นั่นคือพี่ชายคนโตที่เติบโตมาพร้อมกับเขา จะให้ฟู่เจิงส่งเขาเข้าคุกกับมือตัวเอง ในใจของฟู่เจิงก็เจ็บปวดอย่างไร้ที่เปรียบ ทำไมฟู่เยว่ต้องทำแบบนี้ด้วย ทำให้เขาต้องตกไปอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!“เพราะงั้นพี่ก็รู้สาเหตุการตายของพ่อเวินเหลียงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?!” ฟู่เจิงขมวดคิ้วมุ่นจนผูกโบ เขาจ้องฟู่เยว่เขม็งพลางถามไปชะงักไปฟู่เยว่เอ่ย “จะว่าใช่ก็ได้ พอพูดขึ้นมานายอาจต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นนายอาจจะไม่ได้เจอกับเวินเหลียงก็ได้”ฟู่เจิงกำหมัดทั้งสองแน่น แล้วเตะไปบนขาฟู่เยว่อย่างแรงทีหนึ่ง “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ผมอยากรู้รายละเอียด! นับตั้งแต่ตอนนี้ พี่เล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดอย่าให้ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว!”จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเรียบง่ายมาก ๆตอนนั้นตระกูลฉู่เป็นเพียงแค่โรงงานเล็ก ๆ ฉู่เจี้ยนจวินเองก็เป็นแค่เจ้าของโรงงานคนหนึ่งเท่านั้นเงื่อนไขภูมิหลังครอบครัวของฉู่ซืออี๋นั้นเทียบกับคนทั่วไปแล้วก็ไม่เลวทีเดียว ทว่าเมื่อเทียบกับคนมีชื่อเสียงของเจียงเฉิงแล้ว เดิมทีไม่พอให้เหลียวแลอยู่แล้วพ่อแม่ดูเหมือนจะปรองดองกันทว่าความจริงแตกแยก แม่เอาแต่โอดครวญ พ่อนอกใจ บางครั้งยังเ
ใช่แล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวมันมาจากคำพูดทีเล่นทีจริงพร้อมแฝงไปด้วยเจตนาทำให้ฉู่ซืออี๋ลำบากของฟู่เยว่ประโยคนี้นี่เองทว่าฟู่เยว่ไม่เคยจินตนาการถึงความรู้สึกศรัทธาของฉู่ซืออี๋มาก่อนเลยหลังจากนั้นผ่านไปพักใหญ่ ๆ ฉู่ซืออี๋ก็ไม่ได้มาหาฟู่เยว่อีก ฟู่เยว่คิดแค่ว่าเธอล้มเลิกไปเพราะรู้ว่ามันยาก...ฟู่เจิงก็ไม่ใช่คนที่จะจีบติดได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นฟู่เยว่เองก็ไม่เคยเห็นว่ารอบตัวฟู่เจิงมีผู้หญิงอะไรเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฉู่ซืออี๋จะทำได้จริง ๆตอนนั้นฟู่เจิงเพิ่งเข้ามาฝึกงานที่บริษัท มีอยู่วันหนึ่งหลังเลิกงานตอนเที่ยง ฟู่เยว่ชวนฟู่เจิงไปกินข้าวด้วยกัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นฟู่เจิงตอบกลับข้อความพอทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้วเดินออกมาจากในร้านอาหาร มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาก็เข้ามารับหน้าฟู่เจิงแนะนำกับเขาว่า นี่คือแฟนของเขา ฉู่ซืออี๋ฉู่ซืออี๋ทำเป็นไม่รู้จักเขาอย่างนั้น พลางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ทั้งยิ้มเล็กน้อยฟู่เยว่มองสีหน้าของฉู่ซืออี๋ จากนั้นก็มองฟู่เจิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรข้าง ๆ ทีหนึ่ง สีหน้าเขามีความชื่นชมว่าเยี่ยมยอดอยู่เล็กน้อยคืนนั้นหลังเขากลับไป ฉู่ซืออี๋ก็
