เมื่อสัมผัสได้ถึงความเศร้าสลดในแววตาของฟู่เจิง เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปากล่าง กำปั้นที่ห้อยอยู่กำแน่นที่เธอพูดอยู่ไม่ใช่ความจริงหรอกเหรอ?เขามีอะไรให้ต้องเศร้าสลดอีก?“ใช่! ฟู่เจิง คุณทำแบบนี้ไม่ใช่แค่เหยียดหยามความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับฉู่ซืออี๋ แต่เป็นการดูถูกฉันด้วย คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะชอบคุณเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก! ไม่ว่าคุณอยากจะได้อะไรจากฉันก็ตาม ฉันแนะนำว่าคุณหยุดอยู่แค่ตรงนี้ซะเถอะ!” เวินเหลียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาเส้นเลือดบนหน้าผากของฟู่เจิงกระตุก นัยน์ตาทั้งสองจ้องเวินเหลียงเขม็ง “ฉันอยากได้อะไรจากตัวเธอ? เธอว่ามาสิ ฉันอยากได้อะไร?”“ฉันก็อยากถามคุณเหมือนกัน แต่เกรงว่าเรื่องนี้จะมีแต่ตัวคุณที่รู้” เวินเหลียงเลิกคิ้วฟู่เจิงเดือดดาลจนโพล่งหัวเราะออกมา เขาเลียฟันกรามซี่หลัง จ้องเวินเหลียงด้วยนัยน์ตาส่องแสงเป็นประกาย ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวเดินหน้าเข้ามาใกล้เมื่อสบกับนัยน์ตาลึกไม่เห็นก้นของเขา เวินเหลียงก็ถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ ถอยจนส้นเท้าไปชนเข้ากับผนังข้างประตูลิฟต์ “คุณ...คุณคิดจะทำอะไร?”แขนของฟู่เจิงค้ำอยู่บนผนัง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนรดอยู่บนกกหูข
สีหน้าของเวินเหลียงดูชืด ๆ เธอเลิกคิ้ว “คุณอยากพิสูจน์ให้ฉันเห็น?”“อืม”“ฉันไม่ต้องการให้คุณทำอะไรทั้งนั้น คุณแค่บอกไอ้เรื่องที่ปิดบังยากจะพูดออกมาที่คุณว่ากับฉันก็พอ ฉันจะแยกแยะจริงเท็จเอง”ฟู่เจิงอึ้งไปในทันใดเธอพูดไปหลายต่อหลายครั้งว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา ไม่อยากรับความรักจากเขา ถ้าเธอรู้ว่าเขาไปเจรจากับฉู่ซืออี๋เพื่อเธอ...ถ้าอธิบายครั้งนี้ออกไปแล้ว เธอต้องซักไซ้ถามหาเหตุผลที่เขาปล่อยฉู่ซืออี๋ออกมาครั้งก่อนแน่เรื่องชาติกำเนิดของเธอและรูปตอนตั้งครรภ์ใบนั้น จะให้เธอรู้เข้าไม่ได้เป็นอันขาดเมื่อเห็นฟู่เจิงลังเลและไม่ยอมพูดออกมา บนหน้าเวินเหลียงก็เผยการเย้ยหยันออกมาสายหนึ่ง “ในเมื่อทำไม่ได้ งั้นก็ช่างมันเถอะ ฉันไม่ต้องการให้คุณพิสูจน์อะไรทั้งนั้น คุณอยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ก็นับว่าเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันแล้ว”ในตอนนี้เองประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี ลูกบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เขามองทั้งสองคนทีหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวออกไปเมื่อเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงโดยอัตโนมัติ เวินเหลียงก็สลัดมือใหญ่ ๆ ของฟู่เจิงออก แล้วรีบพุ่งตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว แล้วกดเลขชั้น
แม้ฟู่เซิงจะไม่ได้พาแฟนมาพบหน้าผู้ใหญ่ แต่เขาก็ต้องออกไปเดตกับเซี่ยหมิ่นอยู่ดีใช่ไหม อาสะใภ้รองคงจะไปสืบจนรู้ใครบ้างที่ไม่หวังให้ลูกชายหาแฟนที่เหมาะสมบ้าง?ตอนแรกที่คุณอาสะใภ้รองรู้ถึงฐานะของเซี่ยหมิ่นก็ไม่ปลื้มใจนักฐานะทางบ้านของเซี่ยหมิ่นธรรมดา พ่อแม่รับจ้างทำงานทั่วไป เธอยังมีน้องสาวอีกสองคน น้องชายอีกหนึ่งคน ทุกคนกำลังอยู่ในวัยเรียน เป็นช่วงอายุที่ต้องใช้เงิน มิหนำซ้ำคุณปู่คุณย่าของเซี่ยหมิ่นก็มีอายุมากแล้ว เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อบ่อย ๆ ลุงใหญ่ของเซี่ยหมิ่นสุขภาพยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เขากำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสรุปก็คือตระกูลเซี่ยยากจนข้นแค้นเป็นอย่างมากส่วนตัวเซี่ยหมิ่นเองก็เลิกเรียนกลางคันตอนมัธยมต้น เป็นพนักงานขายอยู่ในร้านเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งนี่ช่างแตกต่างกับเงื่อนไขของฟู่เซิงราวฟ้ากับเหวโชคดีที่คุณอาสะใภ้รองไม่ค่อยคิดมากในด้านฐานะ คิดแค่ว่ากว่าลูกชายที่ลุ่มหลงมัวเมาในการพัฒนาและวิจัยเป็นชีวิตจิตใจจะมีแฟนกับเขาสักคนไม่ง่ายเลย ไม่นานเธอก็รับฐานะของเซี่ยหมิ่นได้ คิดว่าตัวเซี่ยหมิ่นเองต้องมีคุณลักษณะที่ลูกชายตนชอบแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นลูกชายของตนคง
