หลังจากนั้นสามวัน บัดนี้ลู่อี้ชิงยืนอยู่หน้าแทนพิธีและกำลังทำพิธีแต่งงานโดยมีเจ้าบ่าวคือป้ายวิญญาณของคุณชายใหญ่หม่่าเฟยหลง อี้ชิงทำตามคำสั่งของแม่สื่อวัยกลางคนที่ยืนกำกับพิธีอยู่ข้างๆ โดยมีคนที่ร่วมในพิธีคือฮูหยินใหญ่และทุกคนในตระกูลหม่าที่แต่งกายสีแดงด้วยชุดปราณีตงดงามเข้าร่วมพิธี โดยมีมารดาของอี้ชิงนั่งอยู่ที่โต๊ะมุกที่เรียงรายสองข้างทางในห้องโถงใหญ่นั้น ขณะที่อี้ชิงคำนับฟ้าและไหว้บรรบุรุษอยู่นั้นอยู่ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังครืนเสียงดังก้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าวันนี้จะมีฝนตก เสียงฟ้าร้องเสียงดังคำรามก้องอยู่ชั่วครู่ แต่ทั้งซินแสที่มากำกับการทำพิธีแต่งงานในวันนี้กับแม่สื่อสูงวัยต่างทำพิธีต่ออย่างไม่สนใจเสียงฟ้าที่คำรามก้องเสียงดังน่ากลัวนั้น
เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแม่สื่อก็จูงมืออี้ชิง ในชุดเจ้าสาวที่ปราณีตงดงามมีเครื่องประดับเป็นพลอยสีแดงและมงกุฏหงส์ที่งดงามยิ่งนัก นับเป็นอาภรณ์ที่งดงามที่สุดในชีวิตของลู่อี้ชิงที่บัดนี้กลายเป็นหม่าอี้ชิงสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหม่าแล้ว นางเดินตามแม่สื่อมุ่งตรงไปยังเรือนขนาดกลางที่ตั้งอยู่เป็นเรือนหลังสุดท้ายของหมู่เรือนขนาดต่างๆที่เรียงรายนับจากเรือนหลักที่นางเพิ่งไปเข้าพิธีแต่งงานมา
จนเมื่อแม่สื่อจูงเจ้าสาวหมาดๆเดินเข้าไปในเรือนขนาดกลางที่มีโคมไฟสีแดงดวงใหญ่แขวนอยู่หน้าเรือนนั้นแล้ว และปิดประตูตามหลัง เสียงฟ้าคำรามที่ดังอยู่เมื่อครู่ก็เงียบสงบลงทันทีเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และท้องฟ้าก็ยังไม่มีเค้าว่าจะมีฝนตกเลย ท้องฟ้ากระจ่างใสดังเดิม
ที่หน้าเรือนหลักก็มีงานเลี้ยงเล็กๆ แต่มารดาของอี้ชิงบอกกับนางว่าคงจะขอลากลับจวนเลยหากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานแล้ว แม้มารดาไม่ได้เต็มใจให้นางแต่งงานกับเจ้าบ่าวที่ตายไปแล้วเช่นนี้เลย แต่บัดนี้บ้านลู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก หากปล่อยให้ถูกยึดบ้าน ทั้งมารดาและน้องที่ยังเล็กทั้งสองจะต้องลำบาก อี้ชิงจึงตัดสินใจเสียสละตนเองแต่งงานเข้าตระกูลหม่าไป นางคิดว่านางอยู่ได้ เพราะชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่ได้สุขสบายอะไร นางเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อนาคตคงจะหนีไม่พ้นเป็นแม่ค้าในตลาดดังเช่นมารดา หรืออาจจะได้สามีที่มีฐานะดีกว่านางเล็กน้อย
