ห้าโมงเย็น เวินเหลียงมารออยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลตรงเวลาภายใต้การนำของคุณครู บรรดาหนูน้อยเข้าแถวเดินออกมาที่ประตูใหญ่แถวของนกแพนกวินตัวน้อยที่ตัวเท่า ๆ กัน ในเวลาเพียงชั่วครู่เวินเหลียงมองจนตาลายไปเล็กน้อยเมื่อฟู่ซือฝานเห็นเวินเหลียง ก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความปลื้มปีติ กำลังจะเรียกออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงปิดปากเงียบไปอีกครั้งเธอบอกกับคุณครูก่อนจะวิ่งเหยาะไปทางเวินเหลียงในตอนนี้เองเวินเหลียงถึงได้เห็นเธอ เวินเหลียงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว “ฝานฝาน”เมื่อมาถึงตรงหน้าเวินเหลียง ฟู่ซือฝานก็หันหน้าไปมองเพื่อนร่วมชั้นของตนทีหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณป้า เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”“อืม” เวินเหลียงปลดกระเป๋าเป้ใบน้อยบนหลังเธอลงมาถือ พร้อมจูงมือจ้ำม่ำน้อย ๆ ของเธอไปที่รถยนต์ “ฝานฝาน วันนี้ที่โรงเรียนอนุบาลรู้สึกยังไงบ้าง?”“ไม่เลวเลยค่ะ เพื่อน ๆ เฟรนด์ลี่กันมาก ๆ ส่วนคุณครูก็ดีแลหนูดีสุด ๆ ทำเหมือนว่าหนูทำอะไรไม่เป็นเลยอย่างนั้น...”คุณครูรู้ว่าฐานะทางบ้านของฟู่ซือฝานไม่ธรรมดา แถมเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศอีก กลัวว่าเธอจะปรับตัวไม่ได้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจเยอะหน่
เวินเหลียง “!”เธอวางโทรศัพท์ลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะคว้ากุญแจรถไปยังสถานีตำรวจก่อนหน้าที่จางกั๋วอันจะมาถึงเจียงเฉิงสองสามชั่วโมง มีคนมามอบตัวแล้ว?!คงเป็นเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังได้รับข่าวแน่ ๆ รู้ว่าไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับคืนมาได้แล้ว จึงจงใจผลักคนออกมารับผิดคนหนึ่ง!เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ หลังเวินเหลียงจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปในโถงด้วยความรวดเร็ว พร้อมมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของผู้กำกับการเลย‘ก๊อก ๆ ๆ...’เสียงเคาะประตูแสดงให้เห็นความรีบร้อนจนอดรนทนไม่ไหวอย่างชัดเจน เวินเหลียงเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “คุณอาคะ คุณอาอยู่ไหมคะ? ฉันเองค่ะ เวินเหลียง”“เข้ามาสิ”เวินเหลียงผลักประตูเข้าไปเลย “คุณอา”ทันใดนั้นฝีเท้าของเธอก็เป็นอันต้องชะงักไป เธอมองไปที่ฟู่เจิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้กำกับการบนโซฟา เธอเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ฟู่เจิง?”เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มานั่งคุยกันสิ”เวินเหลียงพยักหน้าไปทางผู้กำกับการ ก่อนจะนั่งลงข้างฟู่เจิง “คุณอาคะ เมื่อกี้คุณอาบอกว่ามีคนมามอบตัว จริงเหรอคะ? แน่ใจนะคะว่าเกี่
เวินเหลียงมองเข้าไปในนัยน์ตาของฟู่เจิง กระทั่งผ่านไปนานสองนานท้ายที่สุดเธอก็มั่นใจว่าฟู่เจิงไม่ได้กำลังโกหกเธอเวินเหลียงอ้าปากค้างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงนว่า “ทำไมถึงเป็นฟู่เยว่ไปได้?”เป็นฟู่เยว่ไปได้ยังไง?เธอสับสนไปหมดอยู่เล็กน้อย ราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างนั้นฟู่เยว่ไปเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวแล้วก็การตายของพ่อเธอได้ยังไง?!คุณปู่เคยบอกเธอว่า แรกเริ่มเดิมทีฟู่เยว่เป็นคนเสนอความคิดให้รับเลี้ยงเธอ บอกว่าเพื่อเป็นการขอบคุณการบริจาคตับของพ่อที่ช่วยต่อชีวิตคุณปู่ ฉะนั้นเธอจึงเคารพเขามาตลอด...ทันใดนั้นในสมองเธอก็วาบแสงสายหนึ่งขึ้นมา นึกถึงสิ่งที่เมิ่งเซ่อเคยบอก มือซ้ายของคนที่ไปส่งครอบครัวพวกเขาออกต่างประเทศมีหกนิ้ว คนขับรถของฟู่เยว่เองก็มีนิ้วมือหกนิ้วเหมือนกัน เพียงแต่เดิมทีเธอไม่ได้ปะติดปะต่อพวกเขาเข้าด้วยกันเท่านั้น...