เวินเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้”เดิมทีเธอไม่อยากไปบริษัทสักเท่าไรที่นั่นมีคนรู้จักมักคุ้นเยอะ เวินเหลียงไม่อยากให้พวกเขาเห็นเธอเดินอยู่กับฟู่เจิงหลังจากนั้นพอมาคิดไปคิดมา เธอหย่ากับฟู่เจิงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ติดต่อกันไปทั้งชีวิตสักหน่อย ทั้งสองคนถูกผูกมัดกันด้วยตระกูลฟู่ ปรากฏตัวพร้อมกันคงไม่มีอะไรเธอรู้สึกอ่อนไหวง่ายเล็กน้อยคนขับรถขับรถแล่นเข้าไปในลานจอดรถใต้ดินเลยเวินเหลียงและฟู่เจิงขึ้นลิฟต์วีไอพีตรงไปยังชั้นห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่ห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่อยู่สูงกว่าห้องทำงานประธานกรรมการหนึ่งชั้น และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงเพื่อนร่วมงานเก่าของเวินเหลียงด้วยเลขาของฟู่เจิงส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนจัดการสีหน้าได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากเมื่อเห็นฟู่เจิงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเวินเหลียง บรรดาเลขาที่กำลังทำงานอยู่ก็พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมา แล้วทักทายอย่างมีมารยาท ไม่ได้มองเพิ่มกันอีกทีสองทีเลยนอกจากเลขาหยางเธอเดาไม่ผิดเลยประธานฟู่รีบร้อนออกไปจากบริษัท เพราะจะไปเจอเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆฟู่เจิงพยักหน้าให้บรรดาเลขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ชงกา
ในช่วงเวลาที่แต่งงานกัน พวกเขาไม่เคยเปิดตัวต่อสาธารณะ นอกจากสายของเลขาหยางแล้ว เวินเหลียงจะไม่มีทางรับสายคนอื่นเป็นอันขาด แต่เธอเองก็จะไม่ละเลยโทรศัพท์ของเขาเช่นกันเพียงแต่นับตั้งแต่วันครบรอบแต่งงานในวันนั้น เธอก็ไม่ดูโทรศัพท์ของเขาอีกเลยราวกับว่าไม่รู้เริ่มตั้งแต่ตอนไหน เธอไม่เคยเปิดไฟรอเขาตอนเขากลับดึกอีกเลย ไม่จัดเตรียมของที่ต้องสวมใส่ต้องพกติดตัวไปในวันต่อมาอีกเลย ไม่สนใจว่าเขาจะกินข้าวตรงเวลาหรือเปล่าอีกเลย และไม่เรียกเขาว่า ‘อาเจิง’ อีกเลย...เธอค่อย ๆ ตีตัวออกห่างจากเขาทว่าเขากลับไม่เคยสังเกตเห็นอะไรเลย แถมยังเพ้อฝันว่าจะรั้งให้เธออยู่ได้เวินเหลียงเห็นสีหน้าของฟู่เจิงแปลก ๆ ไป จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เป็นอะไรเหรอ? ผลการประชุมไม่เป็นอย่างที่คิด?”“เปล่า” ฟู่เจิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเมื่อเขาปัดหน้าจอขึ้นเพื่อปลดล็อก ก็เห็นสายไม่ได้รับของลู่เย่าสายหนึ่ง เขากดโทรกลับไปเวินเหลียงปิดนิตยสารที่อยู่ในมือลง ก่อนจะลวดวางไว้บนโต๊ะ “ตอนนี้คุณว่างแล้วเหรอ?”“เดี๋ยวก่อน”หลังปลายสายรับโทรศัพท์ ฟู่เจิงก็ส่งสัญญาณมือ พร้อมแนบโทรศัพท์ไปข้างหู “ฮัลโหล มีเรื่องอะไรเหรอ?