ถึงแม้จะได้สามีฐานะร่ำรวยโอกาสที่จะได้เป็นฮูหยินเอกนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ อาจจะแต่งเข้าอยู่ในจวนใหญ่ในตำแหน่งอนุเพียงเท่านั้นหรืออาจจะแย่กว่านั้นเพราะนางเป็นแค่หญิงชาวบ้าน ไม่ได้มีฐานะและครอบครัวที่มีฐานะสูงส่งอันใด ที่จริงแล้วหากคุณชายใหญ่ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่นางไม่มีทางจะได้แต่งงานกับเขาหรอก เพราะเขาก็ถือว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์เป็นคุณชายใหญ่ในตระกูลคหบดีที่ร่ำรวย ย่อมจะต้องหาภรรยาที่ฐานะเสมอกัน แต่ด้วยเขาเสียชีวิตไปแล้ว จะมีหญิงใดกันที่ปรารถนาจะแต่งงานกับเขา นอกจากฮูหยินขัดดอกเช่นนาง
เฮ้อ !! ขณะที่นั่งอยู่บนเตียงวิวาห์ที่ทั้งห้องที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยโคมไฟและผ้าม่านสีแดงดูสว่างไสวไปทั้งห้อง อี้ชิงก้มลงมองผ้าปูที่นอนสีแดงผ้ามันระยับเนื้อนุ่มนิ่มอย่างที่ในชีวิตของนางไม่เคยได้เอนกายบนฟูกนุ่มและผ้าปูนุ่มมือเช่นนี้มาก่อน หมอนหนุนก็นุ่มฟูและมีปลอกหมอนสีแดงปักรูปนกยวนยางเอาไว้กลางหมอน เตียงสี่เสาหลังใหญ่มากและมีผ้าม่านโปร่งบางสีแดงแขวนเอาไว้ทั้งสี่เสา อี้ชิงหันมองไปรอบๆ น่าเสียดายแท้ๆ หากมีเจ้าบ่าวที่หล่อเหลา รูปร่่างล่ำสันบึกบึนดวงตมคมปากหนาหยักน่าสัมผัสสักคนก็คงจะดีอี้ชิงครุ่นคิด ขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆห้องนางก็พลันสะดุดตากับภาพเขียนผืนใหญ่ที่แขวนเอาไว้ที่ข้างฝาผนังด้านหนึ่ง อี้ชิงจึงได้ลุกขึ้นจากฟูกหนานุ่มแล้วเดินตรงไปที่ภาพเขียนที่แขวนเอาไว้นั้น
นางจ้องมองบุรุษในภาพเขียน เขาเป็นบุรุษที่ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน รูปร่างสูงสง่าองอาจ ทรวงอกผึ่งผายหากนางได้เอนกายพิงซบคงจะอบอุ่นไม่น้อย ในภาพเขาแต่งกายด้วยชุดหรูหราสีเข้ม ดังเช่นคุณชายในตระกูลสูงที่นางเคยเห็นผ่านตามาบ้าง อี้ชิงมองสบตาบุรุษในภาพเขียนนั้น แล้วรำพึงเบาๆกับเขาว่า “ ท่านคงจะเป็นคุณชายใหญ่หม่าเฟยหลงใช่หรือไม่ ข้าแต่งงานกับท่านแล้วนะ ตอนนี้เป็นฮูหยินของท่านแล้ว แต่มันก็หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปปีกว่าๆแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักนะเจ้าคะที่เราไม่มีโอกาสได้พบกัน ท่านหล่อเหลามากนะเจ้าค่ะ ”