เวินเหลียงปฏิเสธ “พี่สะใภ้ใหญ่พี่เข้าใจผิดแล้ว ฉันก็แค่ชอบฝานฝานเท่านั้นเองค่ะ”“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...”เวินเหลียงเห็นสีหน้าของซูชิงอวิ๋นดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นอะไรไปเหรอ?”ซูชิงอวิ๋นวางแผ่นแป้งห่อในมือลง ก่อนจะก้มหน้าแล้วถอนหายใจเงียบ ๆ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อวานฉันได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว...”เขาในที่นี้หมายถึงฟู่เยว่โดยไม่ต้องสงสัยเมื่อเวินเหลียงได้ยินดังนั้น เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างเดือดพล่านว่า “พี่ใหญ่ทำแบบนี้ได้ยังไง?!”ซูชิงอวิ๋นตั้งท้องอยู่แท้ ๆ ค่อย ๆ สลัดความคิดเรื่องหย่าทิ้งไปแล้วแท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าฟู่เยว่ยังไม่ได้ตัดขาดกับผู้หญิงข้างนอก?!เมื่อเห็นเวินเหลียงมีอารมณ์แค้นเคืองร่วมกับเธอด้วย ในใจของซูชิงอวิ๋นก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ขอบตาแดงระเรื่อไปหมด เธอคว้ามือของเวินเหลียงมากุมเอาไว้แล้วพูดว่า “อาเหลียง ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรทำยังไงดี...”เวินเหลียงมองประเมินสีหน้าท่าทางของซูชิงอวิ๋น เธอซูบผอมลงไปมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะทีเดียว สีหน้าซีดเซียวไปหมดเธอกำลังตั้งท้องอยู่ หากเป็นแบ
เวินเหลียงมองสีหน้าของฟู่เยว่ ในเวลาเพียงครู่เดียวไม่รู้เลยว่าที่เขาพูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วเขากับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน? ทำไมถึงบอกซูชิงอวิ๋นภรรยาที่ร่วมเรียงเคียงหมอนไม่ได้?ถ้าเขาพูดโกหก เขาพูดออกมาแบบนี้มันจะมีความหมายอะไร?เธอยังอยากถามอะไรต่อ ทว่าจู่ ๆ เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็แว่วดังขึ้นมาเสียก่อนเวินเหลียงล้วงโทรศัพท์ออกมาดู เป็นสายของจี้ตัน ในใจเธอเต้นระรัวสองสามที เธอส่งสายตาให้ฟู่เยว่ทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปรับโทรศัพท์ตรงที่ไกลหน่อย“จับตัวจางกั๋วอันได้หรือยัง?” หลังรับสายเวินเหลียงก็ถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวน้ำเสียงของจี้ตันที่อยู่ปลายสายฟังดูละอายเล็กน้อย “ขอโทษครับ จับตัวไม่ได้ครับ จางกั๋วอันตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว”เวินเหลียงอึ้งไป หัวใจเต้นตึกตักขึ้นเสียงหนึ่ง “ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น?”เป็นคนที่คนที่อยู่เบื้องหลังส่งไปช่วยจางกั๋วอันหรือเปล่า?ถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงยากจะจับตัวจางกั๋วอันได้อีกแถมฉู่ซืออี๋ก็ไม่ยอมระบุตัวคนร้ายแล้วด้วยควรทำยังไงดี...ถึงจะแก้แค้นให้พ่อได้?“ครับ ตอนที่ไล่ตามจับจางกั๋วอัน พวกเราเจอการขัดขวางสองร
