วันนี้ตอนเช้าฟู่เจิงได้รับข่าวจากลู่เย่า เมิ่งจินถังหนีไปแล้วในวินาทีนั้น เขาก็เข้าใจความรู้สึกของเวินเหลียงและเหตุผลที่เธอแจ้งตำรวจขึ้นมาในทันใด เพราะงั้นพอเห็นเขาอยู่กับฉู่ซืออี๋ ถึงได้โกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟ...ฟู่เจิงตำหนิตัวเองเวินเหลียงเพิ่งจะได้จุดอ่อนของฉู่ซืออี๋มา เมิ่งจินถังดันมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับฉู่ซืออี๋ฉู่ซืออี๋ประสบกับการทรมานที่แสนโหดเหี้ยมประเภทนั้นมากับตัว ไม่ยอมเผชิญหน้ากับโจรเรียกค่าไถ่ ฉะนั้นเขาจึงให้เวลาฉู่ซืออี๋ถ้าเขาบีบให้ฉู่ซืออี๋ไประบุตัวคนร้ายเลย จะทำให้เธอตั้งตัวไม่ทัน บางทีเมิ่งจินถังอาจไม่เผ่นไป...เพราะคดีเรียกค่าไถ่นั่น เขายอมอดทนต่อฉู่ซืออี๋มามากมายเธอไม่ชอบเวินเหลียงจึงไม่ยอมไประบุตัวคนร้าย ข้อนี้เขาเข้าใจได้ทว่าเขานึกไม่ถึงเลยว่า เธอถึงขั้นเลือกที่จะปล่อยโจรเรียกค่าไถ่ที่เคยทำร้ายตัวเองไป!การกระทำของฉู่ซืออี๋ ทำให้ความสงสารสุดท้ายที่ฟู่เจิงมีต่อเธอหายวับไปเช่นกันที่ตกอับมาถึงขั้นอย่างในวันนี้ เธอทำตัวเองทั้งนั้นทว่าฟู่เจิงก็ยังไม่สบอารมณ์นักเมื่อนึกถึงคำพูดของเวินเหลียงเมื่อวาน เขาก็ยังรู้สึกว่ามีก
ถ้าเธอเปลี่ยนจากเรียก ‘ฟู่เจง’ มาเป็น ‘อาเจิง’ ก็สิ้นเรื่องแล้ว“ฉันได้ยินมาว่าคุณไปเจรจาเงื่อนไขกับเธอ?”จู่ ๆ ฟู่เจิงก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดทั้งเนื้อตัว “เธอรู้ได้ยังไง?”“เลขาหยางเป็นคนบอกฉัน คุณเองก็ไม่ต้องโทษเขาหรอก ฉันแค่รู้สึกสงสัยเลยบังคับให้เขาพูด รวมถึงความลำบากใจที่คุณบอกคราวก่อนด้วย”ในใจของฟู่เจิงเต้นตึกตัก ๆ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง พร้อมอดไม่ได้ที่จะกำนิ้วขึ้น “เธอรู้เรื่องหมดแล้ว?”ความลำบากใจที่เขาบอกคราวก่อน...“อืม” เวินเหลียงพูดต่ออีกว่า “หลังจากรู้เรื่องทั้งหมด ฉันถึงได้รู้ว่าฉันเข้าใจคุณผิดไป ที่คุณปล่อยฉู่ซืออี๋ออกมา ล้วนเป็นเพราะฉัน อาเจิงขอโทษนะ”ฟู่เจิงชะงักไป พร้อมกลั้นหายใจเอาไว้ เงียบไม่พูดไม่จาเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆแต่เขารู้สึกเหมือนว่าตรงไหนมันไม่ถูกต้องสักอย่าง...“แต่ว่าฟู่เจิง ฉันเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนกันนะ ฉันไม่ต้องการให้คุณทำให้ฉันกลายเป็นคนที่กำลังงมโข่ง ภายใต้ชื่อว่าทำเพราะหวังดีกับฉัน เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมคุณถึงปิดบังฉัน?”ฟู่เจิงเม้มริมฝีปาก ก่อนจะย้อนถามว่า “เรื่องสำคัญขนาดนี้ เรื่องอะไร?”เวินเหลียงชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณคิดว
“เธอมาที่บ้านฉันสิ ฉันจะกระหืดกระหอบให้เธอฟังเป็นยังไง?” ฟู่เจิงเอ่ย“หึ ฝันหวานเชียวนะ”หัวข้อบทสนทนานี้ทำเอาเวินเหลียงอายม้วน เธอไม่อยากพูดอะไรมากมาย จึงทำได้เพียงพูดหาข้ออ้าง “ดึกแล้ว ฉันจะนอนแล้ว แค่นี้นะ”“ฝันดี” ฟู่เจิงพูดขึ้นโดยไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์“เดี๋ยวก่อน ฉันนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง”“เธอว่ามาสิ”“วันนี้ฉันเจอพี่สะใภ้ใหญ่ที่บ้านใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ตั้งท้องแล้ว แต่เธอบอกกับฉันว่า พี่ใหญ่ยังติดต่อกับผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกคนนั้นอยู่ ไม่งั้นคุณให้คนไปสืบดูหน่อยสิว่าตกลงผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกันแน่” เวินเหลียงเอ่ยฟู่เจิงพลันประหลาดใจ “แน่ใจนะว่าพี่ใหญ่ยังติดต่อกับเขาอยู่?”“พี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับมากับหู”“โอเค ฉันรู้แล้ว ฉันจะให้คนไปสืบหาหลักฐานดู”หลังวางสาย เวินเหลียงก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะหัวเตียง แล้วปิดไฟนอนส่วนฟู่เจิง พอเขามองบันทึกการโทรที่แสดงอยู่บนหน้าจอ มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกรอยยิ้มออกมา เหมือนยิ้มทว่าก็ไม่ได้ยิ้มนึกถึงคำพูดของเวินเหลียงเมื่อครู่แล้ว นัยน์ตาของฟู่เจิงก็ลึกซึ้ง จมดิ่งไปในความคิดหลังจากรู้ว่าคนขับรถของฟู่เยว่น่าส
เวินเหลียงไม่ได้อยากมากินข้าวมื้อนี้อะไรเลย เพียงแค่อยากมาดูระดับที่แท้จริงของตัวเองเท่านั้น ก่อนอัปโหลดรูปภาพเธอไม่ได้ให้ฮั่วตงเฉิงดู แน่นอนว่าเธอเชื่อว่าพอฮั่วตงเฉิงได้เห็นแล้ว ก็จะให้คะแนนอย่างยุติธรรมฮั่วตงเฉิงพิงพนักพิงเก้าอี้ พร้อมทั้งส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ใช่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”เวินเหลียงประหลาดใจ “เรื่องอะไรเหรอคะ?”ฮั่วตงเฉิงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าเสื้ออย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะสไลด์หน้าจอสองสามที แล้วนำไปวางตรงหน้าเวินเหลียง “เธอรู้จักคนคนนี้ไหม?”เวินเหลียงก้มหน้าดู เห็นเพียงในหน้าจอเป็นรูปภาพที่ไม่ได้มีความคมชัดมากภาพหนึ่ง ผู้ชายที่อยู่ในภาพถูกผู้ชายอีกสองสามคนกดตัวไว้บนพื้นเธอเพ่งสายตามองไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นนัยน์ตาก็เป็นอันต้องหดตัว หัวใจเต้นตึกตัก ๆ ขึ้นมาในทันที พร้อมมองฮั่วตงเฉิงอย่างด้วยความตื่นเต้น “จางกั๋วอัน?!!”ฮั่วตงเฉิงยิ้ม “ลูกค้าคนหนึ่งของฉันบังเอิญเจอที่ชายแดนเข้า กำลังถูกกำลังคนสองกลุ่มไล่ล่า ฉันเลยไปสอบถามดู เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเธอ”เวินเหลียงไม่กล้าเชื่อหลังจากที่เมิ่งจินถังหนีไป จางกั๋วอันถูกคนอื่นจับตัวไป เธอก็แทบจะสิ้นหวังแล้วไม่นึกเลยว่
