นอกเสียจากว่าทำเรื่องน่าละอายใจอะไรไว้เท่านั้น...ฉะนั้นที่คุณปู่ต้องมาจากไปไม่ใช่เพราะเธอกับฟู่เจิง แต่เป็นเพราะฟู่เยว่ ถึงได้ทิ้งพินัยกรรมที่ไม่เป็นธรรมกับฟู่เยว่อย่างนั้น และถึงได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เธอมากมายขนาดนั้น ถือว่าเป็นการชดเชย...ฟู่เจิงเงียบไม่พูดไม่จา มือใหญ่ ๆ ค่อย ๆ พาดไปบนไหล่ของเธอ แล้วตบปลอบเธอเบา ๆจู่ ๆ เวินเหลียงก็คิดได้ว่าต้องสะบัดแขนของเขาออก เธอลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมเดินห่างออกมาสองสามก้าว ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”มือของฟู่เจิงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเขาเข้าใจความรู้สึกของเวินเหลียงในตอนนี้ดีการตายของพ่อเธอ เดิมทีแล้วนั้นเหตุผลก็ยังเป็นเพราะถูกคนเข้ามาฉวยโอกาสระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเขาเองก็มีความรับผิดชอบที่ปัดออกไปไม่ได้ ยากจะไม่ให้เธอไม่โกรธเขา“อาเหลียง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเสียใจมาก เธออยากจะทุบตีฉันด่าฉัน ฉันก็รับได้ทั้งนั้น แต่อย่าเก็บเรื่องทั้งหมดไปอัดอั้นอยู่ในใจ”ในใจของเวินเหลียงเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านไปมา หมัดทั้งสองกำแน่น เธอหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่งเธอขบกรามแน่นถึงพูดคำว่า ‘ออกไป’ ออกมาได้!เ
ฟู่ชิงเยว่ออกมาจากร้านจิวเวลลี่ หางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างแสนคุ้นเคยเงาร่างหนึ่งขณะที่เธอหันไปมอง เงาร่างนั้นก็หายไปตรงหน้าประตูที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วฟู่ชิงเยว่เงยหน้ามองป้ายหน้าประตูร้านนั้น เป็นบาร์แห่งหนึ่งเวินเหลียงไปบาร์นั่นเหรอ?เธอเดินต่อไปข้างหน้าสองสามก้าว มองสำรวจไปรอบ ๆ พบรถของเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆนัยน์ตาของฟู่ชิงเยว่ประกายแสงดำมืดออกมาสายหนึ่ง เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาหมายเลขหนึ่งตอนกลางวันภายในบาร์ไม่ค่อยมีคนเท่าไรพนักงานสองสามคนย้ายลังเข้า ๆ ออก ๆ ง่วนอยู่กับการเติมสต็อกน้องชายที่อยู่บนโต๊ะบาร์เองก็กำลังเติมส่วนผสมของค็อกเทลเวินเหลียงสั่งเหล้ามาสองสามขวด ก่อนจะหาที่นั่งนั่งลงโดยไม่คิดอะไรมากมาย เธอเปิดขวดเหล้าเทเหล้าให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ากลืนมันลงไปในรวดเดียวของเหลวรสชาติขมฝาดไหลลงไปในคอ คิ้วอันงดงามของเวินเหลียงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ความกดดันและความเจ็บปวดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจไม่ได้ถูกเจือจางไปเลยเวินเหลียงเติมเหล้าให้ตัวเองอีกสองสามแก้วตรงหน้าพลันปรากฏเงาร่างของพ่อขึ้นมา ทั้งคุ้นเคยและทั้งห่างเหิน เบ้าตาเวินเหลียงอดไ
เมื่อเห็นดังนั้น พนักงานคนหนึ่งก็เดินขึ้นหน้ามา ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามคนสองสามที “คุณผู้หญิง มีอะไรเหรอครับ?”“ฉันจะคิดเงิน แต่พวกเขาขวางไม่ให้ฉันไป”พนักงานเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ทั้งสาม ไม่งั้นพวกคุณหลีกทางหน่อยดีไหมครับ อย่าทำให้คุณผู้หญิงลำบากใจเลย...”“ไปซะ นี่ไม่ใช่เรื่องของแก!” ผู้ชายผมสกินเฮดหันหน้ามา จากนั้นก็รีบตัดบทสนทนาของพนักงานทันที พร้อมกล่าวเตือนอย่างดุเดือด“พี่ชายครับ ใจเย็นก่อนนะครับ...”“ใครเป็นพี่น้องกับแกไม่ทราบ?” ชายหนุ่มผมทรงสกินเฮดเอ่ย “ถ้าอยู่เป็น ก็เข้ามาสอดให้มันน้อย ๆ หน่อย!”“คุณผู้ชายครับ ถ้าคุณยังโวยวายอยู่แบบนี้ต่อไป ทางร้านเราจะไม่ต้อนรับแล้วนะครับ”ชายหนุ่มผมสกินเฮดเลิกขึ้นพร้อมเดินหน้าขึ้นมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างจองหองว่า “ทำไม? แกลองกล้าไล่ฉันออกไปดูสิ?”ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายอดไม่ได้ที่จะเดินขึ้นหน้ามาพร้อมชี้พนักงานแล้วเอ่ยว่า “แกทำท่าทีแบบนี้ใส่พี่หลงของฉันเหรอ? ไปเรียกผู้จัดการของพวกแกออกมาเดี๋ยวนี้!”ชายหนุ่มที่อยู่ทางขวาเองก็เอ่ยขึ้นว่า “แกมาใหม่ใช่ไหม? ถึงไม่รู้ว่าพี่หลงของเราเป็นใคร?!”พนักงานอีกคนออกหน้ามาไกล่เกลี่ยให้ชาย
