
“เปล่าค่ะ เราอยากมากราบหลวงพ่อ ไม่ได้พบท่านนานมากแล้ว สวัสดีค่ะเจ้า”
อลงกตยกมือลูบศีรษะแก้วเก้าอย่างเอ็นดู “เจ้านางน้อยของลุงเหนื่อยมั้ยลูก”
“ไม่เหนื่อยค่ะ แต่เก้างงว่าลุงกตมาที่นี่ถูกได้ยังไง”
“ลุงโทรศัพท์มาถามแม่ของเก้าไง”
“อุ้มว่า เราไปกราบหลวงพ่อกันเถอะค่ะ”
“นี่แม่เรา โกรธลุงหรือไง แหม ลุงก็แหย่หลานเล่นสนุก ๆ เท่านั้น”
หลานสาวยิ้ม คล้องแขนลุงเดินตามแม่และพ่อ
“แม่สั่งเก้าเอาไว้ค่ะ ให้เป็นเจ้านางน้อยเชียงรุ้ง เฉพาะบนเวทีละครเมื่อคืนเท่านั้น ยังกับแม่กลัวว่าเก้าจะกลายเป็นเจ้านางน้อยเชียงรุ้งไปจริง ๆ พอลุงกตเรียกเก้าอย่างนั้น แม่ก็เลยไม่พอใจน่ะสิคะ”
ÿ
บริเวณด้านหน้าศาลาธรรม เรือนไม้เก่าแก่ของวัดคลองขนุน ข้างหน้ากำลังก่อสร้างลานกว้างปูกระเบื้องมอญสีอิฐแดงเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อรองรับญาติโยมที่มาปฏิบัติกันเป็นจำนวนมาก ภาณินีมองไปรอบ ๆ ด้วยความปลื้มปิติที่เห็นผู้คนหลั่งใหลเข้าวัด ร่มเงาไม้ต้นใหญ่ที่กิ่งก้านสาขา ดุจอ้อมแขนของนักบุญ โอบรับผู้ใฝ่หารสธรรมแก่ชีวิต
อธิคม ภาณินี อลงกต เรียงหน้าเข้าไปก้มกราบอยู่ ใกล้ ๆ หลวงพ่อ แก้วเก้าคลานตามติดไปข้างหลังแม่กับพ่อ
ส่วนเจ้าขวัญหล้านั่งพับเพียบเรียบร้อย ท่วงท่า งดงามสมกับเป็นผู้สืบสายเชื้อวงศ์เจ้าเมือง เจ้าองค์อินทร์และเจ้าเทพนรินทร์ นั่งพับเพียบข้างหลังแก้วเก้าอีกที
“กราบนมัสการค่ะ หลวงพ่อ” ภาณินีพนมมือขึ้นแล้ว ก้มลงกราบ
“เจริญพร มากันเยอะแยะเลย” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น สายตาของท่านมองเลยคนทั้งสามไปยังเจ้าขวัญหล้าและหลานชาย ซึ่งเป็นญาติธรรมแปลกหน้ามาใหม่
“เจ้าขวัญหล้าคะ นี่คือ หลวงพ่ออุดม ท่านเป็นเพื่อนรักพ่อของดิฉันมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ...หลวงพ่อคะ นี่เจ้าขวัญหล้า ณ แมนรัตน์ กับหลาน ๆ ของเธอ เดินทางมาจากเชียงรายค่ะ”
“กราบนมัสการค่ะ ท่าน จริง ๆ แล้วเราอยู่กันที่อังกฤษ ดิฉันเพิ่งจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทยได้เพียง 4 - 5 เดือนเท่านั้นค่ะ” เจ้าขวัญหล้าพนมมืออีกครั้ง
“จะมาถวายสังฆทานกันเหรอ นี่ก็จวนถึงเวลาเพลแล้ว เร่งมือกันหน่อยแล้วกัน”
“งั้น พวกเรา ขอถวายสังฆทานก่อนนะคะ เก้า... เข้ามาใกล้ ๆ ลูก” แม่เรียกลูกสาว อธิคมขยับเครื่องถวายสังฆทานส่งไปข้างหน้า
เจ้าองค์อินทร์ยกถังสังฆทานชุดใหญ่ มาวางบนผ้าจีวร สีกลักให้เจ้าย่าของเขาถวายพร้อม ๆ กับครอบครัว “วิริยนันท์”
ÿ
“ตั้งนะโม 3 จบ หลานน้อยน่ะ นำสวดได้มั้ยเรา”
หลวงพ่อส่งกระดาษพิมพ์คำถวายทานให้แก้วเก้า
“ได้ค่ะ สบายมาก”
แก้วเก้าหยิบกระดาษขึ้นมา ขยับไปนั่งข้างหน้าพ่อกับแม่แล้วพนมมือ ส่งเสียงนำตั้งนโมแจ้ว ๆ
