ฟู่เจิงจะไปบริษัท จึงให้เวินเหลียงติดรถไปลงหน้าประตูสถานีตำรวจด้วยเวินเหลียงได้ขับรถตัวเองกลับด้วยพอดีระหว่างทาง เวินเหลียงได้รับสายโทรเข้าสายหนึ่ง บนหน้าจอโชว์เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ทั่วไปเธอใส่หูฟังบลูทูธก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล?”มีเสียงที่ฟังดูอ่อนเยาว์ทว่าเป็นมิตรเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมาจากปลายสาย “ฮัลโหล คุณเวินใช่ไหมครับ?”“ฉันเองค่ะ คุณคือ?”“ผมเสี่ยวเฉิงเป็นผู้ช่วยของผู้กำกับซ่งครับ ผู้กำกับซ่งมีเรื่องอยากจะหารือกับคุณน่ะครับ ตอนนี้คุณพอมีเวลามาหาหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “ผู้กำกับซ่งอยากเจอฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”เสี่ยวเฉิงเอ่ย “คุยในโทรศัพท์เดี๋ยวเดียวคงพูดได้ไม่ชัดเจน เหมือนว่าจะเป็นปัญหาในฉากที่เกี่ยวข้องกับคุณน่ะครับ ถ้าคุณมีเวลาละก็มาหน้าเซ็ตถ่ายหนังหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”จะว่ายังไงเธอเองถ่ายฉากที่หน้าเซ็ตไปสองสามฉากเช่นกันหลังทางกองถ่ายสอบถามสาเหตุที่ฉู่ซืออี๋ถูกตำรวจคุมตัวไปจนชัดเจน จึงได้รู้ว่าฉู่ซืออี๋หมดหนทางช่วยเหลือแล้ว จึงตัดสินใจตัดฉู่ซืออี๋ออกตอนนี้คงกำลังหาคนใหม่มารับบท
ทีมงานต่างพากันอึ้งไป ก่อนจะย้ายอุปกรณ์ประกอบฉากกลับไปใหม่อีกครั้ง เหล่าผู้ช่วยต่างไปเรียกนักแสดงมา“คุณรอผมเดี๋ยวนะครับ” ผู้กำกับซ่งวางโทรโข่งแล้วเดินออกไปข้างนอก เรียกนักแสดงและตากล้องมาบรีฟฉากถ่ายด้วยกันหลังบรีฟเสร็จ ก็เริ่มถ่ายทำใหม่อีกครั้งแสดงไปรอบหนึ่งแล้ว เหล่านักแสดงต่างคุ้นเคยกันหมดแล้ว จึงถ่ายเทคเดียวผ่านผู้กำกับซ่งกลับมาหน้ามอนิเตอร์อีกครั้ง พร้อมเล่นวิดีโอที่เพิ่งถ่ายทำไปเมื่อครู่ใหม่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เลว แบบนี้สบายกว่าเยอะ”เวินเหลียงฉีกยิ้ม “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?”ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเธอก็จะขอตัวกลับก่อนเมื่อผู้กำกับซ่งได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “มีครับ เราไปนั่งคุยกันทางนั้นกันเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงขานรับ ทว่าในใจมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อยยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก?คงอยากลบฉากเธอละมั้งเวินเหลียงนั่งลงตรงหน้าผู้กำกับซ่ง ผู้ช่วยยกน้ำมาให้สองแก้วเธอทำท่าทางบอกให้ผู้ช่วยวางบนโต๊ะ แล้วเอ่ยทั้งยิ้มแย้มว่า “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ? บอกฉันมาได้เลย”ผู้กำกับซ่งยิ้ม “งั้นผมพูดตรง ๆ เ
“เยี่ยมครับ ๆ ๆ” ผู้กำกับซ่งลุกขึ้นยืนด้วยความดีอกดีใจ เขาหยิบบทละครขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วรีบเปิดหาฉากของซูเมี่ยวฉากหนึ่งจนเจอด้วยความรวดเร็ว “เอาตรงนี้ก็แล้วกันครับ คุณลองอ่านดูสิครับ”เวินเหลียงรับมา สายตาตกไปอยู่บนบทละคร เธอตั้งใจอ่านเป็นอย่างมากพล็อตเรื่องในท่อนนี้เกิดขึ้นตอนใกล้จะจบเรื่องแล้ว ซูเมี่ยวถูกพระเอกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เป็นบทสนทนากับพระเอกก่อนตาย แสดงที่มานิสัยตัวละครของตัวนางหลังบทสนทนาจบ ซูเมี่ยวหลับตาลง หวนนึกเรื่องราวเก่า ๆตอนเด็ก ๆ ซูเมี่ยวเคยประสบกับความน่าเศร้าสลดพ่อแม่หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอก เธอเกิดมาในร่างคนที่มีหูของจิ้งจอก เร่ร่อนพเนจรอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกเหล่าชาวบ้านด่าประจานและขับไล่เพราะเห็นเป็นสัตว์ประหลาด ร่อนเร่พเนจรไปจนกระทั่งอายุสี่ขวบ ก็ถูกคุณปู่คนหนึ่งรับเลี้ยงเอาไว้ฐานะทางบ้านของคุณปู่ยากจน ซูเมี่ยวร่างกายซูบผอม มักจะถูกคนอายุเท่ากันรังแกและเย้ยหยัน ไม่มีใครยอมเล่นกับนางครั้งหนึ่งหลังจากที่นางถูกคนรังแก นางก็หนีไปร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำเพียงลำพังสาวน้อยที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันอายุห่างกับนางไม่มากคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในตอนที่นางถูกเด็กคนอื่นรั