เธอรับปากฟู่ซือฝานเอาไว้ เธอจะไปส่งเขาเข้าเรียนในวันเปิดเรียนฟู่ซือฝานถือถุงกระดาษใบใหญ่ ห้อยโตงเตงจนถึงพื้น เธอมองเวินเหลียงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความน่าสงสาร “คุณป้าคะ หนูถือไม่ไหว คุณป้าพาหนูเข้าไปส่งหน่อยโอเคไหมคะ?”เจ้าตัวน้อยที่แสนฉลาด เธอค้นพบอย่างเฉียบไวว่าราวกับสองสามวันนี้คุณลุงกับคุณป้าทะเลาะกันถ้าจะพูดให้ถูก คุณลุงทะเลาะอยู่คนเดียว ส่วนคุณป้าเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยตอนนี้คุณลุงอยู่บ้าน เธอจะยอมพลาดโอกาสทองนี้ได้เสียที่ไหน?เวินเหลียงกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมบีบใบหน้าน้อย ๆ แดงแจ๋ของเจ้าตัวน้อย แล้วรับถุงกระดาษมาจากในมือของฟู่ซือฝาน “ไปเถอะ เดี๋ยวอาไปส่งเธอข้างในเอง”เธอลอบส่ายหน้าอยู่ในใจ ตระหนักได้ว่าที่ตัวเองทำไปเมื่อครู่มันไม่เหมาะสมทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจแล้วว่า จะเอาเรื่องระหว่างเธอกับคนคนนั้นมาเกี่ยวพันกับฟู่ซือฝานไม่ได้ ทว่าเมื่อครู่ เธอกลับไม่อยากเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่อยากเจอคนคนนั้นมิหนำซ้ำ ความระแวดระวังของเธอยังชัดเจนเกินไปจนถูกเจ้าตัวน้อยจับได้อีกเวินเหลียงลอบถอนหายใจอยู่ในใจเฮือกหนึ่ง ต่อไปจะทำแบบนี้ไม่ได้ประตูห้องรับแขกเปิดอยู่ แสงไฟอุ่น ๆ สะท
เวินเหลียงเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจฟู่เจิงไปเจรจาเงื่อนไขกับฉู่ซืออี๋เพื่อเธอ?เพราะฉะนั้นแหล่งเงินทุนของฉู่ซืออี๋เหล่านั้น แล้วก็งานเลี้ยงงานนั่น ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ฉู่ซืออี๋เสนอ?“จริงเหรอ? คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?” เวินเหลียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย“จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกค่ะ!” เลขาหยางรีบพยักหน้ารัว ๆ “ฉู่ซืออี๋รับปากว่าจะไประบุตัวคนร้ายหลังจบงานเลี้ยง แต่ไม่นึกเลยว่า...”เวินเหลียงแค่นเสียงฮึเบา ๆ เสียงหนึ่ง “ฟู่เจิงโง่จริง ๆ เขาคิดว่าเขาตอบรับเงื่อนไขพวกนั้นแล้ว ฉู่ซืออี๋จะไประบุตัวคนร้ายเหรอ? ไม่มีทางหรอก”แน่นอนว่าตัวเวินเหลียงเองก็โง่เช่นกันทั้งสองคนโง่ไปด้วยกัน ถูกฉู่ซืออี๋แกล้งปั่นหัวเล่นจนหัวหมุนไปหมดเลขาหยางยิ้ม “ไม่ว่ายังไง นี่ล้วนเป็นความตั้งใจของประธานฟู่ทั้งสิ้น”“ในเมื่อเขาไม่อยากบอกฉัน แล้วจุดประสงค์ที่คุณมาบอกฉันคืออะไรเหรอคะ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วถามเลขาหยางบีบจมูก “...ช่วงนี้ประธานฟู่อารมณ์ไม่ค่อยดีเลย...”เวินเหลียงพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณตอบคำถามฉันอีกคำถามสิคะ”“คุณว่ามาสิคะ”“ก่อนหน้านี้ที่ฉู่ซืออี๋ถูกข
เลขาหยางถอนหายใจ “ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณเวิน”เมื่อเวินเหลียงขับรถกลับมาถึงบ้าน เธอก็ไปเปิดไลฟ์คอร์สเรียนถ่ายภาพในห้องทำงานก่อนเป็นอันดับแรกน้ำเสียงของฮั่วตงเฉิงแว่วดังออกมาจากลำโพงเสียงเขาแหบเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบ พูดออกมาเจื้อยแจ้วไพเราะน่าฟัง ไม่นานก็ทำเอาเธอจมดิ่งไปอยู่ในความรู้ของการถ่ายภาพฉบับมืออาชีพเวินเหลียงจดบันทึกอย่างตั้งใจกระทั่งเรียนมาถึงเรื่องหนึ่ง ฮั่วตงเฉิงก็หยุดชะงักไป เขาไอเบา ๆ สองที ก่อนจะดื่มน้ำอีกอึกหนึ่ง แล้วกลับมาสอนต่อไม่รู้ว่าเวินเหลียงรู้สึกไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าฮั่วตงเฉิงดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยคาบเรียนถ่ายภาพจบลง การเล่นซ้ำไลฟ์ถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ เวินเหลียงเปิดวิดีโอ แล้วเรียนชดเชยในส่วนหน้าที่ตนพลาดไปมีเสียงติ๊งดิงแว่วดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ มีข้อความไลน์เด้งเข้ามาฮั่วตงเฉิง : “วันนี้ตั้งใจเข้าเรียนหรือเปล่า?”เวินเหลียง : “มาเข้าเรียนตอนข้างหน้าไม่ทัน กำลังเล่นไลฟ์ซ้ำเรียนชดอยู่”ฮั่วตงเฉิง : “มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็มาถามฉันนะ”เวินเหลียง : “ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ พี่ตงเฉิง ฉันฟังจากเสียงคุณดูไม่ค่อยสบาย? อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาหน่อย ด