สุดท้ายสืบมาถึงตัวเขาจริง ๆถ้าเขาไม่มีทางทำให้ข้อมูลรั่วไหล อย่างนั้นก็เป็นได้แค่คนที่สามารถเข้ามาใช้คอมพิวเตอร์ของเขาได้เท่านั้น คนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือฉู่ซืออี๋ตอนนั้นเขากับฉู่ซืออี๋คบกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าทั้งสองคนเข้ากันไม่ค่อยได้ มีความคิดที่จะเลิกกันทว่าดันคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทั้งสองคนเจอทางตัน ฉู่ซืออี๋ก็หนีออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จนถูกลักพาตัวไปและประสบกับการทรมานเรื่องข้อมูลรั่วไหลและเรื่องเลิกกันจึงต้องชะลอไปก่อน“อันที่จริงหลังเธอจัดการเสร็จฉันนึกเสียใจมาก วิธีการแบบนี้มันยากมากที่จะไม่ถูกสืบเจอ”เพียงแต่เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ฟู่เยว่ขี่หลังเสือแล้วลงยากฟู่เจิงพูดอย่างคาดเดาขึ้นว่า “เพราะงั้นคดีลักพาตัวเกี่ยวข้องกับฉู่ซืออี๋? ใช้วิธีนี้มาชะล้างความน่าสงสัยของเธอ?”ฟู่เยว่ตอบ “ใช่ ฉู่ซืออี๋เป็นคนวางแผนคดีลักพาตัวด้วยตัวเองคนเดียว กำกับเองแสดงเอง ที่บอกว่าเจอสถานการณ์เลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการ ก็เป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น”ฟู่เยว่ได้ข่าวหลังจากที่ฉู่ซืออี๋ลงมือทำไปแล้ว เพราะฉู่ซืออี๋ไม่มีทางหนีทีไล่เธอเอ
อันที่จริงแผนเดิมของฉู่ซืออี๋คือใส่ความว่าเวินหย่งคังล่วงละเมิดเธอตอนสัมภาษณ์เนื่องจากเธอเป็นเหยื่อและเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่า คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อเธอ ถึงเวลานั้นเวินหย่งคังจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรา แน่นอนว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาจะไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป กระทั่งอาจถูกคิดว่าใส่ร้ายฉู่ซืออี๋อีกต่างหากฟู่เจิงซัดหมัดไปบนผนังอีกหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลยากจะบรรยาย เขาเอ่ยขึ้นทั้งกัดฟันว่า “แล้วทำไมสุดท้ายเธอถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”ก่อนหน้านี้เนื่องจากความรู้สึกผิดที่มาพร้อมกับเรื่องลักพาตัว เขาเห็นแก่ความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่น จึงไม่เคยคิดกับฉู่ซืออี๋ในทางที่ไม่ดีต่อมาเรื่องบางอย่าง เขาก็ทำเป็นว่าฉู่ซืออี๋มีความคิดเล็กน้อยเท่านั้นจนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงมองจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมดั่งงูและแมงป่องที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังของฉู่ซืออี๋ออกอย่างกระจ่างแจ้ง!นี่จะอธิบายได้ด้วยเพียงคำว่าแผนการได้อย่างไร?นี่มันลงมือโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้ซึ่งความเป็นคนชัด ๆ!ฟู่เยว่เอ่ย “คงเป็นเพราะมีคนเตือนเธอ”หลังจากถูกคนเตือน ฉู่ซืออี๋ก็เปลี่ยนแผนในฐานะนักข่าวที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลคนหนึ่ง
