ถังซือซือกำลังลิ้มลองเค้กก้อนน้อย พร้อมทั้งชำเลืองมองเงาร่างของฟู่เจิง กะพริบตาปริบ ๆ “อาเหลียง ทำไมถึงยังไม่กลับอีกล่ะ? เธออย่าบอกฉันนะว่าเป็นเพราะอีตามืดบอดฟู่น่ะ?!”“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ?” เวินเหลียงเลิกคิ้ว “มีเรื่องอื่นจริง ๆ เธอคอยดูก็สิ้นเรื่องแล้ว”“โอเค” ถังซือซือฝืนเชื่อเธอเงยหน้ามองสีหน้าของเวินเหลียง ก่อนจะเม้มริมฝีปากล่าง “อาเหลียง...ฉันถามอะไรเธออย่างหนึ่งสิ...”คำถามนี้มันติดค้างอยู่ในใจเธอมานานแล้ว แต่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเวินเหลียง ก็เลยไม่เคยถามออกมา“อะไรเหรอ? เธอถามมาสิ”“ก่อนหน้านี้เธอ...ชอบอีตามืดบอดฟู่มากใช่ไหม?”ในตอนที่ถังซือซือรู้ว่าเวินเหลียงกับฟู่เจิงแต่งงานกัน การแต่งงานของพวกเขาก็เข้าสู่ภาวะวิกฤติแล้ว แต่คบหากันมานานขนาดนี้แล้ว เธอก็ยังสัมผัสร่องรอยอะไรออกนิดหน่อย...เวินเหลียงคงเคยชอบฟู่เจิงอย่างน้อยในช่วงที่อยู่กินกันฉันสามี เธอน่าจะชอบฟู่เจิงบางทีความรู้สึกยังลึกซึ้งอยู่ ไม่อย่างนั้นเพิ่งจะหย่ากันแท้ ๆ เวินเหลียงคงไม่ชินชาขนาดนั้น แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะลูก...เวินเหลียงชะงักไป พลางเม้มปากแล้วยิ้ม “ใช่”ใบหน้าของถังซ
พอฉู่ซืออี๋ถูกนำตัวไป เวินเหลียงเองก็ออกไปจากงานเช่นกันภายในห้องโถงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา มีคนมองมาทางฟู่เจิงอย่างต่อเนื่องภายใต้การประคับประคองของประธานหลี่ ภายในงานกลับมาครึกครื้นเหมือนเดิมอีกครั้งฟู่เจิงพูดกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ขอตัวก่อนนะครับ” แล้วออกมาจากงานเช่นกันหลังส่งมอบหลักฐานและให้การเสร็จ ขณะเวินเหลียงออกมาจากห้องสอบสวน ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วเธอเดินไปหาถังซือซือที่รออยู่ในห้องโถง “ไปกันเถอะ”ถังซือซือเก็บโทรศัพท์ “เสร็จเรื่องแล้วเหรอ?”“เสร็จแล้ว หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรจะออกหมายเรียก”ถังซือซือรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันแล้ว ในหัวเธอเต็มไปด้วยความแค้นเคือง “ฉู่ซืออี๋นี่มันโหดเหี้ยมจริง ๆ ฉันขอบอกกับเธอไว้เลยนะ เธอจะใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด ใครมาขอให้เธอให้อภัย เธอก็ตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ปล่อยให้ฉู่ซืออี๋ถูกขังจนลืมเดือนลืมตะวันไปเลย!”เธอพูดอย่างเป็นนัยเวินเหลียงยิ้ม “ฉันรู้ ไม่มีทางใจอ่อนเด็ดขาด”แม้ตอนนี้ฉู่ซืออี๋จะเดินมาบอกเธอว่า จะไประบุตัวคนร้ายให้เดี๋ยวนี้เลย เธอก็ไม่ใจอ่อนออกมาจากสถานีตำรวจ ลมเย็น ๆ พลันเข้ามาปะทะหน้าบนถนนผู้ค
ลิฟต์ลงมาจากชั้นสิบทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังมาจากที่ห่างไม่ไกลออกไป ดังขึ้นชัดเจนเป็นอย่างมากภายใต้ลานจอดรถใต้ดินที่เงียบสงัดถังซือซือไม่ได้สนใจ กำลังถือโทรศัพท์พิมพ์ก๊อกแก๊ก ๆ รับมือกับคำถามของพ่อตัวเองเวินเหลียงเม้มริมฝีปากล่าง พลางก้มหน้าไม่รู้ทำไมในใจเธอเกิดลางสังหรณ์แปลก ๆ ขึ้นอย่างหนึ่ง เธอรู้สึกว่าเสียงฝีเท้านี้เป็นของฟู่เจิงแต่เขาน่าจะเข้ามาไม่ได้สิถึงจะถูก“อาเหลียง”เบื้องหลังมีน้ำเสียงแสนคุ้นเคยแว่วดังขึ้นมาเวินเหลียง “...”เธอหันหน้ากลับไปพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองฟู่เจิง “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”ฟู่เจิงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบและไม่ช้า “เพนท์เฮ้าส์ย่านนี้ดูไม่เลว ก็เลยซื้อไว้ห้องหนึ่งน่ะ”ซึ่งอยู่ชั้นบนของบ้านเวินเหลียงเวินเหลียง “...”‘ติ๊ง...’เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นแรกประตูก็เปิดออกเวินเหลียงกำลังจะเดินเข้าไป ทว่าฟู่เจิงคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่น “อย่าเพิ่งไป ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”“ปล่อย!” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”“แค่ไม่กี่นาที เสียเวลาเธอแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ” ฟู่เจิงยืนกรานไม่ปล่อยมือเว