อี้ชิงมองสบตาชายในภาพเขียนแล้วเอ่ยเบาๆบอกเขา นางจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เฮ้อ!! ข้าคงจะบ้าไปแล้ว แต่งงานกับคนที่ตายไปแล้ว แถมยังมายืนคุยกับภาพเขียนของเขาอีก อี้ชิงส่ายศีรษะให้กับความเพี้ยนของตนเอง ผีไม่มีจริงเสียหน่อย นางหันมองไปรอบๆห้องแล้วรู้สึกวังเวงขึ้นมา แล้วจึงได้รีบเดินไปที่หลังฉากกั้นเพื่อผลัดอาภรณ์ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถอดมงกุฏหงส์เลยจึงได้เดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจ้องมองใบหน้าหวานของตนเองในคันฉ่อง นางเพ่งพิศตนเองแล้วพบว่าสาวใช้ในจวนนี้แต่งหน้านางอย่างงดงามไม่น้อย มันเข้มอย่างที่นางไม่เคยแต่งมาก่อน แต่ก็ดูเหมาะกับอาภรณ์นี้ อี้ชิงค่อยๆพยายามแกะมงกุฏหงส์และเครื่องประดับบนเรือนผมนุ่มสลวยของนาง
จนหมดแล้วถอดตุ้มหูออกเป็นชิ้นสุดท้าย นางหยิบปิ่นปักผมที่ดูหรูหราไม่น้อยนั้นขึ้นมามอง มันงดงามมากมีพลอยประดับหลากสี เครื่องประดับเหล่านี้นางไม่เคยได้สวมมาก่อนนี่เป็นครั้งแรก เมื่อเพ่งพิศมันจนพอใจแล้ว จึงได้เดินกลับไปหลังฉากกั้นแล้วลงมือถอดอาภรณ์ออกจนร่างอวบเปลือยเปล่า นางได้ผิวขาวผ่องมาจากมารดาที่เมื่อครั้งยังสาวนางเป็นหญิงงามประจำหมู่บ้านแต่เสียดายได้สามีที่รูปหล่อแต่ไม่ขยันทำการงานใดๆทำให้นางลำบากจนความงามในอดีตแทบจะไม่หลงเหลือ
ร่างอวบที่เปลือยเปล่าเดินนำชุดเจ้าสาวไปใส่ลงตระกร้าผ้ามุมห้องแล้วหยิบผ้าผืนใหญ่มาพาดไว้ที่ราวไม้ใกล้กับถังอาบน้ำที่ยังมีไอน้ำลอยขึ้นมาแสดงว่าน้ำยังคงอุ่นอยู่ อี้ชิงจึงได้รีบก้าวลงถังอาบน้ำใบใหญ่่ นางทรุดนั่งลงพลางหลับตานอนเอนกายแช่น้ำอุ่นอย่างสบายใจ ชีวิตฮูหยินในจวนใหญ่มันสบายเช่นนี้เอง ทุกอย่างพร้อมสรรพไม่ต้องลงมือทำเองเลยแม้แต่เพียงอย่างเดียว ขณะที่คนงามกำลังหลับตาผ่อนคลายอยู่นั้น ก็มีเสียงถอนหายใจของบุรุษดังขึ้น
เสียงนั้นไม่เบานัก นางได้ยินชัดเจน อี้ชิงลืมตาขึ้นทันทีแล้วหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียงนั้น แต่นางก็ไม่พบใครแม้แต่เพียงคนเดียว อี้ชิงรีบลงมือขัดถูเนื้อตัวอย่างเร่งรีบจนสะอาดดีแล้ว นางก็ลุกขึ้นก้าวออกจากถังอาบน้ำนั้น แล้วไปยืนเช็ดเนื้อตัวจนแห้งและลงมือทาครีมประทินผมจนทั่วกายอวบ ขณะนั้นนางรู้สึกถึงฝ่ามือหนาๆคู่หนึ่งลูบที่ช่วงเอวของนางเบาๆ อี้ชิงหันซ้ายขวามองเช่นเดิม แต่ก็ยังคงไม่เห็นใคร นางคิดว่านางคงจะคิดกลัวไปเองเพราะนางผิดที่ ไม่เคยอยู่ที่นี่จึงรู้สึกแปลกๆ
“ ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรหรอก ” แล้วอี้ชิงก็เปิดตู้เสื้อผ้าค้นชุดคลุมตัวยาวเนื้อผ้าบางเบามันลื่นนุ่มมืออย่างยิ่ง มาสวมใส่บนร่างอวบเพียงตัวเดียว เมื่อสวมลงบนร่างอวบแล้วรู้สึกสบายเนื้อตัวอย่างยิ่ง นางจึงไม่ได้สวมกางเกงและเอี๊ยมข้างในอีกชั้นหนึ่ง เพราะนอนแค่เพียงผู้เดียวคงไม่มีอะไร แล้วนางจึงได้เดินไปทรุดนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือทาเครื่องประทินผิวเพื่อบำรุงผิวหน้าและลำคอขาวผ่องน่าลูบไล้ เครื่องประทินผิวที่มีกลิ่นหอมเหล่านี้ราคาคงจะแพงมาก นางไม่เคยใช้มาก่อน เมื่อทาแล้วรู้สึกสบายผิวดี อี้ชิงหยิบหวีมาสางผมนุ่มสลายที่ยาวจนถึงกลางหลังของนางช้าๆ จนมันนุ่มสลวย แล้วจึงได้เดินไปรินน้ำดื่มเล็กน้อยพอให้ชุ่มคอแล้วจึงได้เดินที่เตียงนอนใหญ่เพื่อเข้านอน นางเป็นเจ้าสาวที่จะว่าไปก็อนาถไม่น้อย เข้าหอโดยที่ไม่ต้องรอเจ้าบ่าวดังเช่นเจ้าสาวคนอื่นๆ เพราะคงไม่มีวันที่เจ้าบ่าวของนางจะมาเข้าหออี้ชิงครุ่นคิดขณะที่นางเอนกายลงนอนบนหมอนนุ่มๆแล้วดึงผ้าผวยผ้านุ่มลื่นห่มสบายตัวอย่างยิ่งขึ้นมาห่มบนร่างอวบแล้วหลับพริ้มลงทันที เวลาผ่านไปอี้ชิงที่เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกับการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในวันนี้ก็หลับผล็อยไปทัน
คุณชายหนุ่มจูบปากอวบอิ่มของเมียหมาด ๆ ของเขาอย่างเร่าร้อน เขาทั้งดูดลิ้นเล็กของนางและส่งลิ้นสากเข้าเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของนางอย่างเมามัน อี้ชิงที่เคลิบเคลิ้มด้วยจูบที่หลอกล่อให้นางหลงมัวเมาจนหลงลืมไปสิ้น ตัวของนางเหมือนล่องลอยเบาหวิว ขณะนั้นร่างหนาก็ดันท่อนเอ็นแข็งชันของเขาเข้าไปจนมิดลำกาย รูสวาทของนางบีบท่อนเอ็นแข็งขึงของเขาจนมันเจ็บไปหมด แต่ก็เสียวมากเช่นกัน เมื่อแช่เอาไว้เพียงครู่เขาก็ค่อยขยับมันเข้าออกช้าๆเข้าสุดออกสุดด้วยจังหวะเนิบนาบแล้วก็ค่อยเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นโยกขย่มร่างอวบของเมียหมาดๆอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น บั้นเอวหนาของเขาเหมือนมันมีชีวิตของตนเอง มันโยกอย่างบ้าคลั่งทิ่มแทงร่องอวบของนางอย่างเมามัน จนกระทั่ง “ ข้าจะเสร็จแล้ว จะเสร็จแล้วนายท่าน ” อี้ชิงร้องครวญครางจนแทบไม่มีเสียง