“...หากตอนนั้น ข้ารอจนถึงตอนที่ท่านอาจารย์กลับมา และกลายเป็นศิษย์ของเขา เจ้าจะชอบข้าหรือไม่?”ก่อนจะเป็นคนเลว ในตอนที่เลือกได้ นางเองก็เคยเป็นคนดีมาก่อนเวินเหลียงลืมตา ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาจากพื้น “ผู้กำกับซ่ง คุณเห็นแล้วใช่ไหมคะ? เดิมทีฉันก็ไม่เหมาะกับการแสดงละครอยู่แล้ว”ไม่พูดไม่ได้ การตั้งค่าของตัวละครซูเมี่ยวตัวละครนี้ค่อนข้างมีมิติทีเดียว มีความดีแฝงอยู่ในความชั่ว และมีความชั่วแฝงอยู่ในความดี แม้จะเป็นตัวร้าย ทว่าก็ไม่ทำให้คนเกลียด ผู้กำกับซ่งมองเวินเหลียงด้วยความเซอร์ไพรส์ “ไม่เหมาะสมตรงไหนกัน เหมาะสมสุด ๆ ไปเลย! นี่แหละตัวตนของซูเมี่ยว!”“ไม่ใช่สิคะ ผู้กำกับซ่ง คุณไม่ต้องฝืนใจชมฉันหรอกค่ะ...”“เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งนั้น เสี่ยวเวิน ผมตามตัวมาถูกคนจริง ๆ คุณมีพรสวรรค์ด้านการแสดง ถ้าไม่เดินทางสายนี้ ก็เป็นการปล่อยให้พรสวรรค์ของคุณเปล่าประโยชน์จริง ๆ...”“หึ ๆ...” เวินเหลียงฉีกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างแข็งทื่อ “ผู้กำกับซ่งคะ ฉันมีพรสวรรค์อะไรที่ไหนกันคะ...”“คุณเลิกถ่อมตัวได้แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่แสดงเป็นสแตน
ห้าโมงเย็น เวินเหลียงมารออยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลตรงเวลาภายใต้การนำของคุณครู บรรดาหนูน้อยเข้าแถวเดินออกมาที่ประตูใหญ่แถวของนกแพนกวินตัวน้อยที่ตัวเท่า ๆ กัน ในเวลาเพียงชั่วครู่เวินเหลียงมองจนตาลายไปเล็กน้อยเมื่อฟู่ซือฝานเห็นเวินเหลียง ก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความปลื้มปีติ กำลังจะเรียกออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงปิดปากเงียบไปอีกครั้งเธอบอกกับคุณครูก่อนจะวิ่งเหยาะไปทางเวินเหลียงในตอนนี้เองเวินเหลียงถึงได้เห็นเธอ เวินเหลียงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว “ฝานฝาน”เมื่อมาถึงตรงหน้าเวินเหลียง ฟู่ซือฝานก็หันหน้าไปมองเพื่อนร่วมชั้นของตนทีหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณป้า เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”“อืม” เวินเหลียงปลดกระเป๋าเป้ใบน้อยบนหลังเธอลงมาถือ พร้อมจูงมือจ้ำม่ำน้อย ๆ ของเธอไปที่รถยนต์ “ฝานฝาน วันนี้ที่โรงเรียนอนุบาลรู้สึกยังไงบ้าง?”“ไม่เลวเลยค่ะ เพื่อน ๆ เฟรนด์ลี่กันมาก ๆ ส่วนคุณครูก็ดีแลหนูดีสุด ๆ ทำเหมือนว่าหนูทำอะไรไม่เป็นเลยอย่างนั้น...”คุณครูรู้ว่าฐานะทางบ้านของฟู่ซือฝานไม่ธรรมดา แถมเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศอีก กลัวว่าเธอจะปรับตัวไม่ได้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจเยอะหน่
เวินเหลียง “!”เธอวางโทรศัพท์ลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะคว้ากุญแจรถไปยังสถานีตำรวจก่อนหน้าที่จางกั๋วอันจะมาถึงเจียงเฉิงสองสามชั่วโมง มีคนมามอบตัวแล้ว?!คงเป็นเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังได้รับข่าวแน่ ๆ รู้ว่าไม่สามารถพลิกสถานการณ์กลับคืนมาได้แล้ว จึงจงใจผลักคนออกมารับผิดคนหนึ่ง!เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ หลังเวินเหลียงจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปในโถงด้วยความรวดเร็ว พร้อมมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของผู้กำกับการเลย‘ก๊อก ๆ ๆ...’