นี่เขาเพิ่งถามขึ้นมาสองสามประโยคเท่านั้น ตงเฉิงก็ทนไม่ไหวจนต้องออกหน้ามาช่วยเวินเหลียงแล้วอู๋ฮ่าวหรันแอบพูดในใจว่า เวินเหลียงนี่มีกลยุทธ์เด็ดสุดยอดอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ถ้าขืนปล่อยให้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปแบบนี้ อาจทำให้เธอบรรลุผลที่ปรารถนาได้จริง ๆ“ฉันก็แค่สงสัยเอง?” อู๋ฮ่าวหรันฉีกยิ้ม กลัวจะแตกหักกับฮั่วตงเฉิง จึงไม่ได้ถามต่อเขาจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป“ไม่ได้เล่นมานานแล้ว คันไม้คันมือชะมัด มาเล่นสักสองสามตาดีไหม?” เฉินชวนชี้ไปที่โต๊ะเล่นไพ่กลัวว่าบรรยากาศในห้องรับรองจะดูแปลกไป ทุกคนจึงพร้อมใจพยักหน้าตอบรับเฉินชวน: “คุณเวินเล่นเป็นไหมครับ? มาเล่นด้วยกันเถอะ?”เขาชวนด้วยเจตนาดี เพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกระแวงอะไรขนาดนั้น จึงชวนเข้ามาร่วมด้วย เวินเหลียงตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งยังหน้าโต๊ะเล่นไพ่ “เคยเล่นมาสองสามครั้งค่ะ หวังว่าจะไม่แพ้หลายตาจนเกินไปนะ”“โธ่ ยิ่งเป็นมือใหม่ยิ่งโชคดีรู้ไหมครับ?” เฉินชวนมองไปที่ฮั่วตงเฉิง “ตงเฉิง นายเล่น...”ยังไม่ทันได้พูดจบ อู๋ฮ่าวหรันก็นั่งลงตรงหน้าเวินเหลียง เขาฉีกยิ้ม “ฉันเองก็คันไม้คันมือเหมือนกัน เล่นเป็นเพื่อนพวกนายสักสองสามตาละกั
ฮั่วตงเฉิงดันเครื่องที่ซ้อนไพ่ไว้เรียบร้อยแล้วตรงหน้าไปกลางโต๊ะ เสียงไพ่ชนกันกังวานเข้าไปในหูจนแสบแก้วหูไปหมดเขาเงยหน้าขึ้นมามองอู๋ฮ่าวหรันที่พลันตกตะลึงไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถามนายอยู่นะ! จะให้ฟู่เจิงเล่าเองกับปากไหม?”อู๋ฮ่าวหรันได้สติกลับมา เขารีบส่ายหน้า “เรื่องนี้...เรื่องนี้ไม่ต้องแล้ว”เขาแอบพูดอยู่ในใจ ดูท่าจะให้เวินเหลียงพูดออกมาเองกับปากคงไม่สำเร็จแล้วเวินเหลียงเจ้าเล่ห์เกินไป ตงเฉิงมีแต่จะคิดว่าเขากำลังรังแกเธออยู่แน่ ๆไม่ได้ เขาต้องคิดหาวิธีทำให้ตงเฉิงมองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงของเวินเหลียงผู้หญิงจับผู้ชายให้ได้“ยังไม่ได้ผลสรุปเลยทำไมถึงไม่เอาซะแล้วล่ะ? นายสงสัยมากไม่ใช่เหรอ?” ในน้ำเสียงของฮั่วตงเฉิงเย็นยะเยือกจนหนาวสะท้าน“ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้น” อู๋ฮ่าวหรันแสยะยิ้ม“มาต่อกันเถอะ ๆ” เฉินชวนกอบกู้สถานการณ์“พวกคุณเล่นกันไปก่อนเลยค่ะ ฉันขอตัวไปห้องน้ำหน่อย”เวินเหลียงมองทุกคนทีหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นออกไปอย่างนิ่งสงบ หลังเงาร่างของเธอหายไปตรงประตู ภายในห้องรับรองก็เงียบสงัดลง ในวินาทีนั้นบรรยากาศพลันเต็มไปด้วยความกดดันสีหน้าของฮั่วตงเฉิงเคร่งขรึมขึ้
