“โอเค”เวินเหลียงขึ้นไปรอบนรถ ส่วนฟู่เจิงอุ้มฟู่ซือฝานเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเหล่าบอดีการ์ดหน้าประตูห้องพักผู้ป่วย คนที่เป็นหัวหน้ายืนเฝ้าอยู่ข้างนอกกับลูกน้องอีกคนเมื่อเห็นฟู่เจิงอุ้มฟู่ซือฝานเดินมาโดยไม่ได้มีด้วยเจตนาดี ก็พลันตื่นตัวระแวดระวังขึ้นมาฟู่เจิงหยุดฝีเท้าในตำแหน่งที่ห่างจากหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยสิบเมตร เขาส่งสัญญาณมือและพูดกับฟู่ซือฝานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฝานฝานอย่าดูนะ”ฟู่ซือฝานหันหน้าหนีไปอย่างเชื่อฟังบอดีการ์ดแปดคนที่อยู่เบื้องหลังเดินขึ้นหน้าไปพร้อมกัน ก่อนจะจัดการกับพวกคนที่เป็นหัวหน้าทั้งสองคนอย่างรวดเร็วการเคลื่อนไหวด้านนอกทำเอาคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยตกใจ เสียงของหลินเจียหมิ่นแว่วดังออกมา “ฮั่วอัน เกิดอะไรขึ้น?”คนเป็นหัวหน้าที่ชื่อฮั่วอันถูกบอดีการ์ดใช้เศษผ้าอุดปากเอาไว้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงอือ ๆ ออกมาเท่านั้นเมื่อรู้สึกไม่ชอบมาพากล หลินเจียหมิ่นกำลังคิดจะออกมาดูด้วยตัวเองพอดี ทว่าจู่ ๆ ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกฟู่เจิงอุ้มฟู่ซือฝานเดินเข้ามาหลินเจียหมิ่นอึ้งไป เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองใบหน้าของฟู่เจิง “ฟู่เจิง? ไม่นึกเลยว่านายจะมาเร็
เมื่อเวินเหลียงขึ้นไปบนรถ เธอก็พิงพนักเบาะที่นั่งหลับพักสายตาวันนี้จิตใจเธอย่ำแย่เป็นพิเศษ ไม่เพียงเพราะฮั่วตงหลินกับแม่ของเขา แต่ยังมีฉู่ซืออี๋อีกคนฉู่ซืออี๋น่าสงสารมากที่ต้องเผชิญกับอาการป่วยทางจิตและโรคประสาท แต่เวินเหลียงเห็นใจเธอไม่ไหวจริง ๆเมื่อนึกถึงว่าฉู่ซืออี๋อาจพ้นโทษเอาผิดทางกฎหมายได้ ในใจของเวินเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดขึ้นมาในใจราวกับมีไฟโทสะกระจุกอยู่ตรงหน้าอก ไม่สามารถระบายมันออกมาได้‘ตือดือดึง...’เสียงแจ้งเตือนข้อความไลน์แว่วดังขึ้นมาเวินเหลียงได้สติกลับมาจากในภาวะอารมณ์หงุดหงิด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาดูทีหนึ่งเป็นข้อความที่จูฝานส่งมาเธอเตือนเวินเหลียงว่า วันนี้การแข่งขันการถ่ายภาพซานเหอจะประกาศผลการแข่งขัน ถามเวินเหลียงว่าดูผลหรือยังในตอนนี้เองเวินเหลียงถึงนึกขึ้นได้ เธอเข้าไปดูผลการแข่งขันในเว็บไซต์ทางการของการแข่งขันทว่าอีเมลของตนไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว เวินเหลียงคาดเดาไว้แล้วว่าตัวเองคงไม่ได้รางวัลแน่ ไม่อย่างนั้นต้องมีการแจ้งแล้วไม่เป็นไร สำคัญที่ว่าได้เข้าร่วมด้วยอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เรียนสายตรงมา มีเวลาเรียนรู้ระบบที่แท้จริงค่อ