เพราะนางเสียว เสียวจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว สะโพกอวบกระตุกหลายๆครั้งแล้วน้ำรักของนางก็ไหลออกมาอย่างมากมาย ขณะที่บั้นเอวสอบก็โยกแทงเข้าออกรูสวาทของนางอย่างบ้าคลั่งจนสะโพกหนาของเขากระตุกเกร็งหลายครั้งแล้วแตกพ่ายปล่อยน้ำรักอุ่นๆเข้าไปในรูสวาทของเจ้าสาวหมาดๆ จนหมดทุกหยาดหยุด เงาร่างหนาหอบอย
ยามเฉินมีเสียงเคาะประตูเรือนเบาๆ แล้วก็มีีเสียงเปิดประตูเข้ามาและมีเสียงฝีเท้าเดินเบาๆเข้ามาจนถึงหน้าห้องนอนยกมือเคาะอีกครั้งแล้วจึงได้เปิดเข้ามา สาวใช้ตัวเล็กที่มีผมสองจุกบนหัวของนางโผล่หน้าเข้ามาตามมาด้วยบ่าวชายที่ยกถังน้ำร้อนเข้ามาสองคน หย่งเอ๋อก้าวเข้ามาเปิดประตูออกกว้าง “ พวกเจ้ารีบเข้ามาเร็วๆเข้า ” นางกระซิบเบาๆบอกพวกเขา บ่าวชายสองคนรีบหิ้วถังน้ำร้อนใบใหญ่เดินตรงไปที่หลังฉากกั้นแล้วรีบปล่อยน้ำในอ่างออกจนหมด แล้วยกถังน้ำร้อนเทเข้าไปในถังจ้วงตักน้ำในโอ่งใบใหญ่ที่เป็นน้ำเย็นลงผสมในอ่างจนอุ่นจัด“ เสร็จแล้วหย่งเอ๋อ พวกข้าไปก่อนนะ ” บ่าวชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแล้วพวกเขาก็เร่งฝีเท้าก้าวออกไปจากห้องนั้นพร้อมกับหิ้วถังไม้ใบใหญ่นั้นกลับไปด้วย “ เดี๋ยวพวกเจ้า ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนหรือไงกัน ” แต่เสียงของหย่งเอ๋อนั้นก็ไม่มีผู้ใดอยู่ฟังนาง บ่าวชายทั้งสองนั้นพร้อมที่จะไม่ฟังเสียงใดๆอยู่แล้ว ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเร่งฝีเท้าออกไปจากเรือนหลังนี้อย่างเร่งรีบ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะพวกเขาเสร็จหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปในเรือนหลังนี้ในวันนี้แล้ว งานของผู้อื่นนั้นก็เรื่องของพวกเขาก็แล้วกัน แม้จะเห็น
“ มีใครอยู่หรือไม่ ” เสียงผู้ชายตะโกนอยู่หน้าประตูจวนหลังเล็กๆของบ้านลู่ ที่มีอาชีพค้าขายไข่ไก่และผักสดที่ปลูกเองในที่ดินผืนเล็กของพวกเขา ครอบครัวนี้มีบุตรสาวคนโตคือลู่อี้ชิง และมีบุตรชายคนกลางและคนเล็กอีกสองคนซึ่งอายุแค่เพียงสิบปีและแปดปีตามลำดับ ทำให้ภาระหน้าที่แบ่งเบางานบ้านและออกไปช่วยมารดาค้าขายที่ตลาดสดในยามอิ๋น (ตีสามกว่า )ถึงยามเฉิน (แปดโมงเช้านิดๆ ) เป็นของอี้ชิง ครอบครัวนี้เลี้ยงไก่เอาไว้ขายจำนวนไม่มากนัก มีไก่เพียงห้าเล้าและพื้นที่ดินนอกเหนือจากนั้นก็ปลูกผักกาดขาวและพืชผักต่างๆสลับกันไป