“ไม่ดื้อนะ แยกขาหน่อยสิ...”เขาเอ่ยโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่ามีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก เวินเหลียงทำตามที่เขาบอกทุกอย่างราวกับถูกพิษหนอนกู่เสียงหัวเราะแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วดังขึ้นมาเวินเหลียงตอบสนองกลับมา ตรงแก้มก็แดง ‘เถือก’ แล้ว เธอรีบหุบขาทั้งสองข้างทันทีทว่ามันไม่ทันแล้ว มือใหญ่ ๆ ของเขากดไว้บนเข่าของเธอทันใดนั้นภายในห้องนั่งเล่นก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้นของฟู่เจิงเวินเหลียงเริ่มเกร็งไปทั้งเนื้อตัวขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมสั่นเทาเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็น ทว่าราวกับเธอสัมผัสได้ถึงสายตาอันรุ่มร้อนของเขา จ้องจนตัวเธอไม่เป็นตัวเองไปเลย ราวกับจู่ ๆ ฟู่เจิงก็เก่งขึ้นมาก...เธอถูกเขาทำให้คล้อยตามเป็นจังหวะเดียวกันไปแล้ว!ทั้งหมดต้องโทษเขา!เขาบีบบังคับเธอ เธอเพียงแค่ไม่สามารถต้านทานได้เท่านั้นเวินเหลียงปลอบตัวเองจู่ ๆ งูน้ำก็เลื้อยขึ้นมาอยู่บนต้นขาของเธอ!ค่อย ๆ เลื้อยขึ้นมา ราวกับแหวกว่ายอยู่ในน้ำงูน้ำของประเทศจีนเป็นงูน้ำที่กระจายอยู่ในประเทศอย่างแพร่หลาย สามารถพบได้ทุกที่ตามแม่น้ำหรือบ่อน้ำนอกป่า มักอาศัยอยู่ในน้ำตลอดทั้งปี
ทำไมเธอถึงได้...ถึงได้...ถูกเขาปรนนิบัติให้ลุ่มหลงได้สบาย ๆ อย่างนั้น!น่ารังเกียจชะงัด นี่มันจิ้งจอกตัวผู้ชัด ๆขณะอาบน้ำ เมื่อเวินเหลียงเห็นร่องรอยด้านในต้นขาก็ยิ่งอับอายเข้าไปกันใหญ่อ๊า ๆ ๆ ๆ...ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานตอนเช้าเธอยังน้อยเนื้อต่ำใจอย่างสุดขีดอยู่แท้ ๆ พอตกดึกทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้...ทั้งหมดเป็นเพราะฟู่เจิงบังคับขืนใจเธอ!เวินเหลียงพยายามล้างสมองตัวเองสุดชีวิตขณะหลังเวินเหลียงจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยและออกไปจากห้องนอน สถานการณ์ทุกอย่างก็นิ่งสงบลงตั้งนานแล้ว ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อนภายในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่เวินเหลียงมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย หรือว่าเขาไปแล้ว?ในขณะนี้เองก็มีเสียงหั่นของแว่วดังขึ้นมาจากในห้องครัวอ๋อที่แท้ก็ยังไม่ได้ไปชุดนอนพาดอยู่บนข้างโซฟา เวินเหลียงเดินไปเก็บขึ้นมา ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวนี้เองฝีเท้าก็เป็นอันต้องชะงักไปในฉับพลันบนโซฟามีรอยเปียกชื้นดวงใหญ่มากดวงหนึ่งตำแหน่งตรงนั้น...สีหน้าเวินเหลียงพลันแดงก่ำขึ้นมา แถมยังร้อนผ่าวจนจะหุงข้าวสุกอยู่แล้วเธอมองซ้ายมองขวา ก่อนจะลวดมือหยิบหมอนโยนไปใบหนึ่งกลัวว่าจะปิดไม่ม