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเศร้าสลดในแววตาของฟู่เจิง เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปากล่าง กำปั้นที่ห้อยอยู่กำแน่นที่เธอพูดอยู่ไม่ใช่ความจริงหรอกเหรอ?เขามีอะไรให้ต้องเศร้าสลดอีก?“ใช่! ฟู่เจิง คุณทำแบบนี้ไม่ใช่แค่เหยียดหยามความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับฉู่ซืออี๋ แต่เป็นการดูถูกฉันด้วย คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะชอบคุณเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก! ไม่ว่าคุณอยากจะได้อะไรจากฉันก็ตาม ฉันแนะนำว่าคุณหยุดอยู่แค่ตรงนี้ซะเถอะ!” เวินเหลียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาเส้นเลือดบนหน้าผากของฟู่เจิงกระตุก นัยน์ตาทั้งสองจ้องเวินเหลียงเขม็ง “ฉันอยากได้อะไรจากตัวเธอ? เธอว่ามาสิ ฉันอยากได้อะไร?”“ฉันก็อยากถามคุณเหมือนกัน แต่เกรงว่าเรื่องนี้จะมีแต่ตัวคุณที่รู้” เวินเหลียงเลิกคิ้วฟู่เจิงเดือดดาลจนโพล่งหัวเราะออกมา เขาเลียฟันกรามซี่หลัง จ้องเวินเหลียงด้วยนัยน์ตาส่องแสงเป็นประกาย ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวเดินหน้าเข้ามาใกล้เมื่อสบกับนัยน์ตาลึกไม่เห็นก้นของเขา เวินเหลียงก็ถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ ถอยจนส้นเท้าไปชนเข้ากับผนังข้างประตูลิฟต์ “คุณ...คุณคิดจะทำอะไร?”แขนของฟู่เจิงค้ำอยู่บนผนัง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนรดอยู่บนกกหูข
สีหน้าของเวินเหลียงดูชืด ๆ เธอเลิกคิ้ว “คุณอยากพิสูจน์ให้ฉันเห็น?”“อืม”“ฉันไม่ต้องการให้คุณทำอะไรทั้งนั้น คุณแค่บอกไอ้เรื่องที่ปิดบังยากจะพูดออกมาที่คุณว่ากับฉันก็พอ ฉันจะแยกแยะจริงเท็จเอง”ฟู่เจิงอึ้งไปในทันใดเธอพูดไปหลายต่อหลายครั้งว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา ไม่อยากรับความรักจากเขา ถ้าเธอรู้ว่าเขาไปเจรจากับฉู่ซืออี๋เพื่อเธอ...ถ้าอธิบายครั้งนี้ออกไปแล้ว เธอต้องซักไซ้ถามหาเหตุผลที่เขาปล่อยฉู่ซืออี๋ออกมาครั้งก่อนแน่เรื่องชาติกำเนิดของเธอและรูปตอนตั้งครรภ์ใบนั้น จะให้เธอรู้เข้าไม่ได้เป็นอันขาดเมื่อเห็นฟู่เจิงลังเลและไม่ยอมพูดออกมา บนหน้าเวินเหลียงก็เผยการเย้ยหยันออกมาสายหนึ่ง “ในเมื่อทำไม่ได้ งั้นก็ช่างมันเถอะ ฉันไม่ต้องการให้คุณพิสูจน์อะไรทั้งนั้น คุณอยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ก็นับว่าเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันแล้ว”ในตอนนี้เองประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ลูกบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เขามองทั้งสองคนทีหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวออกไปเมื่อเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงโดยอัตโนมัติ เวินเหลียงก็สลัดมือใหญ่ ๆ ของฟู่เจิงออก แล้วรีบพุ่งตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว แล้วกดเลขชั้น