สายตาแบบนี้ทำเอาฟู่เจิงรู้สึกสบายใจสุด ๆเขายิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง “ไม่หรอก วางใจเถอะ”ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ ฮั่วตงเฉิงก็ไม่มีทางละทิ้งการหาเรื่องตระกูลฟู่อย่างแน่นอนฉะนั้น เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรคนตระกูลฮั่ว“งั้นก็ดีแล้ว”ภายในห้องรับรอง ฟู่ซือฝานกินข้าวเย็นไปได้ครึ่งหนึ่งก็เริ่มง่วงแล้ว เธอผล็อยหลับไปในอ้อมอกของฟู่เจิงเวินเหลียงไม่ทันได้กินอะไรเท่าไรก็วางตะเกียบลงแล้วเมื่อฟู่เจิงเห็นดังนั้น เขาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “กินแค่นี้เองเหรอ?”“ไม่ค่อยหิวน่ะ”“อารมณ์ไม่ดี?”เวินเหลียงใช้ความเงียบตอบกลับ“ฉันรู้เรื่องของฉู่ซืออี๋แล้ว รายงานอาการป่วยของเธอเป็นเรื่องโกหก”เวินเหลียงไม่เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน เพราะในคดีลักพาตัวเธอเห็นฉู่ซืออี๋อยู่ในฐานะของเหยื่อ และคิดว่าฟู่เยว่ต่างหากที่เป็นฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังทว่าฟู่เจิงเชื่อฟู่เยว่ เชื่อว่าคดีลักพาตัวนั่นฉู่ซืออี๋เป็นคนกำกับและแสดงเองคดีลักพาตัวเป็นเรื่องโกหก แน่นอนว่ารายงานอาการป่วยก็ต้องเป็นเรื่องโกหกเช่นกันเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฟู่เจิงก็ชะงักไปพลางเงยหน้ามองเวินเหลียงทีหนึ่งก่อนหน้านี้ เขาเชื่อรายงานอาการป
เมื่อกลับถึงบ้าน เวินเหลียงก็จัดการรูปภาพหลักฐาน ใช้อีเมลส่งไปให้ผู้จัดการแข่งขันถ่ายภาพเธอมีอีเมลของการแข่งขัน เธอมีข้อมูลไฟล์ EXIF ดั้งเดิมและรูปต้นฉบับในไฟล์ RAW ของพวกนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอต่างหากที่เป็นช่างภาพเจ้าของผลงานที่ได้รางวัลที่หนึ่งตัวจริงเรื่องนี้ไม่น่าจะจัดการยากเท่าไรเวินเหลียงปิดคอมพิวเตอร์ลงแล้วไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำขณะที่เวินเหลียงนอนอยู่บนเตียงเตรียมจะพักผ่อน จู่ ๆ ฟู่เจิงก็ส่งไลน์มาข้อความหนึ่ง “ออกมาหน่อย”หลังจากนั้นก็ส่งมาอีกข้อความ “ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ”แมลงเคอชุ่ย[1]ของเวินเหลียงพลันบินหนีไปหมดแล้ว “ดึก ๆ ดื่น ๆ ทำอะไรน่ะ?”“รับลม ตอนออกมาอย่าลืมใส่เสื้อผ้าให้หนา ๆ หน่อยนะ”“...คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”ดึก ๆ ดื่น ๆ มารับลมอะไรกัน?“ให้เวลาเธอสิบนาที อีกสิบนาทีฉันจะเคาะประตู เธอไม่กลัวทำให้ถังซือซือตกใจตื่นหรือไง รีบออกมาซะ”“!”เวินเหลียงขบกรามแน่น “คุณมันร้ายกาจนักนะ!”เธอตะเกียกตะกายออกมาจากในผ้าห่ม สวมเสื้อผ้าอย่างฉับไวและคล่องแคล่ว ค่อย ๆ ย่องออกไปจากห้องฟู่เจิงกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าหน้าต่างข้างทางหนีไฟ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก็รี
