“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว” ฟู่เจิงยิ้มเล็กน้อย “ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ล่ะ? ก่อนหน้านี้เธอถึงขั้นไปคบกับเมิ่งเซ่อได้เพราะข้อมูลบางอย่างไม่ใช่เหรอ? ทำไม? ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว?”สีหน้าเวินเหลียงแข็งทื่อไป นัยน์ตาประกายแวววับ ก่อนจะเบือนสายตาหนี “นั่นมันไม่เหมือนกัน”“แล้วตรงไหนที่ไม่เหมือนกันล่ะ?” ฟู่เจิงเอ่ยถามขึ้นด้วยทีท่าจริงจังพอนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็เดือดพล่านจนปวดตับเวินเหลียงก้มหน้าพลางเบะปากอย่างกระวนกระวายใจ “...นั่นทำเพื่อแก้แค้นให้พ่อฉันนี่...”ทว่าพูดอย่างหน้าด้าน ๆ ก็คือ เป็นเพราะเธอไม่ชอบเมิ่งเซ่อ ถึงได้หลอกใช้เขาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทว่าฟู่เจิงต่างออกไปเธอไม่กล้าเธอไม่กล้าแต่งงานกับฟู่เจิงใหม่อีกครั้งเพราะสิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อน“เพราะงั้นเพื่อแก้แค้นให้พ่อเธอแล้ว ไม่ว่าอะไรเธอก็ตอบตกลงหมด?! อาเหลียง วิญญาณของพ่อตาที่อยู่บนสวรรค์ คงไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้แน่ ฉันว่าเขาคงหวังให้เธอมีชีวิตที่ดีมากกว่า”เวินเหลียงราวกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกทำให้โมโห “...อืม”“โชคดีที่เธอล้วงข้อมูลมาได้เร็ว เลิกกับเมิ่งเซ่อได้ถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเรื่องราวมั
จังหวะนี้เอง พนักงานก็เคาะประตูเข้ามาทยอยเสิร์ฟอาหารฟู่เจิงหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมเปลี่ยนเรื่องคุย “กินข้าวกันเถอะ”กลิ่นหอมชวนกินคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องรับรอง เนื้อแพะน้ำแดงถูกวางมาทางเวินเหลียง กลิ่นตลบอบอวลกลบทุกสิ่ง ทว่าไม่ได้ชัดเจนนักฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อแพะน้ำแดงอยู่บ่อย ๆ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “มันอร่อยขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?”“ถ้าได้ละก็ คุณอยากลองไหม?”ฟู่เจิงยื่นตะเกียบออกไปคีบคำหนึ่งเพิ่งจะเอามาใกล้ ๆ ปาก ก็ได้กลิ่นสาบแพะรุนแรงฟุ้งขึ้นมาสายหนึ่งเขาฝืนกัดเข้าไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เคี้ยวแบบฝืน ๆ ก่อนจะหลับตากลืนลงไป“เป็นยังไงบ้าง?”เห็นสีหน้าของเขาเวินเหลียงก็ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น“ไม่ไหว” ฟู่เจิงตอบทั้งหน้าแข็งทื่อราวกับท่อนไม้“ไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืน” เวินเหลียงเอ่ยทว่าไม่รู้ประโยคนี้ไปจี้จุดฟู่เจิงตรงไหนเข้าหลังกินชิ้นนี้เสร็จเขาก็คีบขึ้นมาอีกชิ้นกินไปได้ครึ่งหนึ่ง เวินเหลียงเม้มปากพลางมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “ฟู่เจิง”“หืม?” ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมา“ขอบคุณนะ” เวินเหลียงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง“ขอบคุณฉันเรื่องอะไร?”“ถึงคุณจะข้ามหัวฉันไปตกลงแ
ในใจของเวินเหลียงผุดความกลัดกลุ้ม ปลื้มปีติและความสับสนขึ้นมาเล็กน้อยในที่สุดรักข้างเดียวตลอดเวลาหลายปีก็มีการตอบสนองที่ชัดเจนแต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว พวกเขาหย่ากันแล้ว...ฟู่เจิงอยากแต่งงานกับเธอใหม่อีกครั้งมาตลอดเวินเหลียงนึกไปถึงคำถามที่ถังซือซือถามเธอในงานเลี้ยง เธอยังรักฟู่เจิงอยู่ไหม?ยังรักอยู่ไหม?