แม้ฟู่เซิงจะไม่ได้พาแฟนมาพบหน้าผู้ใหญ่ แต่เขาก็ต้องออกไปเดตกับเซี่ยหมิ่นอยู่ดีใช่ไหม อาสะใภ้รองคงจะไปสืบจนรู้ใครบ้างที่ไม่หวังให้ลูกชายหาแฟนที่เหมาะสมบ้าง?ตอนแรกที่คุณอาสะใภ้รองรู้ถึงฐานะของเซี่ยหมิ่นก็ไม่ปลื้มใจนักฐานะทางบ้านของเซี่ยหมิ่นธรรมดา พ่อแม่รับจ้างทำงานทั่วไป เธอยังมีน้องสาวอีกสองคน น้องชายอีกหนึ่งคน ทุกคนกำลังอยู่ในวัยเรียน เป็นช่วงอายุที่ต้องใช้เงิน มิหนำซ้ำคุณปู่คุณย่าของเซี่ยหมิ่นก็มีอายุมากแล้ว เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อบ่อย ๆ ลุงใหญ่ของเซี่ยหมิ่นสุขภาพยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เขากำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสรุปก็คือตระกูลเซี่ยยากจนข้นแค้นเป็นอย่างมากส่วนตัวเซี่ยหมิ่นเองก็เลิกเรียนกลางคันตอนมัธยมต้น เป็นพนักงานขายอยู่ในร้านเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งนี่ช่างแตกต่างกับเงื่อนไขของฟู่เซิงราวฟ้ากับเหวโชคดีที่คุณอาสะใภ้รองไม่ค่อยคิดมากในด้านฐานะ คิดแค่ว่ากว่าลูกชายที่ลุ่มหลงมัวเมาในการพัฒนาและวิจัยเป็นชีวิตจิตใจจะมีแฟนกับเขาสักคนไม่ง่ายเลย ไม่นานเธอก็รับฐานะของเซี่ยหมิ่นได้ คิดว่าตัวเซี่ยหมิ่นเองต้องมีคุณลักษณะที่ลูกชายตนชอบแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นลูกชายของตนคง
เวินเหลียงปฏิเสธ “พี่สะใภ้ใหญ่พี่เข้าใจผิดแล้ว ฉันก็แค่ชอบฝานฝานเท่านั้นเองค่ะ”“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...”เวินเหลียงเห็นสีหน้าของซูชิงอวิ๋นดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นอะไรไปเหรอ?”ซูชิงอวิ๋นวางแผ่นแป้งห่อในมือลง ก่อนจะก้มหน้าแล้วถอนหายใจเงียบ ๆ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อวานฉันได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว...”เขาในที่นี้หมายถึงฟู่เยว่โดยไม่ต้องสงสัยเมื่อเวินเหลียงได้ยินดังนั้น เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างเดือดพล่านว่า “พี่ใหญ่ทำแบบนี้ได้ยังไง?!”ซูชิงอวิ๋นตั้งท้องอยู่แท้ ๆ ค่อย ๆ สลัดความคิดเรื่องหย่าทิ้งไปแล้วแท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าฟู่เยว่ยังไม่ได้ตัดขาดกับผู้หญิงข้างนอก?!เมื่อเห็นเวินเหลียงมีอารมณ์แค้นเคืองร่วมกับเธอด้วย ในใจของซูชิงอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ขอบตาแดงระเรื่อไปหมด เธอคว้ามือของเวินเหลียงมากุมเอาไว้แล้วพูดว่า “อาเหลียง ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรทำยังไงดี...”เวินเหลียงมองประเมินสีหน้าท่าทางของซูชิงอวิ๋น เธอซูบผอมลงไปมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะทีเดียว สีหน้าซีดเซียวไปหมดเธอกำลังตั้งท้องอยู่ หากเป็นแบ
เวินเหลียงมองสีหน้าของฟู่เยว่ ในเวลาเพียงครู่เดียวไม่รู้เลยว่าที่เขาพูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วเขากับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน? ทำไมถึงบอกซูชิงอวิ๋นภรรยาที่ร่วมเรียงเคียงหมอนไม่ได้?ถ้าเขาพูดโกหก เขาพูดออกมาแบบนี้มันจะมีความหมายอะไร?เธอยังอยากถามอะไรต่อ ทว่าจู่ ๆ เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็แว่วดังขึ้นมาเสียก่อนเวินเหลียงล้วงโทรศัพท์ออกมาดู เป็นสายของจี้ตัน ในใจเธอเต้นระรัวสองสามที เธอส่งสายตาให้ฟู่เยว่ทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปรับโทรศัพท์ตรงที่ไกลหน่อย“จับตัวจางกั๋วอันได้หรือยัง?” หลังรับสายเวินเหลียงก็ถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวน้ำเสียงของจี้ตันที่อยู่ปลายสายฟังดูละอายเล็กน้อย “ขอโทษครับ จับตัวไม่ได้ครับ จางกั๋วอันตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว”เวินเหลียงอึ้งไป หัวใจเต้นตึกตักขึ้นเสียงหนึ่ง “ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น?”เป็นคนที่คนที่อยู่เบื้องหลังส่งไปช่วยจางกั๋วอันหรือเปล่า?ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงยากจะจับตัวจางกั๋วอันได้อีกแถมฉู่ซืออี๋ก็ไม่ยอมระบุตัวคนร้ายแล้วด้วยควรทำยังไงดี...ถึงจะแก้แค้นให้พ่อได้?“ครับ ตอนที่ไล่ตามจับจางกั๋วอัน พวกเราเจอการขัดขวางสองร