เธอลอบไปหาฟู่เยว่อยู่หลายต่อหลายครั้ง หลังพบว่าฟู่เยว่ไม่รู้สึกยินดียินร้าย ก็เริ่มข่มขู่ฟู่เยว่หากฟู่เยว่ไม่คบกับเธอ เธอจะแจ้งตำรวจ และสารภาพไปว่าฟู่เยว่เป็นคนบงการทั้งหมด ทั้งสองคนพังพินาศไปด้วยกันรายการเดินบัญชีธนาคารคือหลักฐานมัดตัว!ทั้งสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ในมือฉู่ซืออี๋ถือจุดอ่อนของฟู่เยว่เอาไว้ ท่าทีของเธอเองก็ไร้ซึ่งความถ่อมตนอย่างก่อนหน้านี้ไปตั้งนานแล้วฟู่เยว่กลัวว่าฉู่ซืออี๋จะแจ้งตำรวจจริง ๆ จึงทำได้เพียงแสดงทีท่าสบาย ๆ คอยปลอบฉู่ซืออี๋ ทว่าก็ลากความสัมพันธ์ไม่ยอมเลิกกับซูชิงอวิ๋นไปด้วยตอนนั้นเขามีสองทางเลือก หนึ่งคือคิดหาวิธีต่อต้านฉู่ซืออี๋ หรือสู้สุดแรง พนันว่าฉู่ซืออี๋ไม่กล้าแจ้งตำรวจ สองคือเลิกกับซูชิงอวิ๋นแล้วไปคบกับฉู่ซืออี๋ทว่าตอนนั้นเขาลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด ดันเลือกวิธีที่โง่ที่สุดเมื่อฉู่ซืออี๋พบว่าเขายังไม่หย่ากับซูชิงอวิ๋น ก็ค่อย ๆ หมดความอดทน และเลือกลงมือกับซูชิงอวิ๋นความตั้งใจเดิมคือให้ฟู่เยว่เลือก...มีเธออยู่ เขากับซูชิงอวิ๋นก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่นึกเลยว่าซูชิงอวิ๋นจะตั้งท้อง ร่องรอยบาดแผลบนตัวก็ไม่หนักหนาอะไร ทว่ากลับเสี
ฟู่เจิงกำหมัดขึ้นมาแน่น กระดูกข้อนิ้วซีดเผือด หลังมือมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาทีละเส้น นัยน์ตาประกายความอำมหิตออกมาเขาเชื่อคำพูดของฟู่เยว่พวกเขาโตมาด้วยกัน ไม่มีใครรู้จักฟู่เยว่ดีเท่าเขา นิสัยอ่อนโยนอบอุ่น ลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีความโลภแต่ไม่มีความกล้าเรื่องเหล่านั้นต้องมีคนคอยยุแยงเขาอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ เขาถึงได้ทำแบบนี้ลงไปหากไม่ได้เป็นเพราะฉู่ซืออี๋ พวกเขาสองพี่น้องก็คงไม่มีทางเดินมาถึงขั้นอย่างในวันนี้แน่นอน!ทว่าฟู่เยว่เองก็สลัดการเป็นชนวนของเรื่องราวไม่หลุดเช่นกันฟู่เจิงผิดหวังที่ฟู่เยว่ไม่ได้ดั่งใจมากจริง ๆ!“ไม่นานมานี้พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าพบว่าพี่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่น...”“เป็นฉู่ซืออี๋” ฟู่เยว่เงยหน้าเอ่ย “เธอถูกคนของนายตามหาไปทั่ว เลยแอบหนีมาหาฉัน พวกเราทะเลาะกันยกหนึ่ง”รอยข่วนบนคอเขาที่ซูชิงอวิ๋นไปเห็นเข้าเป็นฝีมือของฉู่ซืออี๋ทว่าเขาดันพูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่มองดูเธอดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ตรอมใจและหดหู่พูดตามตรง วันนี้เมื่อฟู่เจิงได้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ในใจฟู่เยว่กลับมีความรู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างหนึ่งท้ายที่สุดเขาก็ไม่ต้องอดสั่นขวัญแขวน ตัวสั่นงันงกด้วยคว
