ตอนที่เวินเหลียงไปเรียนหนังสืออยู่ที่ต่างประเทศ เขาเคยมีความรู้สึกดีต่อเธอจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูแลเธอเป็นพิเศษหรอกเธอรู้ว่างานอดิเรกของเขาคือการถ่ายรูป เขาเองก็ค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้อยู่นิดหน่อย เขายังเคยถามว่าเธออยากเรียนถ่ายภาพไหม ทว่าเธอปฏิเสธเพียงแต่หลังจากนั้นไม่รู้ทำไมเวินเหลียงถึงตีตัวออกห่างจากเขา แถมยังย้ายออกจากอะพาร์ตเมนต์ที่เขาแนะนำให้ด้วยต่อมาเวินเหลียงก็กลับประเทศ ลบช่องทางการติดต่อทุกอย่างของเขาทิ้งทั้งหมด ทั้งสองคนจึงขาดการติดต่อกันไปความรู้สึกดีเพียงน้อยนิดนั่นไม่พอสนับสนุนให้เขาตามเธอกลับประเทศ และเขาเองก็ค่อย ๆ ละทิ้งคนคนนี้ไว้เบื้องหลังเช่นกันจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเปิดกลุ่มแชตในโทรศัพท์ระหว่างทำงาน แล้วไปเห็นบัญชีที่ดูคุ้นตาบัญชีหนึ่งเข้า...บางทีอาจเป็นเพราะสองสามปีมานี้ไม่ค่อยได้ใช้จีเมล เธอยังไม่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์และชื่อเล่นอันที่จริงเขาคือหนึ่งในผู้จัดการแข่งขันการถ่ายภาพซานเหอในตอนแรกเริ่ม และเป็นหนึ่งในกรรมการของซีซันก่อนหน้ามาตลอดฮั่วตงเฉิงคิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเพราะการถ่ายภาพ และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเวินเหลียงจ
ขนตาดำขลับพลันกะพริบ น้ำตาไหลร่วงหล่นลงมาบนโต๊ะติ๋ง ๆ ภายในใจฮั่วตงเฉิงราวกับจู่ ๆ ก็มีอะไรมาทิ่มแทงเธอรักฟู่เจิงมากฟู่เจิงควรค่าที่ไหนกัน?เวินเหลียงเช็ดหัวตาทีหนึ่ง ก่อนจะดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วหมดในรวดเดียวฮั่วตงเฉิงไม่ได้พูดอะไรมากมายอีก มองเธอดื่มเหล้าพวกนั้นเข้าไป เมาจนพาดตัวไปบนโต๊ะทว่าก็ยังโวยวายอยากจะดื่มต่อเขาแงะแก้วที่อยู่ในมือเวินเหลียงออก ก่อนจะคิดเงินแล้วอุ้มเวินเหลียงขึ้นพาเดินออกไปจากบาร์ และวางเธอไว้ในที่นั่งด้านหลังรถเวินเหลียงเมาจนหมดสติไปแล้ว เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะที่นั่งด้านหลังฮั่วตงเฉิงเดินอ้อมไปขึ้นที่นั่งข้างคนขับ“คุณผู้ชายครับจะไปไหนเหรอครับ?”“โรงแรม” ฮั่วตงเฉิงเอ่ยคนขับรถสตาร์ตรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่ฮั่วตงเฉิงพักอยู่ระหว่างทางโทรศัพท์ของฮั่วตงเฉิงก็ดังขึ้นมา เป็นสายของเลขาเขาที่โทรเข้ามาฮั่วตงเฉิงรับสาย เลขาที่อยู่ปลายสายเอ่ยขึ้นว่า “คุณผู้ชายครับ คุณผู้หญิงกับคุณหนูหลินมาเจียงเฉิงครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมจิ่งเม่าครับ คุณผู้หญิงอยากพบคุณครับ”คุณผู้หญิงในที่นี้หมายถึงภรรยาคนที่สองของคุณท่านฮั่ว แม่แท้ ๆ ของฮั่วตงหลิน แม่เลี้ยงของฮั่ว
เขานั่งอยู่บนโซฟา มีโน้ตบุ๊กวางอยู่ตรงหน้าเขาเครื่องหนึ่ง ราวกับกำลังทำงานอยู่เวินเหลียงค้ำมือลุกขึ้นนั่งด้วยความประหลาดใจ พร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนี้มีร่องรอยของการใช้ชีวิตอย่างชัดเจนจริง ๆ ด้วย ไม่เหมือนห้องที่เพิ่งเปิดใหม่เธอเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”ฮั่วตงเฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก “เธอคิดว่าไงล่ะ?”เวินเหลียงตั้งใจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณเป็นคนพาฉันกลับมาจากบาร์?”ฉะนั้นคนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้เธอในตอนนั้นไม่ใช่ฟู่เจิง แต่เป็นฮั่วตงเฉิง เพียงแต่ตอนนั้นเธอดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยก็เลยจำผิด?ฮั่วตงเฉิงเพียงเลิกคิ้วทว่าไม่ได้ปฏิเสธ“พี่ตงเฉิง ขอบคุณที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ฉันนะคะ” เวินเหลียงยิ้มอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับถามลองเชิงว่า “ฉันดื่มเยอะไปหน่อย ไม่ได้พูดจาอะไรล่วงเกินไปใช่ไหมคะ?”อย่างเช่นเรียกเขาว่าฟู่เจิงเลยอะไรทำนองนี้?แม้จำผิดคนจะไม่นับว่าหนักหนาสาหัสเท่าไร แต่สำหรับคนที่ถูกจำไม่ได้นั้น ดูจะไม่ค่อยมีมารยาทนัก ยิ่งเป็นคนอย่างฮั่วตงเฉิงแบบนี้ด้วยแล้วฮั่วตงเฉิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้พูดอะไรนะ”เวินเหลียงถอนหายใจออกเล็กน้อย “ไม่ได้พูดอ
เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดตัดสายทิ้งตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับฟู่เจิงดีคิดไปคิดมา เวินเหลียงก็เปิดหน้าห้องแชตแล้วส่งข้อความตอบกลับฟู่เจิงไปสองสามคำ : ปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงหลังส่งข้อความเสร็จ เวินเหลียงก็คว่ำโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วยิ้มให้ฮั่วตงเฉิงนัยน์ตาของฮั่วตงเฉิงประกายความหมายลึกซึ้งออกมาสายหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมไม่รับล่ะ?”“ไม่ใช่สายสำคัญอะไร” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นโดยไม่คิดอะไรเพิ่งสิ้นเสียงเธอไปหยก ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเวินเหลียงหยิบขึ้นมาดูทีหนึ่ง ก็ยังเป็นฟู่เจิง“ไม่งั้นเธอไปรับสายเถอะ ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องสำคัญอะไรก็ได้” ฮั่วตงเฉิงเอ่ย “ฉันจำได้ว่าวันนี้ตอนบ่ายจางกั๋วอันมาถึงเจียงเฉิงแล้ว ไม่แน่ว่าอาจสอบสวนอะไรออกมาได้”เมื่อนึกถึงความจริงของเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับรู้เมื่อตอนเช้า เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดสายและปิดเครื่องไปเลย “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องรับ”นัยน์ตาฮั่วตงเฉิงเป็นประกาย มุมปากกระตุกรอยยิ้มที่มีก็เหมือนไม่มีขึ้นมาสายหนึ่งหลังกินมื้อเย็นเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้หนึ่งทุ่มแล้ว“ไปกันเถอะ เธออยู่ที่ไหนเดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอเอง
ฟู่เจิงคว้าข้อมือของเธอเอาไว้เวินเหลียงชะงักฝีเท้าพร้อมหันไปมองเขา “ฟู่เจิง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”ฟู่เจิงมองเธอด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย “เธอ...”ไปอยู่กับฮั่วตงเฉิงมาใช่ไหม?พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ชะงักไป ครึ่งประโยคหลังจมหายอยู่ในลำคอ บนหน้าเผยสีหน้าขมขื่นทุรนทุรายออกมาเธอบอกว่าตัวเธอเองต้องการอยู่เงียบ ๆ เขากลัวเธอคิดไม่ตก ทีแรกอยากจะไปหาเธอใครจะรู้ได้เลยว่าระหว่างทางดันได้รับสายของฟู่ชิงเยว่เสียก่อนฟู่ชิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง บอกว่าเธอเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะทำการผ่าตัดต้องการให้คนในครอบครัวไปเซ็นชื่อฟู่เจิงไม่ระแคะระคายเรื่องอื่น เขาเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ถูกฟู่ชิงเยว่รั้งเอาไว้อยู่เป็นเวลานานเมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ฟู่เจิงก็ต่อสายโทรหาเวินเหลียง ไม่มีคนรับ ในตอนที่โทรอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไปเจอรถของเธออยู่หน้าบาร์ หลังเข้าไปสอบถามพนักงานในร้านถึงได้รู้ว่า เธอดื่มจนเมาและออกไปกับผู้ชายอีกคนแล้วเขาออกตามหาเธอไปทั่วทุกหนทุกแห่งราวกับเป็นบ้าทว่าในวินาทีนี้กลับได้รับรูปถ่ายเซ็ตหนึ่งในรูปภาพสองรูปแรก เวินเหลียงถูกฮั่วต