ฟู่เจิงนั่งไขว่ห้างพิงพนักเบาะที่นั่ง ขมวดคิ้วมุ่น มือใหญ่ ๆ กำเข้าหากันจนเป็นหมัดแน่น ออกแรงจนกระดูกข้อนิ้วขาวซีด ทั้งตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความอึมครึมและอึดอัดใจไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างไร้เสียง ทว่าก็มีความกระตือรือร้นผิดปกติเพิ่มมาอีก ใกล้จะกลืนกินสติสัมปชัญญะของเขาไปจนหมดสิ้นแล้วฟู่เยว่ปรากฏตัวขึ้นที่สถานีตำรวจเพื่อมาพบกับฉู่ซืออี๋ เรียกได้ว่าเป็นหลักฐานพิสูจน์การคาดเดาของฟู่เจิง!หลังลู่เย่าสืบเจอความสัมพันธ์ที่เป็นความลับที่ว่า ฉู่ซืออี๋เคยตามจีบฟู่เยว่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ในใจของฟู่เจิงก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เพียงแต่ใจเขายังคงโอบกอดความหวังสายหนึ่งเอาไว้!นั่นคือพี่ใหญ่ของเขา!เป็นคนที่แม้ทำความผิดเขาก็จะเคารพไปตลอดชีวิต!ทำไมเขาถึงทำแบบนี้นะ?!ท่าทางของฟู่เยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ผ่อนคลายสงบเยือกเย็นเรื่องราวมันมาถึงขั้นในตอนนี้แล้ว ที่ฟู่เจิงควรรู้ก็รู้ทั้งหมดแล้ว ขืนปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเรื่องชั่วที่เคยทำไว้ ยังไงก็ต้องปรากฏขึ้นสักวันในตอนแรกเริ่มที่เวินเหลียงเริ่มสืบเรื่องคดีลักพาตัว เขาก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเรื่องมันต้องแดงขึ้นมา“ทำไม?”ภายในห้องโด
“ทำไมน่ะเหรอ?”ฟู่เยว่พูดซ้ำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เพราะนายเป็นแค่ลูกชู้ลูกนอกสมรส แต่คุณปู่ดันเข้าข้างนายไปหมดซะทุกเรื่อง กระทั่งยังคิดยกบริษัทให้นายอีก! ทำไมกัน? ฉันต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดในอนาคตของตระกูลฟู่!”“เพราะงั้นแสดงว่าพี่ไม่เคยเห็นผมเป็นพี่น้องเลย แต่เป็นศัตรูที่ทำให้พ่อแม่ของพี่ต้องตาย และช่วงชิงตระกูลฟู่กับพี่?” ฟู่เจิงก้มหน้ามองเขาฟู่เยว่แค่นเสียงฮึทีหนึ่ง พลางมองฟู่เจิงด้วยความเย็นชา “หรือว่าไม่ใช่หรือไง?”ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้าน ภาพลักษณ์ที่ฟู่เยว่แสดงให้ผู้คนได้เห็นล้วนมีแต่ความอ่อนโยนและความสง่างามเสมอมา ดุจดั่งสายลมยามวสันต์ฟู่เจิงคิดว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาและเคียดแค้นเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏขึ้นบนตัวเขาอีกครั้งก่อนฟู่เยว่เคยเผยสายตาเช่นนี้ออกมา ทว่ายังเป็นตอนอยู่ประถม เขาโยนกระเป๋าหนังสือของฟู่เจิงลงไปในแม่น้ำ ตอนที่ฟู่เจิงถือท่อนไม้ไปเกี่ยวกระเป๋าขึ้นมา เขายังไปผลักฟู่เจิงให้ตกลงไปซ้ำอีก และหลังจากฟู่เจิงอ้อนวอนอยากจะปีนขึ้นมาสมดังใจแล้ว ก็ขู่เขาไม่ให้ไปบอกคุณปู่หลังกลับไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสื้อผ้าที่เปียกโชก การอธิบายของฟู่เจิงคือตัวเขาไม่ท
นั่นคือพี่ชายคนโตที่เติบโตมาพร้อมกับเขา จะให้ฟู่เจิงส่งเขาเข้าคุกกับมือตัวเอง ในใจของฟู่เจิงก็เจ็บปวดอย่างไร้ที่เปรียบ ทำไมฟู่เยว่ต้องทำแบบนี้ด้วย ทำให้เขาต้องตกไปอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!“เพราะงั้นพี่ก็รู้สาเหตุการตายของพ่อเวินเหลียงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?!” ฟู่เจิงขมวดคิ้วมุ่นจนผูกโบ เขาจ้องฟู่เยว่เขม็งพลางถามไปชะงักไปฟู่เยว่เอ่ย “จะว่าใช่ก็ได้ พอพูดขึ้นมานายอาจต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นนายอาจจะไม่ได้เจอกับเวินเหลียงก็ได้”ฟู่เจิงกำหมัดทั้งสองแน่น แล้วเตะไปบนขาฟู่เยว่อย่างแรงทีหนึ่ง “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ผมอยากรู้รายละเอียด! นับตั้งแต่ตอนนี้ พี่เล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดอย่าให้ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว!”จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเรียบง่ายมาก ๆตอนนั้นตระกูลฉู่เป็นเพียงแค่โรงงานเล็ก ๆ ฉู่เจี้ยนจวินเองก็เป็นแค่เจ้าของโรงงานคนหนึ่งเท่านั้นเงื่อนไขภูมิหลังครอบครัวของฉู่ซืออี๋นั้นเทียบกับคนทั่วไปแล้วก็ไม่เลวทีเดียว ทว่าเมื่อเทียบกับคนมีชื่อเสียงของเจียงเฉิงแล้ว เดิมทีไม่พอให้เหลียวแลอยู่แล้วพ่อแม่ดูเหมือนจะปรองดองกันทว่าความจริงแตกแยก แม่เอาแต่โอดครวญ พ่อนอกใจ บางครั้งยังเ
