ฟู่เจิงกำหมัดขึ้นมาแน่น กระดูกข้อนิ้วซีดเผือด หลังมือมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาทีละเส้น นัยน์ตาประกายความอำมหิตออกมาเขาเชื่อคำพูดของฟู่เยว่พวกเขาโตมาด้วยกัน ไม่มีใครรู้จักฟู่เยว่ดีเท่าเขา นิสัยอ่อนโยนอบอุ่น ลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีความโลภแต่ไม่มีความกล้าเรื่องเหล่านั้นต้องมีคนคอยยุแยงเขาอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ เขาถึงได้ทำแบบนี้ลงไปหากไม่ได้เป็นเพราะฉู่ซืออี๋ พวกเขาสองพี่น้องก็คงไม่มีทางเดินมาถึงขั้นอย่างในวันนี้แน่นอน!ทว่าฟู่เยว่เองก็สลัดการเป็นชนวนของเรื่องราวไม่หลุดเช่นกันฟู่เจิงผิดหวังที่ฟู่เยว่ไม่ได้ดั่งใจมากจริง ๆ!“ไม่นานมานี้พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าพบว่าพี่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่น...”“เป็นฉู่ซืออี๋” ฟู่เยว่เงยหน้าเอ่ย “เธอถูกคนของนายตามหาไปทั่ว เลยแอบหนีมาหาฉัน พวกเราทะเลาะกันยกหนึ่ง”รอยข่วนบนคอเขาที่ซูชิงอวิ๋นไปเห็นเข้าเป็นฝีมือของฉู่ซืออี๋ทว่าเขาดันพูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่มองดูเธอดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ตรอมใจและหดหู่พูดตามตรง วันนี้เมื่อฟู่เจิงได้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ในใจฟู่เยว่กลับมีความรู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างหนึ่งท้ายที่สุดเขาก็ไม่ต้องอดสั่นขวัญแขวน ตัวสั่นงันงกด้วยคว
ลมหายใจอุ่นร้อนรดอยู่บนต้นคอยาวเรียวระหงของเวินเหลียง เธอพยายามควบคุมความพลุ่งพล่านที่อยากจะหลีกตัวออกไปเงียบไปอยู่นาน ฟู่เจิงถึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เขาหลับตาลงพร้อมพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ “ไม่มีอะไร”เขาค่อย ๆ ถอยหลังก้าวหนึ่ง ก่อนจะผละเวินเหลียงออกเวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งในใจเขาได้อย่างรวดเร็วเธอสังเกตเห็นส่วนที่ปูดบวมแดงและรอยฟกช้ำดำเขียวบนหน้าเขาได้ในระยะใกล้ “คุณไปมีเรื่องกับคนอื่นมาเหรอ?”“อืม” ฟู่เจิงขานรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเวินเหลียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ฉันจะไปหยิบกล่องยามานะ คุณนั่งลงก่อน”ภายในห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่มีกล่องยาสำรองเอาไว้ ด้านในมียาสามัญอยู่จำนวนหนึ่งฟู่เจิงเงียบไม่พูดอะไร แล้วลวดมือพาดเสื้อกันลมไปบนพนักพิงโซฟาก่อนจะนั่งลงไปเวินเหลียงวางกล่องยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงแล้วเปิดหายาทาแผลไปด้วยพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงไปมีเรื่องกับคนอื่นได้? มีคนขับรถไม่ใช่เหรอ?”พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือใครกันกล้าต่อยฟู่เจิง?ใครกล้าต่อยฟู่เจิงจนอยู่ในสภาพนี้?ฟู่เจิงเงียบไม่พูดไม่จาผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่ไ
“ฟู่เจิง ทางที่ดีคุณอย่ามาแกล้งฉันดีกว่า”ฟู่เจิงเพิ่งฉีกยิ้มไปได้ครึ่งหนึ่งก็เป็นอันต้องหยุด เขายกมือขึ้นกดแผลที่ข้างปากเบา ๆ “แกล้งที่ไหนกันล่ะ?”เวินเหลียงอดไม่ได้ที่จะโพล่งหัวเราะออกมาเธอเพิ่งจะเคยเห็นท่าทางจนตรอกของฟู่เจิงแบบนี้เป็นครั้งแรกฟู่เจิงเงยหน้ามองไปเวินเหลียงรีบหุบรอยยิ้มทันที พร้อมทั้งพูดชื่อร้านอาหารอย่างกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะลวดบอกต่อว่า “ร้านอาหารร้านนี้มีห้องรับรองด้วย”เขาจะได้ไม่ต้องไปพบผู้คนด้วยสภาพอย่างในตอนนี้ฟู่เจิงมองเธอด้วยนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ให้เลขาหยางไปจองเมื่อมาถึงยังห้องรับรอง เวินเหลียงสั่งอาหารมาสองสามอย่าง แล้วส่งเมนูให้ฟู่เจิงที่อยู่ตรงหน้า “ดูสิอยากได้อะไรอีกไหม”ฟู่เจิงรีบเมนูมาแล้วกวาดตาดูคร่าว ๆ “เนื้อแพะน้ำแดง?”“อืม” เวินเหลียงพยักหน้า “ฉันกิน เดี๋ยวให้พนักงานมาเสิร์ฟที่ฉันเลย”“เธอชอบกินเนื้อแพะ?”“อืม”เวินเหลียงไม่เพียงแค่ชอบเนื้อแพะเท่านั้น เธอยังชอบกินซุปแพะอีกด้วย น้ำซุปข้นคลั่ก กินคู่กับต้นหอมซอยและผักชีให้ความสดชื่นในปาก อร่อยสุด ๆ ไปเลยทว่าฟู่เจิงไม่ชอบกลิ่นสาบของเนื้อ