“ตอนนี้อารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ฟู่เจิงมาข้าง ๆ เธอ “ยังไม่ดีขึ้นเหรอ?”เวินเหลียงสัมผัสได้โดยไม่รู้ตัว ที่ฟู่เจิงพาเธอออกมารับลม เป็นเพราะอารมณ์เธอไม่ดีในใจของเธอผุดความอบอุ่นขึ้นมาสายหนึ่ง จากนั้นเธอก็หันไปยิ้มให้เขา “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณนะ”ไม่ใช่แค่รู้สึกขอบคุณที่เขาพาเธอออกมารับลม ยังมีตอนบ่ายด้วย เขามาถึงได้ทันเวลาพอดี ได้ทวงความยุติธรรมให้ฟู่ซือฝานและเธอฟู่เจิงมองเธอตาไม่กะพริบแสงไฟจากอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบสว่างจ้า ทิ้งเงาแสงสะท้อนที่แสนสะดุดตาจุดหนึ่งเอาไว้บนนัยน์ตาของเขา สะท้อนจนนัยน์ตาของเขาเปล่งประกายราวกับแสงวิบวับในน้ำ ประกายวับวาบเส้นแสงสว่างจ้าทอดมาบนใบหน้าด้านข้างของเขา เจียระไนเค้าโครงของเขาให้ดูยิ่งมีมติมากยิ่งขึ้นเวินเหลียงเหม่อลอยไปครู่หนึ่งหลังจากนั้นฟู่เจิงก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เวินเหลียงอยากจะเอามีดแทงเขาให้ตายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าอยากขอบคุณฉันจริง ๆ ก็จูบฉันทีหนึ่งสิ”เวินเหลียง: “...”ความสวยงามและความซาบซึ้งทั้งหมดพลันมลายหายไปทันทีเธอได้สติกลับมา พร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากพลางกลอกตาขาวมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “ฝันหวานไปเถอะ”เวินเหลียงหมุนตัวเดินอ
ในใจฟู่เจิงผุดความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังขึ้นมา พลางหรี่ตาจ้องเงาเบื้องหลังของเวินเหลียง ก่อนจะสาวเท้าไปด้านหน้าราวกับเห็นเหยื่อบนแก้มของเวินเหลียงค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นทีละนิ้ว ๆ พร้อมเดินเร็วขึ้นฝีเท้าที่อยู่เบื้องหลังเริ่มเข้ามาใกล้ตัวเรื่อย ๆ เธอใกล้จะวิ่งเหยาะขึ้นมาอยู่แล้วเธอจ้องมองพื้น เห็นเงาชายหนุ่มใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้จะซ้อนทับเงาของตนแล้ว หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะไปเลย เธอรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เว้นระยะห่างกับฟู่เจิงฟู่เจิงกระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาพลางประกายการเลี่ยงไม่ได้ออกมาสายหนึ่ง เขาก้าวตามทันเวินเหลียงในสามก้าว จากนั้นใช้แขนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ก่อนจะดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอก พลางจ้องเธอด้วยนัยน์ตาคมกริบ “เธอหนีอะไร?”“แล้วคุณไล่ตามฉันทำไม?” นัยน์ตาเวินเหลียงเปล่งประกาย พลางผละไหล่ของเขาหาเรื่องเขากลับ “เธอว่าทำไมฉันถึงไล่ตามเธอล่ะ?” ฟู่เจิงเลิกคิ้ว ฉีกยิ้มทว่าราวกับไม่ยิ้ม“ไม่รู้” เวินเหลียงแกล้งโง่ปากไม่ตรงกับใจ“งั้นฉันจะทำให้เธอรู้เอง”มือใหญ่ของฟู่เจิงกดที่ท้ายทอยของเธอเอาไว้ พลางโน้มตัวลงมาจูบทั้งสองคนแลกลิ้นและริมฝีปากของกันและกัน ลมหายใจอุ่นร้