ในใจเขามีแต่จะยิ่งเจ็บปวดฉะนั้นคับแค้นใจก็ส่วนคับแค้นใจ เธอไม่มีทางเปลี่ยนทีท่าที่มีต่อฟู่เจิงในหลังจากนี้เพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน“งั้นเธอ...อย่าติดต่อกับฮั่วตงเฉิงอีกได้ไหม?” ในน้ำเสียงของฟู่เจิงแฝงความคาดหวังเอาไว้สายหนึ่งถ้าเธอตอบตกลงได้ เขาจะทำเป็นว่าเรื่องวันนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นเลยเวินเหลียงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ ฟู่เจิง คุณอย่างี่เง่าไร้เหตุผลสิ”แม้ฟู่เยว่จะมอบตัวแล้ว ท้ายที่สุดฮั่วตงเฉิงก็เป็นคนช่วยเธอจับตัวจางกั๋วอันได้ แถมยังเป็นครูสอนถ่ายภาพของเธออีก จะไม่ให้ติดต่อกันได้ยังไง?นัยน์ตาของฟู่เจิงประกายความเศร้าสลดออกมาสายหนึ่งเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ เธอไม่ยอมตอบตกลง...เธอบอกว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผล“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้วละก็ ฉันขอตัวขึ้นไปก่อนนะ”เวินเหลียงผละตัวออกจากอ้อมอกเขา ก่อนจะกดปุ่มลิฟต์ขึ้นแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ฟู่เจิงยืนอยู่ที่เดิม เขาหลับตาไม่กระดุกกระดิกใด ๆเมื่อเวินเหลียงออกมาจากลิฟต์เธอก็ใส่รหัสเปิดประตูภายในห้องนั่งเล่นมืดสนิทเธอเปลี่ยนรองเท้าแล้วหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา พบว่าถังซือซือส่งไลน์ให้เธอตอนที่เ
ร่างกายท่อนบนเย็นยะเยียบ เวินเหลียงพลันตื่นเต็มตามากขึ้น เธอเอ่ยขึ้นอย่างสะลึมสะลือว่า “...ฟู่เจิง! อย่านะ...”วินาทีถัดมา เข่าทั้งสองข้างของฟู่เจิงก็กางอยู่ขนาบสองข้างของลำตัวเธอ จากนั้นยกลำตัวท่อนบนขึ้นมาพลางจ้องมองเธอ สายตาชำเลืองไปด้านล่างทีละนิ้ว ๆ นัยน์ตาเริ่มประกายความลึกซึ้งออกมา ทั้งตัวแฝงไปด้วยเปลวเพลิงประหลาดเธอเดือดพล่านจนหน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสั่นระเรื่อเล็กน้อยเมื่อเวินเหลียงเห็นนัยน์ตาของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ เธอพยายามสลัดข้อมือออก ทว่าก็สลัดไม่ออก “ฟู่เจิง คุณปล่อยฉันไปนะ ถ้าขืนคุณยังทำแบบนี้อีกฉันจะโกรธแล้วนะ!”สีหน้าฟู่เจิงนิ่งสงบ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเวินเหลียงอย่างนั้น เขาคลี่เนกไทออกด้วยมือเดียวเวินเหลียงอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นฟู่เจิงใช้เนกไทมัดข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้ด้วยกันเวินเหลียงก็ดิ้นพล่านขึ้นมาอย่างแรง “ไม่ได้นะ! ฟู่เจิง คุณใจเย็นหน่อยสิ!”ฟู่เจิงยังไม่หยุดการกระทำ เขาวนเนกไทรอบข้อมือเวินเหลียงสองรอบก่อนจะผูกโบว์“ฟู่เจิง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่? มีอะไรก็พูดกันดี ๆ โอเคไหม? คุณไปหลับให้เต็มอิ่มสักตื่น พรุ่งนี้เ
“ไม่ดื้อนะ แยกขาหน่อยสิ...”เขาเอ่ยโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่ามีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก เวินเหลียงทำตามที่เขาบอกทุกอย่างราวกับถูกพิษหนอนกู่เสียงหัวเราะแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วดังขึ้นมาเวินเหลียงตอบสนองกลับมา ตรงแก้มก็แดง ‘เถือก’ แล้ว เธอรีบหุบขาทั้งสองข้างทันทีทว่ามันไม่ทันแล้ว มือใหญ่ ๆ ของเขากดไว้บนเข่าของเธอทันใดนั้นภายในห้องนั่งเล่นก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้นของฟู่เจิงเวินเหลียงเริ่มเกร็งไปทั้งเนื้อตัวขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมสั่นเทาเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็น ทว่าราวกับเธอสัมผัสได้ถึงสายตาอันรุ่มร้อนของเขา จ้องจนตัวเธอไม่เป็นตัวเองไปเลย ราวกับจู่ ๆ ฟู่เจิงก็เก่งขึ้นมาก...เธอถูกเขาทำให้คล้อยตามเป็นจังหวะเดียวกันไปแล้ว!ทั้งหมดต้องโทษเขา!เขาบีบบังคับเธอ เธอเพียงแค่ไม่สามารถต้านทานได้เท่านั้นเวินเหลียงปลอบตัวเองจู่ ๆ งูน้ำก็เลื้อยขึ้นมาอยู่บนต้นขาของเธอ!ค่อย ๆ เลื้อยขึ้นมา ราวกับแหวกว่ายอยู่ในน้ำงูน้ำของประเทศจีนเป็นงูน้ำที่กระจายอยู่ในประเทศอย่างแพร่หลาย สามารถพบได้ทุกที่ตามแม่น้ำหรือบ่อน้ำนอกป่า มักอาศัยอยู่ในน้ำตลอดทั้งปี