เอาไว้ขายที่ตลาดและมักจะมีเพื่อนบ้านมาขอซื้อของที่ด้วย ที่จริงแล้วหากใช้จ่ายอย่างประหยัดและขยันขันแข็งก็พอประทังชีวิตกันไปได้ไม่เดือดร้อนมากนัก แต่ด้วยพ่อบ้านคือลู่อี้ถังนั้นเป็นชายที่ไม่เอาถ่านเลยแม้เพียงสักน้อย เขาเป็นคนจับจดตอนแต่งงานใหม่เขาก็ช่วยงานอยู่บ้าง แต่นานๆเขาก็เบื่อหน่ายออกไปเล่นการพนันโถ่โปและบ่อนเล็กบ่อนน้อยในเมือง บางวันก็ได้เงินมาและซื้อกับข้าวและของใช้เข้าบ้าน แต่บางวันก็หมดตัวมารีดไถภรรยาที่บ้านเช่นกัน เรื่องเช่่นนี้อี้ชิงบุตรสาวคนโตเห็นจนชินตา ขณะนั้นสองแม่ลูกเพิ่งกลับ
ยามเฉินมีเสียงเคาะประตูเรือนเบาๆ แล้วก็มีีเสียงเปิดประตูเข้ามาและมีเสียงฝีเท้าเดินเบาๆเข้ามาจนถึงหน้าห้องนอนยกมือเคาะอีกครั้งแล้วจึงได้เปิดเข้ามา สาวใช้ตัวเล็กที่มีผมสองจุกบนหัวของนางโผล่หน้าเข้ามาตามมาด้วยบ่าวชายที่ยกถังน้ำร้อนเข้ามาสองคน หย่งเอ๋อก้าวเข้ามาเปิดประตูออกกว้าง “ พวกเจ้ารีบเข้ามาเร็วๆเข้า ” นางกระซิบเบาๆบอกพวกเขา บ่าวชายสองคนรีบหิ้วถังน้ำร้อนใบใหญ่เดินตรงไปที่หลังฉากกั้นแล้วรีบปล่อยน้ำในอ่างออกจนหมด แล้วยกถังน้ำร้อนเทเข้าไปในถังจ้วงตักน้ำในโอ่งใบใหญ่ที่เป็นน้ำเย็นลงผสมในอ่างจนอุ่นจัด“ เสร็จแล้วหย่งเอ๋อ พวกข้าไปก่อนนะ ” บ่าวชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแล้วพวกเขาก็เร่งฝีเท้าก้าวออกไปจากห้องนั้นพร้อมกับหิ้วถังไม้ใบใหญ่นั้นกลับไปด้วย “ เดี๋ยวพวกเจ้า ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนหรือไงกัน ” แต่เสียงของหย่งเอ๋อนั้นก็ไม่มีผู้ใดอยู่ฟังนาง บ่าวชายทั้งสองนั้นพร้อมที่จะไม่ฟังเสียงใดๆอยู่แล้ว ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเร่งฝีเท้าออกไปจากเรือนหลังนี้อย่างเร่งรีบ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะพวกเขาเสร็จหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปในเรือนหลังนี้ในวันนี้แล้ว งานของผู้อื่นนั้นก็เรื่องของพวกเขาก็แล้วกัน แม้จะเห็น
คุณชายหนุ่มจูบปากอวบอิ่มของเมียหมาด ๆ ของเขาอย่างเร่าร้อน เขาทั้งดูดลิ้นเล็กของนางและส่งลิ้นสากเข้าเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของนางอย่างเมามัน อี้ชิงที่เคลิบเคลิ้มด้วยจูบที่หลอกล่อให้นางหลงมัวเมาจนหลงลืมไปสิ้น ตัวของนางเหมือนล่องลอยเบาหวิว ขณะนั้นร่างหนาก็ดันท่อนเอ็นแข็งชันของเขาเข้าไปจนมิดลำกาย รูสวาทของนางบีบท่อนเอ็นแข็งขึงของเขาจนมันเจ็บไปหมด