เวินเหลียงลืมตามองเพดาน ตอบไม่ได้หย่ากันมาตั้งนานขนาดนั้นแล้ว เธอก็ยังพูดสองคำนั้นออกมาอย่างมั่นใจไม่ได้ อันที่จริงก็มีคำตอบอยู่แล้วอันที่จริงเธอยังชอบฟู่เจิงอยู่และเป็นเพราะชอบ ฉะนั้นเธอถึงไม่สามารถรับความช่วยเหลือของเขาได้อย่างสบายใจ ไม่อยากถูกเขาดูถูก ไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขาเพียงแต่การชอบนี้ ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนอย่างตอนอายุสิบกว่ายี่สิบตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ฟู่เจิงคือทั้งชีวิตจิตใจของเธอ ที่เธอตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานก็ล้วนเป็นเพราะอยากตามรอยเขาทว่าตอนนี้การชอบเขาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเท่านั้น จะมีหรือไม่มีก็ได้ เธอยังมีอย่างอื่นต้องทำส่วนเรื่องแต่งงานใหม่อีกครั้งนั้น ในตอนนี้เธอยังไม่มีแพลนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกันเวินเหลี
ฟู่เจิงจะไปบริษัท จึงให้เวินเหลียงติดรถไปลงหน้าประตูสถานีตำรวจด้วยเวินเหลียงได้ขับรถตัวเองกลับด้วยพอดีระหว่างทาง เวินเหลียงได้รับสายโทรเข้าสายหนึ่ง บนหน้าจอโชว์เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ทั่วไปเธอใส่หูฟังบลูทูธก่อนจะรับสาย “ฮัลโหล?”มีเสียงที่ฟังดูอ่อนเยาว์ทว่าเป็นมิตรเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมาจากปลายสาย “ฮัลโหล คุณเวินใช่ไหมครับ?”“ฉันเองค่ะ คุณคือ?”“ผมเสี่ยวเฉิงเป็นผู้ช่วยของผู้กำกับซ่งครับ ผู้กำกับซ่งมีเรื่องอยากจะหารือกับคุณน่ะครับ ตอนนี้คุณพอมีเวลามาหาหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงประหลาดใจไปครู่หนึ่ง “ผู้กำกับซ่งอยากเจอฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”เสี่ยวเฉิงเอ่ย “คุยในโทรศัพท์เดี๋ยวเดียวคงพูดได้ไม่ชัดเจน เหมือนว่าจะเป็นปัญหาในฉากที่เกี่ยวข้องกับคุณน่ะครับ ถ้าคุณมีเวลาละก็มาหน้าเซ็ตถ่ายหนังหน่อยได้ไหมครับ?”เวินเหลียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”จะว่ายังไงเธอเองถ่ายฉากที่หน้าเซ็ตไปสองสามฉากเช่นกันหลังทางกองถ่ายสอบถามสาเหตุที่ฉู่ซืออี๋ถูกตำรวจคุมตัวไปจนชัดเจน จึงได้รู้ว่าฉู่ซืออี๋หมดหนทางช่วยเหลือแล้ว จึงตัดสินใจตัดฉู่ซืออี๋ออกตอนนี้คงกำลังหาคนใหม่มารับบท
ทีมงานต่างพากันอึ้งไป ก่อนจะย้ายอุปกรณ์ประกอบฉากกลับไปใหม่อีกครั้ง เหล่าผู้ช่วยต่างไปเรียกนักแสดงมา“คุณรอผมเดี๋ยวนะครับ” ผู้กำกับซ่งวางโทรโข่งแล้วเดินออกไปข้างนอก เรียกนักแสดงและตากล้องมาบรีฟฉากถ่ายด้วยกันหลังบรีฟเสร็จ ก็เริ่มถ่ายทำใหม่อีกครั้งแสดงไปรอบหนึ่งแล้ว เหล่านักแสดงต่างคุ้นเคยกันหมดแล้ว จึงถ่ายเทคเดียวผ่านผู้กำกับซ่งกลับมาหน้ามอนิเตอร์อีกครั้ง พร้อมเล่นวิดีโอที่เพิ่งถ่ายทำไปเมื่อครู่ใหม่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เลว แบบนี้สบายกว่าเยอะ”เวินเหลียงฉีกยิ้ม “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกไหมคะ?”ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเธอก็จะขอตัวกลับก่อนเมื่อผู้กำกับซ่งได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “มีครับ เราไปนั่งคุยกันทางนั้นกันเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงขานรับ ทว่าในใจมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อยยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก?คงอยากลบฉากเธอละมั้งเวินเหลียงนั่งลงตรงหน้าผู้กำกับซ่ง ผู้ช่วยยกน้ำมาให้สองแก้วเธอทำท่าทางบอกให้ผู้ช่วยวางบนโต๊ะ แล้วเอ่ยทั้งยิ้มแย้มว่า “ผู้กำกับซ่งคะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ? บอกฉันมาได้เลย”ผู้กำกับซ่งยิ้ม “งั้นผมพูดตรง ๆ เ