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว” ฟู่เจิงยิ้มเล็กน้อย “ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ล่ะ? ก่อนหน้านี้เธอถึงขั้นไปคบกับเมิ่งเซ่อได้เพราะข้อมูลบางอย่างไม่ใช่เหรอ? ทำไม? ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว?”สีหน้าเวินเหลียงแข็งทื่อไป นัยน์ตาประกายแวววับ ก่อนจะเบือนสายตาหนี “นั่นมันไม่เหมือนกัน”“แล้วตรงไหนที่ไม่เหมือนกันล่ะ?” ฟู่เจิงเอ่ยถามขึ้นด้วยทีท่าจริงจังพอนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็เดือดพล่านจนปวดตับเวินเหลียงก้มหน้าพลางเบะปากอย่างกระวนกระวายใจ “...นั่นทำเพื่อแก้แค้นให้พ่อฉันนี่...”ทว่าพูดอย่างหน้าด้าน ๆ ก็คือ เป็นเพราะเธอไม่ชอบเมิ่งเซ่อ ถึงได้หลอกใช้เขาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทว่าฟู่เจิงต่างออกไปเธอไม่กล้าเธอไม่กล้าแต่งงานกับฟู่เจิงใหม่อีกครั้งเพราะสิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อน“เพราะงั้นเพื่อแก้แค้นให้พ่อเธอแล้ว ไม่ว่าอะไรเธอก็ตอบตกลงหมด?! อาเหลียง วิญญาณของพ่อตาที่อยู่บนสวรรค์ คงไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้แน่ ฉันว่าเขาคงหวังให้เธอมีชีวิตที่ดีมากกว่า”เวินเหลียงราวกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกทำให้โมโห “...อืม”“โชคดีที่เธอล้วงข้อมูลมาได้เร็ว เลิกกับเมิ่งเซ่อได้ถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเรื่องราวมั
จังหวะนี้เอง พนักงานก็เคาะประตูเข้ามาทยอยเสิร์ฟอาหารฟู่เจิงหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมเปลี่ยนเรื่องคุย “กินข้าวกันเถอะ”กลิ่นหอมชวนกินคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องรับรอง เนื้อแพะน้ำแดงถูกวางมาทางเวินเหลียง กลิ่นตลบอบอวลกลบทุกสิ่ง ทว่าไม่ได้ชัดเจนนักฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อแพะน้ำแดงอยู่บ่อย ๆ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “มันอร่อยขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?”“ถ้าได้ละก็ คุณอยากลองไหม?”ฟู่เจิงยื่นตะเกียบออกไปคีบคำหนึ่งเพิ่งจะเอามาใกล้ ๆ ปาก ก็ได้กลิ่นสาบแพะรุนแรงฟุ้งขึ้นมาสายหนึ่งเขาฝืนกัดเข้าไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เคี้ยวแบบฝืน ๆ ก่อนจะหลับตากลืนลงไป“เป็นยังไงบ้าง?”เห็นสีหน้าของเขาเวินเหลียงก็ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น“ไม่ไหว” ฟู่เจิงตอบทั้งหน้าแข็งทื่อราวกับท่อนไม้“ไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืน” เวินเหลียงเอ่ยทว่าไม่รู้ประโยคนี้ไปจี้จุดฟู่เจิงตรงไหนเข้าหลังกินชิ้นนี้เสร็จเขาก็คีบขึ้นมาอีกชิ้นกินไปได้ครึ่งหนึ่ง เวินเหลียงเม้มปากพลางมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “ฟู่เจิง”“หืม?” ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมา“ขอบคุณนะ” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร?”“ถึงคุณจะข้ามหัวฉันไปตกลงแ