เวินเหลียงไม่ได้สนใจฟู่ชิงเยว่ เธอมุ่งหน้าตรงไปยังสถานีตำรวจเลยตอนนี้ฉู่ซืออี๋ยังคงถูกคุมขังอยู่ในห้องขังเจ้าหน้าที่พาเวินเหลียงไปห้องสอบสวนห้องหนึ่ง ฉู่ซืออี๋กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ถูกใส่กุญแจมือไว้บนโต๊ะเมื่อเห็นเวินเหลียงเข้ามา เธอก็จ้องเวินเหลียงด้วยสายตาเปล่งประกาย ราวกับมีอะไรอยากจะโพล่งพูดออกมา ทว่าเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดกลั้นเอาไว้อีกครั้ง“พวกคุณสองคนพูดคุยกันเลยครับ ผมขอตัวออกไปก่อน อย่าให้นานเกินไปล่ะ” เจ้าหน้าที่พูดจบก็ผลักเปิดประตูออกไปภายในห้องสอบสอน ฉู่ซืออี๋จ้องเวินเหลียงเขม็ง นัยน์ตาประกายความอำมหิตออกมาสายหนึ่ง แฝงความกระหืดกระหอบอยู่หน่อย ๆ “เวินเหลียง ตกลงกันเรียบร้อยแล้วไงว่าวันรุ่งขึ้นฉันจะไประบุตัวคนร้ายให้ ไม่นึกเลยว่าเธอจะกล้าผิดสัญญา แล้วแจ้งตำรวจจริง ๆ?!”เวินเหลียงยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง ก่อนจะจับพนักพิงเก้าอี้ลากไปข้างหลัง แล้วนั่งลงตรงหน้าฉู่ซืออี๋ “คนที่ผิดสัญญาไม่ใช่เธอหรือไง? เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ เธอเตะถ่วงเวลาระบุตัวคนร้ายแล้วลอบส่งข่าวให้เมิ่งจินถัง เธอไม่เคยคิดจะออกหน้ามาระบุตัวคนร้ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”ฉู่ซืออี๋ “น่าขำจริง
มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉู่ซืออี๋สลัดข้อตกลงที่ทำไว้กับฟู่เจิงทิ้งไปตั้งนานแล้วเธอรู้แค่ว่าตัวเองจะถูกตัดสินจำคุกไม่ได้!เวินเหลียงเผยสีหน้าฉงนออกมา เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เพราะงั้นในมือของเธอมีจุดอ่อนของฉันอยู่สองจุดอ่อน?”ในใจเธอสงสัยเป็นอย่างมากเธอคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าตัวเธอจะมีจุดอ่อนอะไรให้ตกไปอยู่ในมือของฉู่ซืออี๋ได้ กระทั่งยังมีตั้งสองจุดอ่อนแน่ะ!“จะว่าแบบนี้ก็ได้” ฉู่ซืออี๋พิงพนักที่นั่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีหน้าว่ามีแผนอยู่ในใจเวินเหลียงเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “โอเค ฉันรับปากเธอ เธอบอกฉันมาก่อนเรื่องหนึ่ง หลังฉันไปสืบหาหลักฐานมาแล้ว ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ฉันจะมาหาเธออีกครั้งแน่นอน”ฉู่ซืออี๋เลิกคิ้ว “งั้นฉันจะบอกเธอก่อนเรื่องหนึ่ง อันที่จริงเดิมทีเธอไม่ใช่...”พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว จู่ ๆ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา “หมดเวลาแล้วครับ คุณเวินออกมาเถอะครับ”เวินเหลียง “...”เธอเบือนศีรษะไปมองเจ้าหน้าที่ทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “อนุโลมให้อีกหน่อยได้ไหมคะ ขอเวลาให้ฉันอีกห้านาที?”เจ้าหน้าที่ส่ายหน้า “ขอโทษครับ นี่เป็นคำสั่ง”เวินเหลี