เห็นเวินเหลียงถามขึ้นมาแบบนี้ ฟู่เจิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ช็อกมากใช่ไหม? ตอนที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ ฉันเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกับเธอนั่นแหละ”“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” เวินเหลียงยังคงสับสนมึนงง “ทำ...ทำไมเขาถึงต้องไปลักพาตัวฉู่ซืออี๋ด้วย...”ตอนนั้นฉู่ซือ
นอกเสียจากว่าทำเรื่องน่าละอายใจอะไรไว้เท่านั้น...ฉะนั้นที่คุณปู่ต้องมาจากไปไม่ใช่เพราะเธอกับฟู่เจิง แต่เป็นเพราะฟู่เยว่ ถึงได้ทิ้งพินัยกรรมที่ไม่เป็นธรรมกับฟู่เยว่อย่างนั้น และถึงได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เธอมากมายขนาดนั้น ถือว่าเป็นการชดเชย...ฟู่เจิงเงียบไม่พูดไม่จา มือใหญ่ ๆ ค่อย ๆ พาดไปบนไหล่ของเธอ แล้วตบปลอบเธอเบา ๆจู่ ๆ เวินเหลียงก็คิดได้ว่าต้องสะบัดแขนของเขาออก เธอลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมเดินห่างออกมาสองสามก้าว ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”มือของฟู่เจิงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเขาเข้าใจความรู้สึกของเวินเหลียงในตอนนี้ดีการตายของพ่อเธอ เดิมทีแล้วนั้นเหตุผลก็ยังเป็นเพราะถูกคนเข้ามาฉวยโอกาสระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเขาเองก็มีความรับผิดชอบที่ปัดออกไปไม่ได้ ยากจะไม่ให้เธอไม่โกรธเขา“อาเหลียง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเสียใจมาก เธออยากจะทุบตีฉันด่าฉัน ฉันก็รับได้ทั้งนั้น แต่อย่าเก็บเรื่องทั้งหมดไปอัดอั้นอยู่ในใจ”ในใจของเวินเหลียงเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านไปมา หมัดทั้งสองกำแน่น เธอหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่งเธอขบกรามแน่นถึงพูดคำว่า ‘ออกไป’ ออกมาได้!เ
ฟู่ชิงเยว่ออกมาจากร้านจิวเวลลี่ หางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างแสนคุ้นเคยเงาร่างหนึ่งขณะที่เธอหันไปมอง เงาร่างนั้นก็หายไปตรงหน้าประตูที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วฟู่ชิงเยว่เงยหน้ามองป้ายหน้าประตูร้านนั้น เป็นบาร์แห่งหนึ่งเวินเหลียงไปบาร์นั่นเหรอ?เธอเดินต่อไปข้างหน้าสองสามก้าว มองสำรวจไปรอบ ๆ พบรถของเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆนัยน์ตาของฟู่ชิงเยว่ประกายแสงดำมืดออกมาสายหนึ่ง เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาหมายเลขหนึ่งตอนกลางวันภายในบาร์ไม่ค่อยมีคนเท่าไรพนักงานสองสามคนย้ายลังเข้า ๆ ออก ๆ ง่วนอยู่กับการเติมสต็อกน้องชายที่อยู่บนโต๊ะบาร์เองก็กำลังเติมส่วนผสมของค็อกเทลเวินเหลียงสั่งเหล้ามาสองสามขวด ก่อนจะหาที่นั่งนั่งลงโดยไม่คิดอะไรมากมาย เธอเปิดขวดเหล้าเทเหล้าให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ากลืนมันลงไปในรวดเดียวของเหลวรสชาติขมฝาดไหลลงไปในคอ คิ้วอันงดงามของเวินเหลียงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ความกดดันและความเจ็บปวดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจไม่ได้ถูกเจือจางไปเลยเวินเหลียงเติมเหล้าให้ตัวเองอีกสองสามแก้วตรงหน้าพลันปรากฏเงาร่างของพ่อขึ้นมา ทั้งคุ้นเคยและทั้งห่างเหิน เบ้าตาเวินเหลียงอดไ