หลวงพ่อให้พรแล้วนำสวดแผ่เมตตา และกรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศล อธิคมเทน้ำออกจากที่กรวดน้ำทองเหลือง เจ้าขวัญหล้า กรวดน้ำกับหลาน ๆ อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
“หลวงพ่อคะ” ภาณินีพนมมือ “พอจะมีเวลาสักนิดมั้ยคะ”
“เอาสิ พอจะคุยได้นิดหน่อย” หลวงพ่ออุดมเปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งขัดสมาธิเตรียมลุกขึ้นไปอีกที่หนึ่ง
“ลูกสาวของอุ้มคุยกับใครไม่รู้ค่ะ เราไม่เห็นเขา” ภาณินีกล่าวกับหลวงพ่อเบา ๆหลวงพ่อรับฟังนิ่ง ๆ “หลานน้อยมองเห็นเขาหรือเปล่า”“เห็นค่ะ เราเจอกันแล้วสองครั้ง”หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้ตามนั้นÿแก้วเก้ากับเจ้าองค์อินทร์เอาถาดรองน้ำทองเหลืองไปเทรดน้ำใต้โคนไม้ใหญ่ ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาพร้อม ๆ กัน ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุดมพูดถึงตอนสำคัญพอดี“พ้นสงกรานต์ไปแล้ว อาตมาจะออกธุดงค์ขึ้นเหนือ ไปธรรมจาริก เป้าหมาย คือ พระธาตุหลวงเวียงไชย ให้แก้วเก้าเดินทางไปกับแม่ชีสิ โยมก็ไปด้วย”ภาณินีหันไปหาอธิคม กวักมือเรียกแล้วกระซิบข้อความของหลวงพ่อ“ยายเก้าจะต้องสอบวัดความรู้ อีกสามเดือนข้างหน้าครับ ช่วงนี้ต้องไปกวดวิชาเพิ่มเติม ถ้าลูกสอบเสร็จไปแล้วก็น่าจะไปร่วมงานได้ครับ”“อืม... แล้วอาตมาจะโทรไปบอก หรือโยมจะโทรมาถามเองก็ตามใจ”ÿเจ้าขวัญหล้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับน้ำตา หลวงพ่อเห็นเข้าก็ทักขึ้นว่า “โยมมีเรื่องอะไรทุกข์หนักหนาล่ะนั่น”หลวงพ่อยิ้มนิด ๆ แววตาอ่อนโยน“ดิฉันไปอยู่ต่างประเทศหลายสิ
“อ้าว พี่คม หลวงพ่อล่ะคะ” ทักสามีเมื่อเห็นเขาเปิดประตูออกมาเพียงคนเดียวอธิคมมองหาลูกสาว “ลูกล่ะอุ้ม”เจ้าองค์อินทร์ตอบแทนภาณินี“น้องเก้าเดินเล่นอยู่ที่ลานวัดทางนั้น ผมไปตามให้ครับ”อธิคมชั่งใจอยู่ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเจ้าองค์อินทร์ที่ทำตัวจาบจ้วงกับลูกสาวของเขาเมื่อวันก่อน แต่ภาณินีกลับตัดสินใจรวดเร็วกว่า“พี่ไปตามลูกเองดีกว่าค่ะ” ภาณินีขยับตัว“ให้องค์อินทร์ไปเถอะค่ะ เรารบกวนอาจารย์หลายเรื่องแล้ว เดินไปตามน้องสิลูก” เจ้าขวัญหล้าสั่งหลานชายคนโต“งั้นก็รบกวนด้วยนะคะเจ้า” ภาณินีเกรงใจเจ้าขวัญหล้า ยอมทำตามใจเธอ“ไม่เป็นไรครับ ยินดี” เจ้าองค์อินทร์ลุกขึ้นเจ้าขวัญหล้ายิ้มละไม หลานชายคนโตนิสัยอารีอารอบชอบช่วยเหลือคนอื่น...เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเขาÿลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวน้ำในลำคลองหน้าวัด แก้วเก้ากลับรู้สึกสดชื่น สูดกลิ่นไอระเหยความชื้นเย็น กลิ่นใบไม้และต้นกล้าจากท้องนาท้องทุ่งรอบ ๆ วัด