ฟู่เจิงมองใบหน้าของเวินเหลียงอย่างมีความรู้สึกลึกซึ้ง มุมปากเผยรอยยิ้มที่ยิ้มแต่เหมือนไม่ยิ้ม “ไหน ๆ เธอก็อยากรู้แล้ว ไปทำข้อตกลงกับเขาไม่สู้มาทำข้อตกลงกับฉันดีกว่าไหม เทียบกับเขาแล้วฉันไม่มีทางทำร้ายเธอแน่”ไอ้โรคปากไม่ตรงกับใจของเธอ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยโชคดีที่ไม่เปลี่ยนเขาชอบโดยเฉพาะตอนที่เธอตะโกนว่า ‘อย่านะ’ บนเตียงเวินเหลียงเงยหน้าถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งเขานี่ช่างเสนอเก่งจริง ๆแต่จะว่าไปแล้วทำข้อตกลงกับฟู่เจิง ก็คุ้มค่ากว่าทำข้อตกลงกับฉู่ซืออี๋จริง ๆถึงยังไงความเกลียดแค้นที่ฉู่ซืออี๋มีแต่เธอก็มาก่อนหน้าโจรเรียกค่าไถ่ ถ้าให้อภัยฉู่ซืออี๋ไป ใครจะรู้ได้ว่าฉู่ซืออี๋จะทำเรื่องที่ทำร้ายเธอออกมาหรือเปล่าส่วนฟู่เจิง เขาอยากแลกเปลี่ยนอะไร ก็พอจะเดาออกได้ไม่ยาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเล็กน้อยระหว่างชายหญิงนั่นเห็นเวินเหลียงเงียบไป ฟู่เจิงก็หุบรอยยิ้มบนหน้าไปในทันใด “เธอคงไม่ได้คิดจะเขียนหนังสือยอมความให้ฉู่ซืออี๋จริง ๆ ใช่ไหม?”เวินเหลียงรีบพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่คนโง่ซะหน่อย”พูดจบดวงตากลมโตของเธอก็หันไปมองฟู่เจิง “ฟู่เจิง ถึงยังไงเขาก็เป็นแฟนเก่าของ
เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้”เดิมทีเธอไม่อยากไปบริษัทสักเท่าไรที่นั่นมีคนรู้จักมักคุ้นเยอะ เวินเหลียงไม่อยากให้พวกเขาเห็นเธอเดินอยู่กับฟู่เจิงหลังจากนั้นพอมาคิดไปคิดมา เธอหย่ากับฟู่เจิงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ติดต่อกันไปทั้งชีวิตสักหน่อย ทั้งสองคนถูกผูกมัดกันด้วยตระกูลฟู่ ปรากฏตัวพร้อมกันคงไม่มีอะไรเธอรู้สึกอ่อนไหวง่ายเล็กน้อยคนขับรถขับรถแล่นเข้าไปในลานจอดรถใต้ดินเลยเวินเหลียงและฟู่เจิงขึ้นลิฟต์วีไอพีตรงไปยังชั้นห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่ห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่อยู่สูงกว่าห้องทำงานประธานกรรมการหนึ่งชั้น และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงเพื่อนร่วมงานเก่าของเวินเหลียงด้วยเลขาของฟู่เจิงส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนจัดการสีหน้าได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากเมื่อเห็นฟู่เจิงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเวินเหลียง บรรดาเลขาที่กำลังทำงานอยู่ก็พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมา แล้วทักทายอย่างมีมารยาท ไม่ได้มองเพิ่มกันอีกทีสองทีเลยนอกจากเลขาหยางเธอเดาไม่ผิดเลยประธานฟู่รีบร้อนออกไปจากบริษัท เพราะจะไปเจอเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆฟู่เจิงพยักหน้าให้บรรดาเลขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ชงกา