ตอนที่เวินเหลียงไปเรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ เขาเคยมีความรู้สึกดีต่อเธอจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูแลเธอเป็นพิเศษหรอกเธอรู้ว่างานอดิเรกของเขาคือการถ่ายรูป เขาเองก็ค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้อยู่นิดหน่อย เขายังเคยถามว่าเธออยากเรียนถ่ายภาพไหม ทว่าเธอปฏิเสธเพียงแต่หลังจากนั้นไม่รู้ทำไมเวินเหลียงถึงตีตัวออกห่างจากเขา แถมยังย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์ที่เขาแนะนำให้ด้วยต่อมาเวินเหลียงก็กลับประเทศ ลบช่องทางการติดต่อทุกอย่างของเขาทิ้งทั้งหมด ทั้งสองคนจึงขาดการติดต่อกันไปความรู้สึกดีเพียงน้อยนิดนั่นไม่พอสนับสนุนให้เขาตามเธอกลับประเทศ และเขาเองก็ค่อย ๆ ละทิ้งคนคนนี้ไว้เบื้องหลังเช่นกันจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเปิดกลุ่มแชตในโทรศัพท์ระหว่างทำงาน แล้วไปเห็นบัญชีที่ดูคุ้นตาบัญชีหนึ่งเข้า...บางทีอาจเป็นเพราะสองสามปีมานี้ไม่ค่อยได้ใช้จีเมล เธอยังไม่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์และชื่อเล่นอันที่จริงเขาคือหนึ่งในผู้จัดการแข่งขันการถ่ายภาพซานเหอในตอนแรกเริ่ม และเป็นหนึ่งในกรรมการของซีซันก่อนหน้ามาตลอดฮั่วตงเฉิงคิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเพราะการถ่ายภาพ และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเวินเหลียงจ
ขนตาดำขลับพลันกะพริบ น้ำตาไหลร่วงหล่นลงมาบนโต๊ะติ๋ง ๆ ภายในใจฮั่วตงเฉิงราวกับจู่ ๆ ก็มีอะไรมาทิ่มแทงเธอรักฟู่เจิงมากฟู่เจิงควรค่าที่ไหนกัน?เวินเหลียงเช็ดหัวตาทีหนึ่ง ก่อนจะดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วหมดในรวดเดียวฮั่วตงเฉิงไม่ได้พูดอะไรมากมายอีก มองเธอดื่มเหล้าพวกนั้นเข้าไป เมาจนพาดตัวไปบนโต๊ะทว่าก็ยังโวยวายอยากจะดื่มต่อเขาแงะแก้วที่อยู่ในมือเวินเหลียงออก ก่อนจะคิดเงินแล้วอุ้มเวินเหลียงขึ้นพาเดินออกไปจากบาร์ และวางเธอไว้ในที่นั่งด้านหลังรถเวินเหลียงเมาจนหมดสติไปแล้ว เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะที่นั่งด้านหลังฮั่วตงเฉิงเดินอ้อมไปขึ้นที่นั่งข้างคนขับ“คุณผู้ชายครับจะไปไหนเหรอครับ?”“โรงแรม” ฮั่วตงเฉิงเอ่ยคนขับรถสตาร์ตรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่ฮั่วตงเฉิงพักอยู่ระหว่างทางโทรศัพท์ของฮั่วตงเฉิงก็ดังขึ้นมา เป็นสายของเลขาเขาที่โทรเข้ามาฮั่วตงเฉิงรับสาย เลขาที่อยู่ปลายสายเอ่ยขึ้นว่า “คุณผู้ชายครับ คุณผู้หญิงกับคุณหนูหลินมาเจียงเฉิงครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมจิ่งเม่าครับ คุณผู้หญิงอยากพบคุณครับ”คุณผู้หญิงในที่นี้หมายถึงภรรยาคนที่สองของคุณท่านฮั่ว แม่แท้ ๆ ของฮั่วตงหลิน แม่เลี้ยงของฮั่ว
เขานั่งอยู่บนโซฟา มีโน้ตบุ๊กวางอยู่ตรงหน้าเขาเครื่องหนึ่ง ราวกับกำลังทำงานอยู่เวินเหลียงค้ำมือลุกขึ้นนั่งด้วยความประหลาดใจ พร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนี้มีร่องรอยของการใช้ชีวิตอย่างชัดเจนจริง ๆ ด้วย ไม่เหมือนห้องที่เพิ่งเปิดใหม่เธอเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”ฮั่วตงเฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก “เธอคิดว่าไงล่ะ?”เวินเหลียงตั้งใจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณเป็นคนพาฉันกลับมาจากบาร์?”ฉะนั้นคนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้เธอในตอนนั้นไม่ใช่ฟู่เจิง แต่เป็นฮั่วตงเฉิง เพียงแต่ตอนนั้นเธอดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยก็เลยจำผิด?