“เจ้าพ่อ! พี่เลอสรวงน่าสงสารนะครับ เจ้าย่าเพียงแค่อยากชดเชยสิ่งที่เขาไม่มีเหมือนเรา” “นรินทร์ลูกรัก ฟังพ่อนะ ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือ ไอ้ลูกต่างด้าวนั่น อยู่กับปัจจุบันเถิด นรินทร์ ลูกเลิกพร่ำเพ้อ เอาใจเจ้าย่าได้แล้ว องค์อินทร์ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร บอกเขา พ่อไม่มีสมบัติสักชิ้นจะให้เขาหรอกนะ ถ้าเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นั่น” “เจ้าพ่อ!” เจ้าเทพนรินทร์ผงะ “ทำไมครับ ทำไมเจ้าพ่อทำเหมือนไม่รักพี่ชาย” “มันอวดดี อยากให้เรียนกฎหมายดันไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีแก่นสารเอาเสียเลย” “พี่ชายเมเจอร์ลิทเทอเรเจอร์นะครับเจ้าพ่อ ละครน่ะแค่ไมเนอร์เท่านั้น” “จะอะไรก็ช่าง พ่อกับแม่เป็นนักกฎหมาย ลูกก็ต้องเป็นนักกฎหมาย องค์อินทร์มันนอกคอก ไม่สนใจความต้องการของพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่ต้องการมันแล้ว นรินทร์เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะลูก คดีเข้ามาเยอะเลย พ่อทำหามรุ่งหามค่ำทุกคืนไม่ไหวแน่” “ครับเจ้าพ่อ ผมจะรีบกลับไปในวันสองวันนี่แหละครับ ฝากสวัสดีตอนเช้าคุณแม่ด้วยนะครับ”ÿ อธิคม ภาณินี และแก้วเก้า ออกจากวัดคลองขนุน อำเภอเมืองนนทบุรีแล้วก็แวะทำธุระที่โรงพิมพ์หนังสือแถว ๆ ปิ่นเกล้า และรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน
"สวัสดีครับ” อลงกตยื่นมือออกไปจับมือทักทาย“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เจ้าแมนสรวงยื่นมือมาจับเขย่าเบา ๆ “ว่าไงองค์อินทร์”“สวัสดีครับ เจ้าพ่อ” เจ้าองค์อินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีทอมมัส นี่อาจารย์อลงกต สามีของหมอเนตรดาวครับ คุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เจ้าองค์อินทร์ถามบิดาของเขา“ถ้ามาก็ต้องเห็นสิ” เขาตอบลูกชายคนโต แต่เมินมองออกไปทางด้านหลัง “รีบพาพ่อเข้าที่พักเลย” เขาเอ่ยกับลูกชายคนเล็ก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าคำพูดประโยคแรกเจ้าองค์อินทร์เข้าใจบิดาดี เขายิ้ม แล้วยักคิ้วข้างหนึ่งกับน้องชาย สองมือล้วงกระเป๋า ทำเดินตัวเอียง กระซิบบอกน้องชาย “พ่อของนาย แน่มาก”เจ้าเทพนรินทร์อมยิ้ม เอาหัวไหล่กระแทกอกพี่ชาย แล้วเข็นกระเป๋าเดินทางของเจ้าพ่อ พลางชี้มือบอกทางไปยังห้องรับรองÿอลงกตพอจะรู้เรื่องความบาดหมางระหว่างพ่อลูกคู่นี้มาบ้าง เขาจึงรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มเดินช้า ๆ เข้าไปโอบไหล่ “สักวันเจ้าแมนสรวงจะเห็นว่า ลูกชายของเขาคนนี้ คือ ณ แมนรัตน์ ที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง”“ขอบคุณครับ ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้ชีวิตของผมมันดี มันมีความสุข ผมก็จะทำ ผมผิดหรือครับที่ไม