เสียงเคาะประตูแสดงให้เห็นความรีบร้อนจนอดรนทนไม่ไหวอย่างชัดเจน เวินเหลียงเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “คุณอาคะ คุณอาอยู่ไหมคะ? ฉันเองค่ะ เวินเหลียง”“เข้ามาสิ”เวินเหลียงผลักประตูเข้าไปเลย “คุณอา”ทันใดนั้นฝีเท้าของเธอก็เป็นอันต้องชะงักไป เธอมองไปที่ฟู่เจิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้กำกับการบนโซฟา เธอเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ฟู่เจิง?”เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มานั่งคุยกันสิ”เวินเหลียงพยักหน้าไปทางผู้กำกับการ ก่อนจะนั่งลงข้างฟู่เจิง “คุณอาคะ เมื่อกี้คุณอาบอกว่ามีคนมามอบตัว จริงเหรอคะ? แน่ใจนะคะว่าเกี่
เวินเหลียงมองเข้าไปในนัยน์ตาของฟู่เจิง กระทั่งผ่านไปนานสองนานท้ายที่สุดเธอก็มั่นใจว่าฟู่เจิงไม่ได้กำลังโกหกเธอเวินเหลียงอ้าปากค้างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงนว่า “ทำไมถึงเป็นฟู่เยว่ไปได้?”เป็นฟู่เยว่ไปได้ยังไง?เธอสับสนไปหมดอยู่เล็กน้อย ราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างนั้นฟู่เยว่ไปเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวแล้วก็การตายของพ่อเธอได้ยังไง?!คุณปู่เคยบอกเธอว่า แรกเริ่มเดิมทีฟู่เยว่เป็นคนเสนอความคิดให้รับเลี้ยงเธอ บอกว่าเพื่อเป็นการขอบคุณการบริจาคตับของพ่อที่ช่วยต่อชีวิตคุณปู่ ฉะนั้นเธอจึงเคารพเขามาตลอด...ทันใดนั้นในสมองเธอก็วาบแสงสายหนึ่งขึ้นมา นึกถึงสิ่งที่เมิ่งเซ่อเคยบอก มือซ้ายของคนที่ไปส่งครอบครัวพวกเขาออกต่างประเทศมีหกนิ้ว คนขับรถของฟู่เยว่เองก็มีนิ้วมือหกนิ้วเหมือนกัน เพียงแต่เดิมทีเธอไม่ได้ปะติดปะต่อพวกเขาเข้าด้วยกันเท่านั้น...เห็นเวินเหลียงถามขึ้นมาแบบนี้ ฟู่เจิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ช็อกมากใช่ไหม? ตอนที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ ฉันเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกับเธอนั่นแหละ”“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” เวินเหลียงยังคงสับสนมึนงง “ทำ...ทำไมเขาถึงต้องไปลักพาตัวฉู่ซืออี๋ด้วย...”ตอนนั้นฉู่ซือ
นอกเสียจากว่าทำเรื่องน่าละอายใจอะไรไว้เท่านั้น...ฉะนั้นที่คุณปู่ต้องมาจากไปไม่ใช่เพราะเธอกับฟู่เจิง แต่เป็นเพราะฟู่เยว่ ถึงได้ทิ้งพินัยกรรมที่ไม่เป็นธรรมกับฟู่เยว่อย่างนั้น และถึงได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เธอมากมายขนาดนั้น ถือว่าเป็นการชดเชย...ฟู่เจิงเงียบไม่พูดไม่จา มือใหญ่ ๆ ค่อย ๆ พาดไปบนไหล่ของเธอ แล้วตบปลอบเธอเบา ๆจู่ ๆ เวินเหลียงก็คิดได้ว่าต้องสะบัดแขนของเขาออก เธอลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมเดินห่างออกมาสองสามก้าว ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”มือของฟู่เจิงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเขาเข้าใจความรู้สึกของเวินเหลียงในตอนนี้ดีการตายของพ่อเธอ เดิมทีแล้วนั้นเหตุผลก็ยังเป็นเพราะถูกคนเข้ามาฉวยโอกาสระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเขาเองก็มีความรับผิดชอบที่ปัดออกไปไม่ได้ ยากจะไม่ให้เธอไม่โกรธเขา“อาเหลียง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเสียใจมาก เธออยากจะทุบตีฉันด่าฉัน ฉันก็รับได้ทั้งนั้น แต่อย่าเก็บเรื่องทั้งหมดไปอัดอั้นอยู่ในใจ”ในใจของเวินเหลียงเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านไปมา หมัดทั้งสองกำแน่น เธอหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่งเธอขบกรามแน่นถึงพูดคำว่า ‘ออกไป’ ออกมาได้!เ