ในใจของเวินเหลียงผุดความกลัดกลุ้ม ปลื้มปีติและความสับสนขึ้นมาเล็กน้อยในที่สุดรักข้างเดียวตลอดเวลาหลายปีก็มีการตอบสนองที่ชัดเจนแต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว พวกเขาหย่ากันแล้ว...ฟู่เจิงอยากแต่งงานกับเธอใหม่อีกครั้งมาตลอดเวินเหลียงนึกไปถึงคำถามที่ถังซือซือถามเธอในงานเลี้ยง เธอยังรักฟู่เจิงอยู่ไหม?ยังรักอยู่ไหม?เวินเหลียงลืมตามองเพดาน ตอบไม่ได้หย่ากันมาตั้งนานขนาดนั้นแล้ว เธอก็ยังพูดสองคำนั้นออกมาอย่างมั่นใจไม่ได้ อันที่จริงก็มีคำตอบอยู่แล้วอันที่จริงเธอยังชอบฟู่เจิงอยู่และเป็นเพราะชอบ ฉะนั้นเธอถึงไม่สามารถรับความช่วยเหลือของเขาได้อย่างสบายใจ ไม่อยากถูกเขาดูถูก ไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขาเพียงแต่การชอบนี้ ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนอย่างตอนอายุสิบกว่ายี่สิบตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ฟู่เจิงคือทั้งชีวิตจิตใจของเธอ ที่เธอตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานก็ล้วนเป็นเพราะอยากตามรอยเขาทว่าตอนนี้การชอบเขาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเท่านั้น จะมีหรือไม่มีก็ได้ เธอยังมีอย่างอื่นต้องทำส่วนเรื่องแต่งงานใหม่อีกครั้งนั้น ในตอนนี้เธอยังไม่มีแพลนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกันเวินเหลี
ฟู่เจิงจะไปบริษัท จึงให้เวินเหลียงติดรถไปลงหน้าประตูสถานีตำรวจด้วยเวินเหลียงได้ขับรถตัวเองกลับด้วยพอดีระหว่างทาง เวินเหลียงได้รับสายโทรเข้าสายหนึ่ง บนหน้าจอโชว์เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ทั่วไปเธอใส่หูฟังบลูทูธก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล?”มีเสียงที่ฟังดูอ่อนเยาว์ทว่าเป็นมิตรเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมาจากปลายสาย “ฮัลโหล คุณเวินใช่ไหมครับ?”“ฉันเองค่ะ คุณคือ?”“ผมเสี่ยวเฉิงเป็นผู้ช่วยของผู้กำกับซ่งครับ ผู้กำกับซ่งมีเรื่องอยากจะหารือกับคุณน่ะครับ ตอนนี้คุณพอมีเวลามาหาหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “ผู้กำกับซ่งอยากเจอฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”เสี่ยวเฉิงเอ่ย “คุยในโทรศัพท์เดี๋ยวเดียวคงพูดได้ไม่ชัดเจน เหมือนว่าจะเป็นปัญหาในฉากที่เกี่ยวข้องกับคุณน่ะครับ ถ้าคุณมีเวลาละก็มาหน้าเซ็ตถ่ายหนังหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”จะว่ายังไงเธอเองถ่ายฉากที่หน้าเซ็ตไปสองสามฉากเช่นกันหลังทางกองถ่ายสอบถามสาเหตุที่ฉู่ซืออี๋ถูกตำรวจคุมตัวไปจนชัดเจน จึงได้รู้ว่าฉู่ซืออี๋หมดหนทางช่วยเหลือแล้ว จึงตัดสินใจตัดฉู่ซืออี๋ออกตอนนี้คงกำลังหาคนใหม่มารับบท
ทีมงานต่างพากันอึ้งไป ก่อนจะย้ายอุปกรณ์ประกอบฉากกลับไปใหม่อีกครั้ง เหล่าผู้ช่วยต่างไปเรียกนักแสดงมา“คุณรอผมเดี๋ยวนะครับ” ผู้กำกับซ่งวางโทรโข่งแล้วเดินออกไปข้างนอก เรียกนักแสดงและตากล้องมาบรีฟฉากถ่ายด้วยกันหลังบรีฟเสร็จ ก็เริ่มถ่ายทำใหม่อีกครั้งแสดงไปรอบหนึ่งแล้ว เหล่านักแสดงต่างคุ้นเคยกันหมดแล้ว จึงถ่ายเทคเดียวผ่านผู้กำกับซ่งกลับมาหน้ามอนิเตอร์อีกครั้ง พร้อมเล่นวิดีโอที่เพิ่งถ่ายทำไปเมื่อครู่ใหม่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เลว แบบนี้สบายกว่าเยอะ”เวินเหลียงฉีกยิ้ม “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?”ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเธอก็จะขอตัวกลับก่อนเมื่อผู้กำกับซ่งได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “มีครับ เราไปนั่งคุยกันทางนั้นกันเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงขานรับ ทว่าในใจมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อยยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก?คงอยากลบฉากเธอละมั้งเวินเหลียงนั่งลงตรงหน้าผู้กำกับซ่ง ผู้ช่วยยกน้ำมาให้สองแก้วเธอทำท่าทางบอกให้ผู้ช่วยวางบนโต๊ะ แล้วเอ่ยทั้งยิ้มแย้มว่า “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ? บอกฉันมาได้เลย”ผู้กำกับซ่งยิ้ม “งั้นผมพูดตรง ๆ เ