เจ้าขวัญหล้ามองตามปลายนิ้วชี้ประดับแหวนเพชรเม็ดโตของเพื่อน“อ๋อ...นั่นหลานชายคนโตของฉัน องค์อินทร์มานี่สิลูก” เจ้าขวัญหล้ากวักมือเรียก“ครับ เจ้าย่า”“นี่ ๆ มากราบท้าวศรีบุญจันทร์ เพื่อนของย่า สายวงศ์ของเขากับเรากินดองกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของย่าแล้ว พอดีรุ่นของย่า ฝ่ายนั้นก็มีศรีบุญจันทร์ ฝ่ายเราก็มีย่า เราทั้งคู่ก็เลยผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนรักกันแทน”“กราบเจ้าย่าศรีบุญจันทร์ครับ” องค์อินทร์ลงไปคุกเข่ากราบบนตักหญิงชราท้าวศรีบุญจันทร์ยิ้มปลื้มใจ ยกผ้าทอขลิบทองขึ้นเช็ดมือตนเองก่อนจะประคองใบหน้าของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอันแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี”“เหอะ ๆ ๆ “ เจ้าขวัญหล้าหัวเราะเพื่อนรัก “แม่ท้าวศรีบุญจันทร์ ถึงกับเพ้อท่องโคลงสอง ยอยศพระลอออกมาเชียว เจ้าองค์อินทร์เขินจนหน้าแดง “ผมถูกเจ้าย่าศรีบุญจันทร์เกี้ยวหรอกเหรอนี่ โธ่!!” “ใช่ ๆ ย่าเกี้ยวเจ้า แต่เกี้ยวให้หลานสาวของย่าต่างหาก”“เอ้อ...อ้า ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกตกใจไม่น้อย มองหน้าเจ้าย่าขวัญหล้าของเขา พยายามส่งสายตาบอก “ไม่ได้
เจ้าองค์อินทร์มองบนเวทีอีกครั้ง นางกินรีก็รำจบพอดี“พอทราบข่าวจากเจ้าขวัญหล้า เราก็เตรียมงานแสดงชุดนี้มาเป็นของขวัญ ยายเก้าไปเติบโตอยู่ปักษ์ใต้ ถูกคัดตัวไปรำบ่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากจับแต่งชุด ก็รำได้เลยค่ะ” ภาณินีตอบอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกสา“เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางการแสดงนะครับ” เจ้าองค์อินทร์เอ่ยปากชมอย่างจริงใจภาณินีสบตากับอลงกต แล้วยิ้มหวานกับเจ้าองค์อินทร์ “ยินดีกับอาจารย์องค์อินทร์ ณ แมนรัตน์ ด้วยนะคะ”“เอ๋…” เจ้าองค์อินทร์มองอลงกต เห็นสายตาของชายสูงวัยกว่า ก็พอจะเข้าใจ “ตกลงทางมหาวิทยาลัย...”“ครับ อีกสองสัปดาห์อาจารย์ลงไปรายงานตัวได้เลย”“เปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ” เจ้าองค์อินทร์รู้สึกกังวล เขาสัญญาว่าจะบวชให้เจ้าย่าสักครั้ง“อ๋อ...กลับจากงานธรรมจาริก ก็พอดีเปิดเทอมค่ะ แต่ว่าเรื่องการประชุมแผนการเรียนการสอนของสาขาศิลปกรรมและการแสดงนี่ เจ้าคงจะต้องคุยกับท่านคณบดีก่อนนะคะ” ภาณินีหมายถึงอลงกต ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ“ผมจะเสนอแผนการสอนล่วงหน้าได้ก่อนมั้ยครับ หากว่าทางคณะเห็นควรจะปรับอย่างไร ก็ถือไปตามนั้น”“ได้ครับ ฝากผมไปก็ได้ เวลาประชุมก็มาคุยกันเรื่อง การจัดเวลาสอนเด็ก ๆ ถ้าเจ้ารับได