ใช่แล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวมันมาจากคำพูดทีเล่นทีจริงพร้อมแฝงไปด้วยเจตนาทำให้ฉู่ซืออี๋ลำบากของฟู่เยว่ประโยคนี้นี่เองทว่าฟู่เยว่ไม่เคยจินตนาการถึงความรู้สึกศรัทธาของฉู่ซืออี๋มาก่อนเลยหลังจากนั้นผ่านไปพักใหญ่ ๆ ฉู่ซืออี๋ก็ไม่ได้มาหาฟู่เยว่อีก ฟู่เยว่คิดแค่ว่าเธอล้มเลิกไปเพราะรู้ว่ามันยาก...ฟู่เจิงก็ไม่ใช่คนที่จะจีบติดได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นฟู่เยว่เองก็ไม่เคยเห็นว่ารอบตัวฟู่เจิงมีผู้หญิงอะไรเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฉู่ซืออี๋จะทำได้จริง ๆตอนนั้นฟู่เจิงเพิ่งเข้ามาฝึกงานที่บริษัท มีอยู่วันหนึ่งหลังเลิกงานตอนเที่ยง ฟู่เยว่ชวนฟู่เจิงไปกินข้าวด้วยกัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นฟู่เจิงตอบกลับข้อความพอทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้วเดินออกมาจากในร้านอาหาร มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาก็เข้ามารับหน้าฟู่เจิงแนะนำกับเขาว่า นี่คือแฟนของเขา ฉู่ซืออี๋ฉู่ซืออี๋ทำเป็นไม่รู้จักเขาอย่างนั้น พลางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ทั้งยิ้มเล็กน้อยฟู่เยว่มองสีหน้าของฉู่ซืออี๋ จากนั้นก็มองฟู่เจิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรข้าง ๆ ทีหนึ่ง สีหน้าเขามีความชื่นชมว่าเยี่ยมยอดอยู่เล็กน้อยคืนนั้นหลังเขากลับไป ฉู่ซืออี๋ก็
สุดท้ายสืบมาถึงตัวเขาจริง ๆถ้าเขาไม่มีทางทำให้ข้อมูลรั่วไหล อย่างนั้นก็เป็นได้แค่คนที่สามารถเข้ามาใช้คอมพิวเตอร์ของเขาได้เท่านั้น คนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือฉู่ซืออี๋ตอนนั้นเขากับฉู่ซืออี๋คบกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าทั้งสองคนเข้ากันไม่ค่อยได้ มีความคิดที่จะเลิกกันทว่าดันคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทั้งสองคนเจอทางตัน ฉู่ซืออี๋ก็หนีออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จนถูกลักพาตัวไปและประสบกับการทรมานเรื่องข้อมูลรั่วไหลและเรื่องเลิกกันจึงต้องชะลอไปก่อน“อันที่จริงหลังเธอจัดการเสร็จฉันนึกเสียใจมาก วิธีการแบบนี้มันยากมากที่จะไม่ถูกสืบเจอ”เพียงแต่เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ฟู่เยว่ขี่หลังเสือแล้วลงยากฟู่เจิงพูดอย่างคาดเดาขึ้นว่า “เพราะงั้นคดีลักพาตัวเกี่ยวข้องกับฉู่ซืออี๋? ใช้วิธีนี้มาชะล้างความน่าสงสัยของเธอ?”ฟู่เยว่ตอบ “ใช่ ฉู่ซืออี๋เป็นคนวางแผนคดีลักพาตัวด้วยตัวเองคนเดียว กำกับเองแสดงเอง ที่บอกว่าเจอสถานการณ์เลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการ ก็เป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น”ฟู่เยว่ได้ข่าวหลังจากที่ฉู่ซืออี๋ลงมือทำไปแล้ว เพราะฉู่ซืออี๋ไม่มีทางหนีทีไล่เธอเอ
อันที่จริงแผนเดิมของฉู่ซืออี๋คือใส่ความว่าเวินหย่งคังล่วงละเมิดเธอตอนสัมภาษณ์เนื่องจากเธอเป็นเหยื่อและเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่า คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อเธอ ถึงเวลานั้นเวินหย่งคังจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรา แน่นอนว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาจะไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป กระทั่งอาจถูกคิดว่าใส่ร้ายฉู่ซืออี๋อีกต่างหากฟู่เจิงซัดหมัดไปบนผนังอีกหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลยากจะบรรยาย เขาเอ่ยขึ้นทั้งกัดฟันว่า “แล้วทำไมสุดท้ายเธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”ก่อนหน้านี้เนื่องจากความรู้สึกผิดที่มาพร้อมกับเรื่องลักพาตัว เขาเห็นแก่ความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่น จึงไม่เคยคิดกับฉู่ซืออี๋ในทางที่ไม่ดีต่อมาเรื่องบางอย่าง เขาก็ทำเป็นว่าฉู่ซืออี๋มีความคิดเล็กน้อยเท่านั้นจนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงมองจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมดั่งงูและแมงป่องที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังของฉู่ซืออี๋ออกอย่างกระจ่างแจ้ง!นี่จะอธิบายได้ด้วยเพียงคำว่าแผนการได้อย่างไร?นี่มันลงมือโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้ซึ่งความเป็นคนชัด ๆ!ฟู่เยว่เอ่ย “คงเป็นเพราะมีคนเตือนเธอ”หลังจากถูกคนเตือน ฉู่ซืออี๋ก็เปลี่ยนแผนในฐานะนักข่าวที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลคนหนึ่ง