แต่ก็เสียวมากเช่นกัน เมื่อแช่เอาไว้เพียงครู่เขาก็ค่อยขยับมันเข้าออกช้าๆเข้าสุดออกสุดด้วยจังหวะเนิบนาบแล้วก็ค่อยเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นโยกขย่มร่างอวบของเมียหมาดๆอย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่งขึ้น บั้นเอวหนาของเขาเหมือนมันมีชีวิตของตนเอง มันโยกอย่างบ้าคลั่งทิ่มแทงร่องอวบของนางอย่างเมามัน จนกระทั่ง “ ข้าจะเสร็จแล้ว จะเสร็จแล้วนายท่าน ” อี้ชิงร้องครวญครางจนแทบไม่มีเสียง เพราะนางเสียว เสียวจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว สะโพกอวบกระตุกหลายๆครั้งแล้วน้ำรักของนางก็ไหลออกมาอย่างมากมาย ขณะที่บั้นเอวสอบก็โยกแทงเข้าออกรูสวาทของนางอย่างบ้าคลั่งจนสะโพกหนาของเขากระตุกเกร็งหลายครั้งแล้วแตกพ่ายปล่อยน้ำรักอุ่นๆเข้าไปในรูสวาทของเจ้าสาวหมาดๆ จนหมดทุกหยาดหยุด เงาร่างหนาหอบอย
“ ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรหรอก ” แล้วอี้ชิงก็เปิดตู้เสื้อผ้าค้นชุดคลุมตัวยาวเนื้อผ้าบางเบามันลื่นนุ่มมืออย่างยิ่ง มาสวมใส่บนร่างอวบเพียงตัวเดียว เมื่อสวมลงบนร่างอวบแล้วรู้สึกสบายเนื้อตัวอย่างยิ่ง นางจึงไม่ได้สวมกางเกงและเอี๊ยมข้างในอีกชั้นหนึ่ง เพราะนอนแค่เพียงผู้เดียวคงไม่มีอะไร แล้วนางจึงได้เดินไปทรุดนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือทาเครื่องประทินผิวเพื่อบำรุงผิวหน้าและลำคอขาวผ่องน่าลูบไล้ เครื่องประทินผิวที่มีกลิ่นหอมเหล่านี้ราคาคงจะแพงมาก นางไม่เคยใช้มาก่อน เมื่อทาแล้วรู้สึกสบายผิวดี อี้ชิงหยิบหวีมาสางผมนุ่มสลายที่ยาวจนถึงกลางหลังของนางช้าๆ จนมันนุ่มสลวย แล้วจึงได้เดินไปรินน้ำดื่มเล็กน้อยพอให้ชุ่มคอแล้วจึงได้เดินที่เตียงนอนใหญ่เพื่อเข้านอน นางเป็นเจ้าสาวที่จะว่าไปก็อนาถไม่น้อย เข้าหอโดยที่ไม่ต้องรอเจ้าบ่าวดังเช่นเจ้าสาวคนอื่นๆ เพราะคงไม่มีวันที่เจ้าบ่าวของนางจะมาเข้าหออี้ชิงครุ่นคิดขณะที่นางเอนกายลงนอนบนหมอนนุ่มๆแล้วดึงผ้าผวยผ้านุ่มลื่นห่มสบายตัวอย่างยิ่งขึ้นมาห่มบนร่างอวบแล้วหลับพริ้มลงทันที เวลาผ่านไปอี้ชิงที่เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกับการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในวันนี้ก็หลับผล็อยไปทัน