ซึ่งก็หมายความว่า เรื่องปลอมแปลงชื่อขโมยรูปภาพนี้ ทางผู้จัดงานรู้ดีอยู่แล้วแต่ยังเพิกเฉย กระทั่งมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยส่วนไอดีวั่งเฉิงที่ถูกแปะทับนั้น เวินเหลียงรู้สึกคุ้นตามาก เมื่อลองไปเสิร์ชหาดูถึงได้รู้ว่า คนคนนี้เคยได้รับรางวัลที่สองในการแข่งขันถ่ายภาพซีซันก่อนรางวัลที่สองนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกก็ยังไม่รู้ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะขโมยมาเช่นกันหากการแข่งขันหนึ่งถูกเปิดโปงข่าวอื้อฉาวแบบนี้ออกไป เช่นนั้นแล้วคุณค่าที่แท้จริงของการแข่งขันนี้ก็จะลดฮวบลงไปถ้าเวินเหลียงจำไม่ผิด ฮั่วตงเฉิงเป็นคณะกรรมการของการแข่งขันการถ่ายภาพซานเหอ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ต้องมีความเกี่ยวข้องกับทางผู้จัดการอย่างแน่นอนเนื่องจากนึกถึงหน้าของเขา เวินเหลียงจึงไม่ได้เปิดโปงและประณามไปเลยโดยตรง แต่เธอส่งหลักฐานที่ตัวเองจัดการรวบรวมเอาไว้ส่งไปให้ฮั่วตงเฉิงส่วนหนึ่ง พร้อมอธิบายต้นสายปลายเหตุผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ฮั่วตงเฉิงก็ตอบกลับมา “อาเหลียง ขอโทษจริง ๆ นะ การประกาศในเว็บไซต์ทางการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ฉันจะหาคำอธิบายในเรื่องนี้มาให้เธออย่างแน่นอน”“ขอบคุณนะคะพี่ตงเฉิง มีอะไรก็บอกฉันมาตรง ๆ เป็นไป
สีหน้าของหลินอี้หน่วนขาวซีด เธอรวบรวมความกล้าขึ้นมา “พี่คะ...แก้ชื่อกลับมาก็ไม่สิ้นเรื่องแล้วเหรอ? ทำไมต้องให้ฉันขอโทษให้ได้ด้วย”“ความโลภบังตาจนหยิ่งทระนง ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ คุณน้าหลินสอนเธอมาแบบนี้เหรอ?! อย่างเธอก็เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูตระกูลฮั่ว ช่างขายขี้หน้าคนตระกูลฮั่วจริง ๆ!”หลินอี้หน่วนสั่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตื่นกลัวว่า “พี่คะ ฉันผิดไปแล้ว ฉัน...ฉันจะขอโทษ ฉันจะขอโทษยังไม่ได้อีกเหรอคะ?”“ยังไม่ไปเขียนคำแถลงขอโทษด้วยตัวเองอีก?”“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”หลังหลินอี้หน่วนออกไปจากห้องทำงาน บนใบหน้าของเธอก็พลันเผยสีหน้าของความหงุดหงิดออกมา พร้อมนัยน์ตาที่ประกายความโหดเหี้ยมอำมหิตไม่นึกเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็มาถูกเปิดโปงต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องของตน ทำเอาเธอถูกลูกพี่ลูกน้องด่ายกหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าใครเป็นคนทำ จะทำให้คนคนนั้นจบไม่สวยแน่!หลินอี้หน่วนเสิร์ชหาจดหมายขอโทษในอินเทอร์เน็ต และจัดการแก้ไขคร่าว ๆหลังแก้ไขเสร็จ หลินอี้หน่วนก็ส่งข้อความไปหาทีมงาน “รูปภาพของฉันคือผลงานของผู้เข้าร่วมคนไหน? ชื่ออะไร?”เธอจะได้เขียนชื่อในจดหมายขอโทษถูกทีมงานคนนั้นตอบกลั