เมื่อเห็นดังนั้น พนักงานคนหนึ่งก็เดินขึ้นหน้ามา ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามคนสองสามที “คุณผู้หญิง มีอะไรเหรอครับ?”“ฉันจะคิดเงิน แต่พวกเขาขวางไม่ให้ฉันไป”พนักงานเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ทั้งสาม ไม่งั้นพวกคุณหลีกทางหน่อยดีไหมครับ อย่าทำให้คุณผู้หญิงลำบากใจเลย...”“ไปซะ นี่ไม่ใช่เรื่องของแก!” ผู้ชายผมสกินเฮดหันหน้ามา จากนั้นก็รีบตัดบทสนทนาของพนักงานทันที พร้อมกล่าวเตือนอย่างดุเดือด“พี่ชายครับ ใจเย็นก่อนนะครับ...”“ใครเป็นพี่น้องกับแกไม่ทราบ?” ชายหนุ่มผมทรงสกินเฮดเอ่ย “ถ้าอยู่เป็น ก็เข้ามาสอดให้มันน้อย ๆ หน่อย!”“คุณผู้ชายครับ ถ้าคุณยังโวยวายอยู่แบบนี้ต่อไป ทางร้านเราจะไม่ต้อนรับแล้วนะครับ”ชายหนุ่มผมสกินเฮดเลิกขึ้นพร้อมเดินหน้าขึ้นมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างจองหองว่า “ทำไม? แกลองกล้าไล่ฉันออกไปดูสิ?”ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายอดไม่ได้ที่จะเดินขึ้นหน้ามาพร้อมชี้พนักงานแล้วเอ่ยว่า “แกทำท่าทีแบบนี้ใส่พี่หลงของฉันเหรอ? ไปเรียกผู้จัดการของพวกแกออกมาเดี๋ยวนี้!”ชายหนุ่มที่อยู่ทางขวาเองก็เอ่ยขึ้นว่า “แกมาใหม่ใช่ไหม? ถึงไม่รู้ว่าพี่หลงของเราเป็นใคร?!”พนักงานอีกคนออกหน้ามาไกล่เกลี่ยให้ชาย
ตอนที่เวินเหลียงไปเรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ เขาเคยมีความรู้สึกดีต่อเธอจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูแลเธอเป็นพิเศษหรอกเธอรู้ว่างานอดิเรกของเขาคือการถ่ายรูป เขาเองก็ค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้อยู่นิดหน่อย เขายังเคยถามว่าเธออยากเรียนถ่ายภาพไหม ทว่าเธอปฏิเสธเพียงแต่หลังจากนั้นไม่รู้ทำไมเวินเหลียงถึงตีตัวออกห่างจากเขา แถมยังย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์ที่เขาแนะนำให้ด้วยต่อมาเวินเหลียงก็กลับประเทศ ลบช่องทางการติดต่อทุกอย่างของเขาทิ้งทั้งหมด ทั้งสองคนจึงขาดการติดต่อกันไปความรู้สึกดีเพียงน้อยนิดนั่นไม่พอสนับสนุนให้เขาตามเธอกลับประเทศ และเขาเองก็ค่อย ๆ ละทิ้งคนคนนี้ไว้เบื้องหลังเช่นกันจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเปิดกลุ่มแชตในโทรศัพท์ระหว่างทำงาน แล้วไปเห็นบัญชีที่ดูคุ้นตาบัญชีหนึ่งเข้า...บางทีอาจเป็นเพราะสองสามปีมานี้ไม่ค่อยได้ใช้จีเมล เธอยังไม่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์และชื่อเล่นอันที่จริงเขาคือหนึ่งในผู้จัดการแข่งขันการถ่ายภาพซานเหอในตอนแรกเริ่ม และเป็นหนึ่งในกรรมการของซีซันก่อนหน้ามาตลอดฮั่วตงเฉิงคิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเพราะการถ่ายภาพ และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเวินเหลียงจ
ขนตาดำขลับพลันกะพริบ น้ำตาไหลร่วงหล่นลงมาบนโต๊ะติ๋ง ๆ ภายในใจฮั่วตงเฉิงราวกับจู่ ๆ ก็มีอะไรมาทิ่มแทงเธอรักฟู่เจิงมากฟู่เจิงควรค่าที่ไหนกัน?เวินเหลียงเช็ดหัวตาทีหนึ่ง ก่อนจะดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วหมดในรวดเดียวฮั่วตงเฉิงไม่ได้พูดอะไรมากมายอีก มองเธอดื่มเหล้าพวกนั้นเข้าไป เมาจนพาดตัวไปบนโต๊ะทว่าก็ยังโวยวายอยากจะดื่มต่อเขาแงะแก้วที่อยู่ในมือเวินเหลียงออก ก่อนจะคิดเงินแล้วอุ้มเวินเหลียงขึ้นพาเดินออกไปจากบาร์ และวางเธอไว้ในที่นั่งด้านหลังรถเวินเหลียงเมาจนหมดสติไปแล้ว เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะที่นั่งด้านหลังฮั่วตงเฉิงเดินอ้อมไปขึ้นที่นั่งข้างคนขับ“คุณผู้ชายครับจะไปไหนเหรอครับ?”“โรงแรม” ฮั่วตงเฉิงเอ่ยคนขับรถสตาร์ตรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่ฮั่วตงเฉิงพักอยู่ระหว่างทางโทรศัพท์ของฮั่วตงเฉิงก็ดังขึ้นมา เป็นสายของเลขาเขาที่โทรเข้ามาฮั่วตงเฉิงรับสาย เลขาที่อยู่ปลายสายเอ่ยขึ้นว่า “คุณผู้ชายครับ คุณผู้หญิงกับคุณหนูหลินมาเจียงเฉิงครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมจิ่งเม่าครับ คุณผู้หญิงอยากพบคุณครับ”คุณผู้หญิงในที่นี้หมายถึงภรรยาคนที่สองของคุณท่านฮั่ว แม่แท้ ๆ ของฮั่วตงหลิน แม่เลี้ยงของฮั่ว