หลังจากนั้นสามวัน บัดนี้ลู่อี้ชิงยืนอยู่หน้าแทนพิธีและกำลังทำพิธีแต่งงานโดยมีเจ้าบ่าวคือป้ายวิญญาณของคุณชายใหญ่หม่่าเฟยหลง อี้ชิงทำตามคำสั่งของแม่สื่อวัยกลางคนที่ยืนกำกับพิธีอยู่ข้างๆ โดยมีคนที่ร่วมในพิธีคือฮูหยินใหญ่และทุกคนในตระกูลหม่าที่แต่งกายสีแดงด้วยชุดปราณีตงดงามเข้าร่วมพิธี โดยมีมารดาของอี้ชิงนั่งอยู่ที่โต๊ะมุกที่เรียงรายสองข้างทางในห้องโถงใหญ่นั้น ขณะที่อี้ชิงคำนับฟ้าและไหว้บรรบุรุษอยู่นั้นอยู่ๆ เสียงฟ้าร้องก็ดังครืนเสียงดังก้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าวันนี้จะมีฝนตก เสียงฟ้าร้องเสียงดังคำรามก้องอยู่ชั่วครู่ แต่ทั้งซินแสที่มากำกับการทำพิธีแต่งงานในวันนี้กับแม่สื่อสูงวัยต่างทำพิธีต่ออย่างไม่สนใจเสียงฟ้าที่คำรามก้องเสียงดังน่ากลัวนั้น เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแม่สื่อก็จูงมืออี้ชิง ในชุดเจ้าสาวที่ปราณีตงดงามมีเครื่องประดับเป็นพลอยสีแดงและมงกุฏหงส์ที่งดงามยิ่งนัก นับเป็นอาภรณ์ที่งดงามที่สุดในชีวิตของลู่อี้ชิงที่บัดนี้กลายเป็นหม่าอี้ชิงสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหม่าแล้ว นางเดินตามแม่สื่อมุ่งตรงไปยังเรือนขนาดกลางที่ตั้งอยู่เป็นเรือนหลังสุดท้ายของหมู่เรือนขนาดต่างๆที่เรียงรายนับจากเรือนหลักที่นางเ
“ มีใครอยู่หรือไม่ ” เสียงผู้ชายตะโกนอยู่หน้าประตูจวนหลังเล็กๆของบ้านลู่ ที่มีอาชีพค้าขายไข่ไก่และผักสดที่ปลูกเองในที่ดินผืนเล็กของพวกเขา ครอบครัวนี้มีบุตรสาวคนโตคือลู่อี้ชิง และมีบุตรชายคนกลางและคนเล็กอีกสองคนซึ่งอายุแค่เพียงสิบปีและแปดปีตามลำดับ ทำให้ภาระหน้าที่แบ่งเบางานบ้านและออกไปช่วยมารดาค้าขายที่ตลาดสดในยามอิ๋น (ตีสามกว่า )ถึงยามเฉิน (แปดโมงเช้านิดๆ ) เป็นของอี้ชิง ครอบครัวนี้เลี้ยงไก่เอาไว้ขายจำนวนไม่มากนัก มีไก่เพียงห้าเล้าและพื้นที่ดินนอกเหนือจากนั้นก็ปลูกผักกาดขาวและพืชผักต่างๆสลับกันไป เอาไว้ขายที่ตลาดและมักจะมีเพื่อนบ้านมาขอซื้อของที่ด้วย ที่จริงแล้วหากใช้จ่ายอย่างประหยัดและขยันขันแข็งก็พอประทังชีวิตกันไปได้ไม่เดือดร้อนมากนัก แต่ด้วยพ่อบ้านคือลู่อี้ถังนั้นเป็นชายที่ไม่เอาถ่านเลยแม้เพียงสักน้อย เขาเป็นคนจับจดตอนแต่งงานใหม่เขาก็ช่วยงานอยู่บ้าง แต่นานๆเขาก็เบื่อหน่ายออกไปเล่นการพนันโถ่โปและบ่อนเล็กบ่อนน้อยในเมือง บางวันก็ได้เงินมาและซื้อกับข้าวและของใช้เข้าบ้าน แต่บางวันก็หมดตัวมารีดไถภรรยาที่บ้านเช่นกัน เรื่องเช่่นนี้อี้ชิงบุตรสาวคนโตเห็นจนชินตา ขณะนั้นสองแม่ลูกเพิ่งกลับ