ฮั่วตงเฉิงเพียงเลิกคิ้วทว่าไม่ได้ปฏิเสธ“พี่ตงเฉิง ขอบคุณที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ฉันนะคะ” เวินเหลียงยิ้มอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับถามลองเชิงว่า “ฉันดื่มเยอะไปหน่อย ไม่ได้พูดจาอะไรล่วงเกินไปใช่ไหมคะ?”อย่างเช่นเรียกเขาว่าฟู่เจิงเลยอะไรทำนองนี้?แม้จำผิดคนจะไม่นับว่าหนักหนาสาหัสเท่าไร แต่สำหรับคนที่ถูกจำไม่ได้นั้น ดูจะไม่ค่อยมีมารยาทนัก ยิ่งเป็นคนอย่างฮั่วตงเฉิงแบบนี้ด้วยแล้วฮั่วตงเฉิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้พูดอะไรนะ”เวินเหลียงถอนหายใจออกเล็กน้อย “ไม่ได้พูดอ
เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดตัดสายทิ้งตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับฟู่เจิงดีคิดไปคิดมา เวินเหลียงก็เปิดหน้าห้องแชตแล้วส่งข้อความตอบกลับฟู่เจิงไปสองสามคำ : ปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงหลังส่งข้อความเสร็จ เวินเหลียงก็คว่ำโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วยิ้มให้ฮั่วตงเฉิงนัยน์ตาของฮั่วตงเฉิงประกายความหมายลึกซึ้งออกมาสายหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมไม่รับล่ะ?”“ไม่ใช่สายสำคัญอะไร” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นโดยไม่คิดอะไรเพิ่งสิ้นเสียงเธอไปหยก ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเวินเหลียงหยิบขึ้นมาดูทีหนึ่ง ก็ยังเป็นฟู่เจิง“ไม่งั้นเธอไปรับสายเถอะ ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องสำคัญอะไรก็ได้” ฮั่วตงเฉิงเอ่ย “ฉันจำได้ว่าวันนี้ตอนบ่ายจางกั๋วอันมาถึงเจียงเฉิงแล้ว ไม่แน่ว่าอาจสอบสวนอะไรออกมาได้”เมื่อนึกถึงความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับรู้เมื่อตอนเช้า เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดสายและปิดเครื่องไปเลย “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องรับ”นัยน์ตาฮั่วตงเฉิงเป็นประกาย มุมปากกระตุกรอยยิ้มที่มีก็เหมือนไม่มีขึ้นมาสายหนึ่งหลังกินมื้อเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้หนึ่งทุ่มแล้ว“ไปกันเถอะ เธออยู่ที่ไหนเดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอเอง
ฟู่เจิงคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เวินเหลียงชะงักฝีเท้าพร้อมหันไปมองเขา “ฟู่เจิง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”ฟู่เจิงมองเธอด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย “เธอ...”ไปอยู่กับฮั่วตงเฉิงมาใช่ไหม?พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ชะงักไป ครึ่งประโยคหลังจมหายอยู่ในลำคอ บนหน้าเผยสีหน้าขมขื่นทุรนทุรายออกมาเธอบอกว่าตัวเธอเองต้องการอยู่เงียบ ๆ เขากลัวเธอคิดไม่ตก ทีแรกอยากจะไปหาเธอใครจะรู้ได้เลยว่าระหว่างทางดันได้รับสายของฟู่ชิงเยว่เสียก่อนฟู่ชิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง บอกว่าเธอเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะทำการผ่าตัดต้องการให้คนในครอบครัวไปเซ็นชื่อฟู่เจิงไม่ระแคะระคายเรื่องอื่น เขาเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ถูกฟู่ชิงเยว่รั้งเอาไว้อยู่เป็นเวลานานเมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ฟู่เจิงก็ต่อสายโทรหาเวินเหลียง ไม่มีคนรับ ในตอนที่โทรอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไปเจอรถของเธออยู่หน้าบาร์ หลังเข้าไปสอบถามพนักงานในร้านถึงได้รู้ว่า เธอดื่มจนเมาและออกไปกับผู้ชายอีกคนแล้วเขาออกตามหาเธอไปทั่วทุกหนทุกแห่งราวกับเป็นบ้าทว่าในวินาทีนี้กลับได้รับรูปถ่ายเซ็ตหนึ่งในรูปภาพสองรูปแรก เวินเหลียงถูกฮั่วต