ลมหายใจอุ่นร้อนรดอยู่บนต้นคอยาวเรียวระหงของเวินเหลียง เธอพยายามควบคุมความพลุ่งพล่านที่อยากจะหลีกตัวออกไปเงียบไปอยู่นาน ฟู่เจิงถึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เขาหลับตาลงพร้อมพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ “ไม่มีอะไร”เขาค่อย ๆ ถอยหลังก้าวหนึ่ง ก่อนจะผละเวินเหลียงออกเวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งในใจเขาได้อย่างรวดเร็วเธอสังเกตเห็นส่วนที่ปูดบวมแดงและรอยฟกช้ำดำเขียวบนหน้าเขาได้ในระยะใกล้ “คุณไปมีเรื่องกับคนอื่นมาเหรอ?”“อืม” ฟู่เจิงขานรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเวินเหลียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ฉันจะไปหยิบกล่องยามานะ คุณนั่งลงก่อน”ภายในห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่มีกล่องยาสำรองเอาไว้ ด้านในมียาสามัญอยู่จำนวนหนึ่งฟู่เจิงเงียบไม่พูดอะไร แล้วลวดมือพาดเสื้อกันลมไปบนพนักพิงโซฟาก่อนจะนั่งลงไปเวินเหลียงวางกล่องยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงแล้วเปิดหายาทาแผลไปด้วยพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงไปมีเรื่องกับคนอื่นได้? มีคนขับรถไม่ใช่เหรอ?”พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือใครกันกล้าต่อยฟู่เจิง?ใครกล้าต่อยฟู่เจิงจนอยู่ในสภาพนี้?ฟู่เจิงเงียบไม่พูดไม่จาผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่ไ
“ฟู่เจิง ทางที่ดีคุณอย่ามาแกล้งฉันดีกว่า”ฟู่เจิงเพิ่งฉีกยิ้มไปได้ครึ่งหนึ่งก็เป็นอันต้องหยุด เขายกมือขึ้นกดแผลที่ข้างปากเบา ๆ “แกล้งที่ไหนกันล่ะ?”เวินเหลียงอดไม่ได้ที่จะโพล่งหัวเราะออกมาเธอเพิ่งจะเคยเห็นท่าทางจนตรอกของฟู่เจิงแบบนี้เป็นครั้งแรกฟู่เจิงเงยหน้ามองไปเวินเหลียงรีบหุบรอยยิ้มทันที พร้อมทั้งพูดชื่อร้านอาหารอย่างกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะลวดบอกต่อว่า “ร้านอาหารร้านนี้มีห้องรับรองด้วย”เขาจะได้ไม่ต้องไปพบผู้คนด้วยสภาพอย่างในตอนนี้ฟู่เจิงมองเธอด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ให้เลขาหยางไปจองเมื่อมาถึงยังห้องรับรอง เวินเหลียงสั่งอาหารมาสองสามอย่าง แล้วส่งเมนูให้ฟู่เจิงที่อยู่ตรงหน้า “ดูสิอยากได้อะไรอีกไหม”ฟู่เจิงรีบเมนูมาแล้วกวาดตาดูคร่าว ๆ “เนื้อแพะน้ำแดง?”“อืม” เวินเหลียงพยักหน้า “ฉันกิน เดี๋ยวให้พนักงานมาเสิร์ฟที่ฉันเลย”“เธอชอบกินเนื้อแพะ?”“อืม”เวินเหลียงไม่เพียงแค่ชอบเนื้อแพะเท่านั้น เธอยังชอบกินซุปแพะอีกด้วย น้ำซุปข้นคลั่ก กินคู่กับต้นหอมซอยและผักชีให้ความสดชื่นในปาก อร่อยสุด ๆ ไปเลยทว่าฟู่เจิงไม่ชอบกลิ่นสาบของเนื้อ