พวกเวินเหลียงทั้งสองคนกลับมายังห้องรับรอง อู๋ฮ่าวหรันไม่ได้พูดอะไรอีก ตรงตำแหน่งที่นั่งของเขาก็เปลี่ยนเป็นคุณชายมั่วภายใต้การปรับทัศนคติของเฉินชวน ทั้งสี่คนเล่นไพ่กันพร้อมพูดคุยยิ้มแย้มหลังจบไปสองสามตา จู่ ๆ โทรศัพท์ของเวินเหลียงก็ดังขึ้นมาเธอล้วงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ สายโทรเข้าขึ้นโชว์ชื่อของฟู่เจิงเวินเหลียงให้คุณชายเหอเล่นแทนตน ก่อนจะลุกขึ้นออกไปรับสายตรงทางเดิน“ฮัลโหล?”ปลายสายไม่มีเสียงใครโต้กลับปลายสายเงียบไปสองสามวินาที เวินเหลียงฉงน “ฟู่เจิง?”“อืม” เสียงชายหนุ่มแสนแผ่วเบาแว่วดังขึ้นมา กระทบไปถึงแก้วหูของเวินเหลียง“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เวินเหลียงรู้สึกว่าคืนนี้ฟู่เจิงดูแปลก ๆ ไปเล็กน้อย“ฉันเพิ่งดื่มเหล้ามานิดหน่อย อยากฟังเสียงเธอน่ะ” ฟู่เจิงเอ่ยปากช้า ๆ“ทำไมถึงดื่มเหล้าอีกแล้วล่ะ? กระเพาะอาหารคุณรับได้เหรอ?”“ฉันรู้ตัวเองดี” เขาถามขึ้นราวกับไม่ได้ตั้งใจ “ตอนนี้เธออยู่ที่โรงแรมเหรอ? หรือว่าอยู่ข้างนอก?”เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อยู่ข้างนอก”ฟู่เจิงเพิ่งถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เวินเหลียงก็พูดขึ้นต่อว่า “กินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร เดี๋ยวก็กลับโรงแรมแล้ว”ถ้าเขาเ
รถยนต์มาจอดอยู่หน้าประตูโรงแรม เวินเหลียงเปิดประตูลงมาจากรถ เธอค้ำยันประตูเอาไว้แล้วหมุนตัวกลับไปมอง “พี่ตงเฉิง ขอบคุณนะคะ ฉันขึ้นไปก่อนนะ พวกคุณกลับดี ๆ นะคะ”“อืม จริงสิ พรุ่งนี้เธอบินไฟล์ทกี่โมงเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอเอง”“จะเป็นการรบกวนคุณหรือเปล่าคะ?”“ไม่เลย ฉันจะมารับเธอนะ ยังไงต้องพาเธอไปส่งให้ได้” ใบหน้าของฮั่วตงเฉิงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าไม่ได้มีมาดอะไรเวินเหลียงตอบไปตามความจริง “ในตั๋วเขียนว่าตอนบ่ายโมงค่ะ”“งั้นฉันจะมารับเธอประมาณเที่ยงนะ ถึงเวลานั้นจะส่งข้อความบอกเธออีกที”“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ตงเฉิง เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”“เจอกันพรุ่งนี้”เวินเหลียงโบกมือลาฮั่วตงเฉิง แล้วเข้าไปในโรงแรมรถยนต์จอดอยู่ตรงที่ห่างไปไม่ไกลอยู่ตลอด ฮั่วตงเฉิงมองเงาร่างของเวินเหลียงกระทั่งเดินลับสายตาไป ถึงสั่งให้คนขับรถออกรถได้เวินเหลียงเดินออกจากลิฟต์พลางล้วงคีย์การ์ดห้องออกมาจากกระเป๋าครั้นเดินผ่านมุมเลี้ยวมุมหนึ่ง ฝีเท้าของเธอก็เป็นอันต้องชะงักไปมีเงาร่างสูงตระหง่านแสนคุ้นเคยร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอคุ้นเคยถึงขั้นที่ว่าแม้เวินเหลียงไม่เห็นหน้า ก็รู้ทันทีว่านั่นคือฟู่เจิง
เวินเหลียงกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เอ๊ะ เหมือนมันจะแบตหมดจริง ๆ นะ งั้นทำไมมันถึงได้ปิดเครื่องไปโดยอัตโนมัติล่ะ? คงไม่ได้พังแล้วหรอกนะ?”เธอเงยหน้าขึ้นไปยิ้มกับฟู่เจิง “ฉันยังคิดว่ามันปิดเครื่องไปโดยอัตโนมัติซะอีก”ฟู่เจิงมองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ พร้อมแสยะยิ้มทั้งที่ในใจไม่ยิ้มดูการแสดงโกหกไปเรื่อยนี่สิ ไปเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมได้เลยนะเนี่ย!เวินเหลียงพลันใจเต้นระรัวขึ้นมา เธออดไม่ได้ที่จะถอยหลังก้าวหนึ่ง “ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ?”ฟู่เจิงเดินหน้าเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมฉีกยิ้มเล็กน้อย “อาเหลียง ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฝีมือการแสดงของเธอมันดีขนาดนี้ มิน่าล่ะผู้กำกับซ่งถึงได้ยืนกรานจะเชิญเธอไปแสดงซีรีส์ให้ได้ขนาดนั้น”ในใจเวินเหลียงราวกับมีเสียงดินถล่มตู้มอะไรบางอย่างเธออึ้งกิมกี่ไปอยู่สองสามวินาที ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ยังคงหอบความหวังว่าจะโกหกจนเนียนผ่านไปได้อยู่สองสามส่วน “...คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”“ไม่เข้าใจเหรอ?” ฟู่เจิงเดินเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายิ้มแค่ที่ปากแต่ในใจไม่ยิ้ม “ตอนฉันโทรหาเธอ เธอไม่ได้กินข้าวอย
ยัยตัวดี ไม่นึกเลยว่ายังจะกล้าพูดถึงฮั่วตงเฉิงอีก!ฟู่เจิงไม่ไปไหนเขาจะอยู่ที่นี่ให้ได้ ก่อนนอนยังช่วยทำให้เวินเหลียงผ่อนคลายอีกทีหนึ่งสวยงามเย้ายวนใจสบายเนื้อสบายตัวจนเคลิ้มหลับไป ก่อนเข้าสู่แดนแห่งความฝัน เวินเหลียงคิดเช่นนี้ฟู่เจิงมองใบหน้าที่หลับสนิทของเวินเหลียง นัยน์ตาพลางประกายความอบอุ่นออกมาสายหนึ่งตอนเช้าเวินเหลียงส่งข้อความหาฮั่วตงเฉิง “พี่ตงเฉิง ตอนเช้าฉันมีธุระน่ะ ถึงเวลาทำธุระเสร็จก็ไปที่สนามบินเลย ตอนเที่ยงคุณไม่ต้องมารับฉันแล้วนะ”ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฮั่วตงเฉิงถึงตอบกลับมาว่า “โอเค เดินทางปลอดภัยนะ”“อืม ขอบคุณนะคะ”เมื่อเห็นข้อความในหน้าจอมือถือ ฮั่วตงเฉิงก็กำโทรศัพท์แน่นฟู่เจิงมาเมืองจิง พักอยู่โรงแรมเดียวกับเวินเหลียงที่เวินเหลียงไม่ให้เขาไปส่ง เพราะอยู่กับฟู่เจิงเหรอ?พวกเขาคืนดีกันแล้วเหรอ?นัยน์ตาของฮั่วตงเฉิงประกายแสงดำมืดออกมา ก่อนจะต่อสายโทรออกไปยังหมายเลขหนึ่งตอนเช้าเวินเหลียงไปเดินเล่นรอบ ๆ โดยไม่คิดอะไรกับฟู่เจิง มาถึงยังสนามบินก่อนเที่ยง ก่อนจะบินกลับไปเจียงเฉิงมาถึงยังสนามบินเจียงเฉิงเวลาสามโมงกว่า หลังคนขับรถพาเวินเหลียงไปส่งที