“ไม่เอา”ฟู่เจิงปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะลงจากรถไปผ่านไปสิบนาทีฟู่เจิงก็กลับมา เขาส่งถุงกระดาษคราฟต์ในมือให้เวินเหลียง “ขนมเปี๊ยะกรอบไส้ทุเรียนเพิ่งออกจากเตาใหม่ ๆ”เวินเหลียงรับมา เปิดถุงไปด้วยพลางบ่นพึมพำไปด้วย “ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ล่ะ?”“คนต่อคิวค่อนข้างเยอะน่ะ”เวินเหลียงแค่นเสียงฮึทีหนึ่ง ก่อนจะคีบขนมเปี๊ยะกรอบไส้ทุเรียนขึ้นมากินชิ้นหนึ่งผ่านไปไม่นาน ในรถก็คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นทุเรียนฟู่เจิงไม่ได้รังเกียจกลิ่นทุเรียน ทว่าก็รับไม่ได้ที่จะมีกลิ่นนี้ติดไปทั้งตัวขณะอยู่ในพื้นที่แคบ ๆเขากำลังคิดจะเปิดกระจก ทว่าเวินเหลียงดันพูดตัดหน้าเขา “ฉันหนาว เปิดฮีตเตอร์แรงหน่อย”ฟู่เจิง “...”เยี่ยมไปเลยเวินเหลียงที่เชื่อฟังและประสีประสากลายเป็นสาวน้อยร้ายกาจจอมเอาแต่ใจฟู่เจิงยิ้มอย่างจนใจทีหนึ่ง ทว่าในใจพอใจสุด ๆเขากลัวว่าเธอจะเกลียดเขา ไม่แยแสเขาอีกเพราะเรื่องเมื่อคืน ภายใต้การเปรียบเทียบ เดิมทีการลงโทษเล็กน้อยในตอนนี้ไม่มีความสลักสำคัญใด ๆ กลับกันยิ่งเหมือนมีอรรถรสเพิ่มมากขึ้นเมื่อมาถึงยังร้านอาหารขายเนื้อแกะแถวถนนมหาวิทยาลัยแล้ว เวินเหลียงก็เดินมุ่งหน้าเข้าไปในร้านทันทีฟู
เวินเหลียงเลือกโซฟาที่ทำด้วยวัสดุผ้าลินินมาสองแบบและทำด้วยวัสดุหนังวัวมาสองแบบ จากนั้นถ่ายวิดีโอส่งไปให้ถังซือซือสุดท้ายถังซือซือเลือกโซฟาที่ทำด้วยวัสดุลินินแบบหนึ่งในนั้น โซฟาแบบนี้ออกแบบมาให้มีความกว้างและนุ่มสลายเวินเหลียงเองก็ชอบเช่นกัน จึงตัดสินใจอย่างมีความสุขแล้วฟู่เจิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งเวินเหลียงถลึงตาใส่เขาสองทีฟู่เจิงเป็นคนจ่ายเงินค่าโซฟา สามารถไปส่งสินค้าให้ถึงห้องในบ่ายวันนี้หลังออกมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ ฟู่เจิงก็ได้รับสายหนึ่งเป็นสายของเลขาหยางที่โทรเข้ามาเมื่อวานฟู่เจิงหัวหมุนสุด ๆ ทว่าเขาไม่พบร่องรอยอะไรบนตัวเวินเหลียง การแสดงออกของเธอราวกับไม่รู้ว่าเขาโกรธมาก่อนฟู่เจิงสัมผัสได้ถึงความปิดปกติบางอย่าง ตอนเช้าพอตื่นขึ้นมาก็ให้เลขาหยางไปตรวจสอบทันทีเลขาหยางตรวจสอบจนแจ่มชัดแล้วก็มารายงานกับเขา ฟู่เจิงถึงรู้ว่าหลังฮั่วตงเฉิงไปส่งเวินเหลียงที่โรงแรม เขาก็เปลี่ยนชุดออกไปข้างนอกทันที ผ่านไปนานสองนานถึงกลับมาทว่าคนที่ถ่ายรูปส่งมาให้เขาละเลยจุดนี้ไป ราวกับจงใจทำให้เขาเข้าใจผิดถ้าเมื่อคืนเขาไม่ได้มาพิสูจน์ยืนยันด้วยตัวเอง บางทีเขาอาจยังเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปตลอด
“เราก็หน้าหนาไปด้วยกัน”“คุณหน้าหนากับผีไปเถอะ”ฟู่เจิงได้แต่ยิ้มทว่าไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่กี่นาที ก็มีผู้ปกครองอีกสองสามคนพาลูกมานั่งรถไฟหลังรวบรวมจนได้จำนวนคนพอแล้ว รถไฟขบวนน้อยก็ออกเดินทางได้หลังเวินเหลียงกับฟู่เจิงเข้าไปนั่งในรถ รถไฟขบวนน้อยออกเดินทางแล่นวนรอบห้างสรรพสินค้ารอบหนึ่งเมื่อบรรดาผู้คนสัญจรไปมาที่เดินช็อปปิงอยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงรถไฟขบวนน้อย ต่างก็พากันหลีกทางให้ พร้อมทอดสายตามองมาโดยไม่คิดอะไรทีหนึ่งขณะที่พวกเขาชำเลืองมาเห็นเวินเหลียงและฟู่เจิง ก็มักจะหันกลับมามองเพิ่มอีกทีหนึ่งเด็ก ๆ ประหลาดใจกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา อยากจะลองเล่นรถไฟขบวนน้อยดูผู้ใหญ่ประหลาดใจที่พวกเขาอายุอานามขนาดนี้แล้วยังมานั่งรถไฟขบวนน้อยนี่อยู่อีกโดยเฉพาะคนรุ่นผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่มีความคิดว่าผู้ชายควรจะเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกเป็นสามีที่ดี มีความเป็นผู้ใหญ่ มั่นคงและมีความรับผิดชอบ เมื่อเห็นว่าฟู่เจิงอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทำไมถึงยังมานั่งรถไฟขบวนน้อยแสนไร้เดียงสาขนาดนั้น อย่างกับเด็กน้อย?หน้าตาก็ดูหล่อเหลา คงเป็นคนหน้าหนาคนหนึ่งแน่เวินเหลียงชำเลืองมองฟู่เจิงด้วยสีหน้าคงเดิมทีหนึ่
หลังกลายเป็นแฟนของฟู่เซิง เธอก็ไปทำความเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลฟู่มา เคยเห็นรูปของฟู่เจิงในอินเทอร์เน็ตเพียงแต่ไม่นึกว่าพวกเขายังมาเดินช็อปปิงที่ห้างด้วยกันแม้จะหย่ากันไปแล้ว คงคิดจะกลับมาแต่งงานกันใหม่อีกครั้ง?“อืม ฟู่เจิง” เวินเหลียงพูดแนะนำฟู่เจิง “นี่เซี่ยหมิ่น แฟนของพี่สาม”ฟู่เจิงมองเซี่ยหมิ่นชืด ๆ ทีหนึ่ง ไม่ได้โต้ตอบหรือพูดต่อบนหน้าของเซี่ยหมิ่นเผยความอิหลักอิเหลื่อออกมาสายหนึ่ง เธอมองเวินเหลียงเวินเหลียงพูดแก้สถานการณ์ให้ “นิสัยเขาเป็นแบบนี้น่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบคุณหรอกนะคะ”เซี่ยหมิ่นพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณเวินคะ อยากจะเข้าไปช็อปปิงไหมคะ? ร้านเราเพิ่งมีแบบใหม่เข้ามาล็อตหนึ่งพอดีเลย”“งั้นเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกันค่ะ” เวินเหลียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเซี่ยหมิ่นเดินนำพวกเขาเข้าไปทั้งยิ้มแย้ม เธอแนะนำสินค้าใหม่ประจำฤดูใบหไม้ผลิให้เวินเหลียงฟู่เจิงหอบเหล่าตุ๊กตาเดินตามอยู่ด้านหลังเวินเหลียงอากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ และถึงเวลาต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของฤดูใบไม้ผลิพอดี เวินเหลียงเลือกกระโปรงยาวแฟชันประจำฤดูใบไม้ผลิไปลองในห้องลองเสื้อผ้า ฟู่เจิงรอเธอ