“ขวัญสรวง ลูกช่วยไปดูองค์อินทร์ก่อนนะ ส่วนทอมมัสคุณเจอเรื่องร้ายมามากแล้ว เชิญไปพักผ่อนเถิดค่ะ”ÿทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง เจ้าเทพนรินทร์ก็แผดเสียงใส่เจ้าย่าของเขาอย่างลืมตัว“ผมไม่เชื่อว่าพ่อจะทำอย่างนั้นหรอก!”เจ้าขวัญหล้ายกฝ่ามือขึ้นตบหน้าหลานชายคนเล็กอย่างแรง“นรินทร์! หลานไม่เคยหยาบคายกับย่าอย่างนี้มาก่อนเลยนะ””เจ้าย่าก็ไม่เคยตบหน้าผมเหมือนกัน ไม่รู้กันหรือไง พี่ชายแก้แค้น เอาคืนที่เจ้าพ่อไม่รักเขา พี่ชายเป็นลูกอกตัญญูนะ”“หลานต่างหาก ที่ตาบอดสนิท ถ้าองค์อินทร์ไม่เข้าไปช่วยทอมมัส ทอมมัสคงถูกพ่อของหลานฆ่าไปแล้ว และพ่อของหลานก็จะกลายเป็นฆาตรกรสองศพทันที”“อะ...อะไรนะครับ เจ้าย่า” เจ้าเทพนรินทร์ชะงักกึก หน้าซีดเผือด “สองศพ...ใคร...ใครกัน” “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลุงสมิธและเลอสรวง มีพ่อของหลานอยู่เบื้องหลัง” เจ้าเทพนรินทร์เหมือนโดนทุบศีรษะอย่างแรง “เจ้าย่าเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำเจ้าพ่ออีกล่ะครับ” “ตำรวจจับตัวคนร้ายได้แล้ว เขาซัดทอดมาถึงพ่อของหลาน และพ่อของหลานเองก็ได้พูดความจริงออกมาแล้ว”“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทำอย่างนั้นทำไมกัน”“พ่อของหลานเจต
หมอเนตรดาวนึกย้อนหลังไปว่าช่วงเวลานั้นครอบครัวพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่ พอนึกขึ้นมาได้ก็ร้องขึ้น “อ๋อ!” ขึ้นมานายตำรวจมองหมอเนตรดาวอย่างสนใจ “มีอะไรครับ” “ช่วงนั้น พวกเรา ... เอ้อ... ญาติ ๆ ดิฉันที่มาจากกรุงเทพนี่แหละค่ะ เข้าไปในงาน ยังเจอกับเจ้าแมนสรวงอยู่เลย ดิฉันเอง ที่เห็นว่าข้อศอกของเจ้าแมนสรวงมีบาดแผลเลือดไหลซึม” “แล้วยังไงต่อครับ” “เจ้าขวัญหล้าก็เลยให้ลูกชายกลับไปทำแผลค่ะ” “แล้วเจ้าองค์อินทร์กับคุณเอดการ์ดนั่นอยู่ในงานหรือเปล่าครับ” “ดิฉันไม่เห็นทอมมัสเลยค่ะ เจ้าองค์อินทร์ดิฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาหายไปตอนไหนจนกระทั่งโชว์สุดท้าย เขาเข้ามาในงานพร้อม ๆ กัน”“งั้นก็แสดงว่า เจ้าองค์อินทร์ออกไปตามหาคุณเอดการ์ด ทอมมัส ตามคำให้การของเจ้าขวัญหล้า” นายตำรวจ บอกกับหมอเนตรดาวอย่างสุภาพ “ขอเชิญบันทึกถ้อยคำไว้เป็นพยานนะครับ คุณเป็นอะไรกับคนที่นี่ครับ” “ดิฉันเป็นหมอพิเศษมาดูแลอาการทางระบบประสาทของคุณเลอสรวงค่ะ” “เจ้าแมนสรวงเป็นยังไงบ้างคะ หมายถึงสุขภาพของเขา” ภาณินีถาม “ที่นี่ตอนกลางคืนอา
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