ขณะที่เวินเหลียงกำลังสับสน ก็ได้รับสายระหว่างประเทศจากฟู่ชิงเยว่เธอยากจะเลี่ยงไม่ให้หวนนึกถึงบทสนทนานั่นที่ได้ยินจากในห้องทำงานของผู้กำกับที่สถานีตำรวจ ในใจเธอเปี่ยมล้นไปด้วยความมืดครึ้ม อารมณ์ดิ่งลงมาขั้นสุด“ฮัลโหลค่ะ คุณฟู่...มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เวินเหลียงถามขึ้นชืด ๆฟู่เยว่หัวเราะเย้ยหยันเบา ๆ ในน้ำเสียงแฝงความโอหังอยู่สองสามส่วน “ตอนนี้แม้แต่คำว่าคุณอาก็ไม่เรียกแล้ว?”“คุณอามีเรื่องอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะค่ะ” น้ำเสียงของเวินเหลียงนิ่งสงบก่อนหน้านี้ผิวเผินเธอยังมีความเคารพต่อฟู่ชิงเยว่อยู่สองสามส่วน ทว่าตอนนี้ไม่อยากจะรักษามันเอาไว้แล้ว หากไม่ใช่เพราะเธอเป็นลูกสาวของคุณย่า เวินเหลียงไม่คิดจะรับสายด้วยซ้ำฟู่ชิงเยว่แค้นเสียงฮึออกมาทีหนึ่ง “งั้นฉันก็จะพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน ต่อไปนี้เธออยู่ให้ห่างจากอาเจิงซะ! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เธอกำลังจงใจเกาะอาเจิงอยู่! แม่เป็นยังไงลูกมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ รู้จักแต่อ่อยผู้ชายเหมือนแม่ปีศาจจิ้งจอกของเธอนั่นไม่มีผิด!”เวินเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “คุณอาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?”ฟู่ชิงเยว่รู้จักหลินเ
เด็กชายมองฉู่ซืออี๋ด้วยความระแวงพลางลุกขึ้นมาจากรถโยกฉู่ซืออี๋มาหยุดตรงหน้าเด็กชาย ก่อนจะย่อตัวลง โผล่ให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสอง “ฟู่รุ่ย?”ฟู่รุ่ยมองประเมินเธอสองที แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณน้ารู้จักผมด้วยเหรอครับ?”ฉู่ซืออี๋ไม่ตอบ “พ่อนายจะติดคุกแล้วใช่ไหม?”เมื่อฟู่รุ่ยได้ยินดังนั้น สีหน้าบนใบหน้าน้อย ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที “คุณน้าอย่าพูดจามั่วซั่วนะครับ”“ฉันไม่ได้พูดมั่วซั่ว ในใจนายรู้ดี พ่อนายเป็นฆาตกร!”ใบหน้าน้อย ๆ ของฟู่รุ่ยซีดเผือด มุมปากคว่ำลงพร้อมโต้แย้งอย่างไม่มั่นใจ “เขาไม่ใช่...”“นายไม่อยากช่วยพ่อของนายออกมาเหรอ?”“ช่วยยังไงเหรอครับ?”“ง่ายมาก นายบอกเรื่องนี้กับคุณย่าทวดสิ ให้คุณย่าทวดของนายไปขอร้องคุณอาเวินเหลียง เห็นแก่บุญคุณที่คุณย่าทวดของนายเลี้ยงดูมา คุณอาเวินเหลียงต้องยอมยกโทษให้พ่อนายแน่นอน แบบนี้พ่อนายก็ไม่ต้องติดคุกแล้ว”ฟู่รุ่ยเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “แต่...แต่ว่าแม่ไม่ให้ผมบอกคุณย่าทวด...”“นั่นเพราะแม่นายคิดจะฉวยโอกาสนี้หย่ากับพ่อนาย เลยไม่อยากให้พ่อนายออกมา นายคิดดูสิ ปกติพ่อนายดีกับนายแค่ไหน นายอยากให้พ่อนายอยู่ใน