“งั้นก็ได้ค่ะ” เซี่ยหมิ่นเดินออกไปส่งพวกเขา “กลับดี ๆ นะคะ”พอพวกเวินเหลียงเขาออกไป เซี่ยหมิ่นก็กลับมาที่ร้าน เพื่อนร่วมงานที่ว่างงานอยู่คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ๆ “หมินหมิ่น สองคนเมื่อกี้นั่นเหมือนจะเป็น...”เซี่ยหมิ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าดังเดิม พร้อมทำท่าอย่างเห็นจนชินตาแล้ว “เป็นพวกเขา พี่สะใภ้กับพี่ชายของแฟนฉัน”“น่าอิจฉาเธอจริง ๆ เลย ได้แฟนดีขนาดนี้”เซี่ยหมิ่นยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตน “ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉาซะหน่อย สะใภ้ไฮโซก็ไม่ได้เป็นกันได้ง่าย ๆ”“ก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าตระกูลคนธรรมดาทั่วไปเลย”หลังพูดจบทั้งสองคนก็แยกจากกัน เพื่อนร่วมงานลอบกลอกตาขาวใส่ทีหนึ่งนี่เพิ่งจะคบกันได้ไม่นานเท่าไร ก็โอ้อวดตัวเองว่าเป็น ‘สะใภ้ไฮโซ’ แล้วยังไม่แน่เลยว่าจะได้เข้าตระกูลไฮโซหรือเปล่า!ออกมาจากร้าน เวินเหลียงเห็นว่าฟู่เจิงยังคงมีท่าทีเย็นชาอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณเป็นอะไรไป?”ฟู่เจิงตอบ “สายตาฟู่เซิงไม่ได้เรื่องได้ราวเท่าไรเลย”เวินเหลียง “...”เธอนึกไปถึงที่อาสะใภ้รองบ่นก่อนหน้านี้สองวันนั้นเป็นเพราะฟู่เซิงงานยุ่ง แต่ก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว อาสะใภ้รองคงบอกเรื่องในวันนั้นกับฟู่เซิงแล้
หลังเพลงร็อกจบลง ชายหญิงที่อยู่ในฟลอร์เต้นรำยังคงทยอยเข้าไปอย่างต่อเนื่องนักร้องที่อยู่บนเวทีลงจากเวที เบื้องหลังตัดเพลงที่อินโทรฟังสบาย ๆ ขึ้นมาเพลงหนึ่ง ก่อนจะส่งไมโครโฟนให้ฟู่เจิงฟู่เจิงเดินขึ้นเวทีไป เงาร่างที่สูงตระหง่านยืนอยู่ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าอันหล่อเหลาทำเอาผู้คนละสายตาไม่ได้“เมื่อดวงดาวที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้าปรากฏขึ้น...”เสียงผู้ชายประสานเข้ามาตามจังหวะ เย็นชาและเหินห่าง เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งเป็นเพลงความรักที่สวรรค์ลิขิตของคุณหลี่เจี้ยน“เธอรู้ไหมฉันเริ่มคิดถึงเธออีกแล้ว แม้จะรักมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงมองอยู่ห่าง ๆ ดั่งเช่นแสงจันทร์สาดส่องไปบนผืนทะเล...”เวินเหลียงมองเงาร่างที่อยู่บนเวทีพลางเลิกคิ้ว เธอถือโทรศัพท์ขึ้นมาเริ่มกดอัดบันทึกก่อนหน้านี้เธอไม่เคยฟังฟู่เจิงร้องเพลงมาก่อนเลยเธอรู้แค่ว่าเขาเล่นเปียโนเป็น แต่นึกไม่ถึงว่าจะร้องเพลงเพราะขนาดนั้นด้วยตอนแรกเธอยังมีเจตนาเย้ยหยันอยู่สองสามส่วน ทว่ายิ่งฟังก็ยิ่งจมดิ่งสู่ความลุ่มหลง“พวกเราที่ยังเยาว์วัยเคยคิดว่า คนที่รักกันจะไปถึงนิรันดร เมื่อเราเชื่อว่าความรักลึกซึ้งจนมาคบกัน ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจในสายลม ใคร