“เยี่ยมครับ ๆ ๆ” ผู้กำกับซ่งลุกขึ้นยืนด้วยความดีอกดีใจ เขาหยิบบทละครขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วรีบเปิดหาฉากของซูเมี่ยวฉากหนึ่งจนเจอด้วยความรวดเร็ว “เอาตรงนี้ก็แล้วกันครับ คุณลองอ่านดูสิครับ”เวินเหลียงรับมา สายตาตกไปอยู่บนบทละคร เธอตั้งใจอ่านเป็นอย่างมากพล็อตเรื่องในท่อนนี้เกิดขึ้นตอนใกล้จะจบเรื่องแล้ว ซูเมี่ยวถูกพระเอกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เป็นบทสนทนากับพระเอกก่อนตาย แสดงที่มานิสัยตัวละครของตัวนางหลังบทสนทนาจบ ซูเมี่ยวหลับตาลง หวนนึกเรื่องราวเก่า ๆตอนเด็ก ๆ ซูเมี่ยวเคยประสบกับความน่าเศร้าสลดพ่อแม่หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอก เธอเกิดมาในร่างคนที่มีหูของจิ้งจอก เร่ร่อนพเนจรอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกเหล่าชาวบ้านด่าประจานและขับไล่เพราะเห็นเป็นสัตว์ประหลาด ร่อนเร่พเนจรไปจนกระทั่งอายุสี่ขวบ ก็ถูกคุณปู่คนหนึ่งรับเลี้ยงเอาไว้ฐานะทางบ้านของคุณปู่ยากจน ซูเมี่ยวร่างกายซูบผอม มักจะถูกคนอายุเท่ากันรังแกและเย้ยหยัน ไม่มีใครยอมเล่นกับนางครั้งหนึ่งหลังจากที่นางถูกคนรังแก นางก็หนีไปร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำเพียงลำพังสาวน้อยที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันอายุห่างกับนางไม่มากคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในตอนที่นางถูกเด็กคนอื่นรั
“...หากตอนนั้น ข้ารอจนถึงตอนที่ท่านอาจารย์กลับมา และกลายเป็นศิษย์ของเขา เจ้าจะชอบข้าหรือไม่?”ก่อนจะเป็นคนเลว ในตอนที่เลือกได้ นางเองก็เคยเป็นคนดีมาก่อนเวินเหลียงลืมตา ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาจากพื้น “ผู้กำกับซ่ง คุณเห็นแล้วใช่ไหมคะ? เดิมทีฉันก็ไม่เหมาะกับการแสดงละครอยู่แล้ว”ไม่พูดไม่ได้ การตั้งค่าของตัวละครซูเมี่ยวตัวละครนี้ค่อนข้างมีมิติทีเดียว มีความดีแฝงอยู่ในความชั่ว และมีความชั่วแฝงอยู่ในความดี แม้จะเป็นตัวร้าย ทว่าก็ไม่ทำให้คนเกลียด ผู้กำกับซ่งมองเวินเหลียงด้วยความเซอร์ไพรส์ “ไม่เหมาะสมตรงไหนกัน เหมาะสมสุด ๆ ไปเลย! นี่แหละตัวตนของซูเมี่ยว!”“ไม่ใช่สิคะ ผู้กำกับซ่ง คุณไม่ต้องฝืนใจชมฉันหรอกค่ะ...”“เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งนั้น เสี่ยวเวิน ผมตามตัวมาถูกคนจริง ๆ คุณมีพรสวรรค์ด้านการแสดง ถ้าไม่เดินทางสายนี้ ก็เป็นการปล่อยให้พรสวรรค์ของคุณเปล่าประโยชน์จริง ๆ...”“หึ ๆ...” เวินเหลียงฉีกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างแข็งทื่อ “ผู้กำกับซ่งคะ ฉันมีพรสวรรค์อะไรที่ไหนกันคะ...”“คุณเลิกถ่อมตัวได้แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่แสดงเป็นสแตน
ห้าโมงเย็น เวินเหลียงมารออยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลตรงเวลาภายใต้การนำของคุณครู บรรดาหนูน้อยเข้าแถวเดินออกมาที่ประตูใหญ่แถวของนกแพนกวินตัวน้อยที่ตัวเท่า ๆ กัน ในเวลาเพียงชั่วครู่เวินเหลียงมองจนตาลายไปเล็กน้อยเมื่อฟู่ซือฝานเห็นเวินเหลียง ก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความปลื้มปีติ กำลังจะเรียกออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงปิดปากเงียบไปอีกครั้งเธอบอกกับคุณครูก่อนจะวิ่งเหยาะไปทางเวินเหลียงในตอนนี้เองเวินเหลียงถึงได้เห็นเธอ เวินเหลียงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว “ฝานฝาน”เมื่อมาถึงตรงหน้าเวินเหลียง ฟู่ซือฝานก็หันหน้าไปมองเพื่อนร่วมชั้นของตนทีหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “คุณป้า เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”“อืม” เวินเหลียงปลดกระเป๋าเป้ใบน้อยบนหลังเธอลงมาถือ พร้อมจูงมือจ้ำม่ำน้อย ๆ ของเธอไปที่รถยนต์ “ฝานฝาน วันนี้ที่โรงเรียนอนุบาลรู้สึกยังไงบ้าง?”“ไม่เลวเลยค่ะ เพื่อน ๆ เฟรนด์ลี่กันมาก ๆ ส่วนคุณครูก็ดีแลหนูดีสุด ๆ ทำเหมือนว่าหนูทำอะไรไม่เป็นเลยอย่างนั้น...”คุณครูรู้ว่าฐานะทางบ้านของฟู่ซือฝานไม่ธรรมดา แถมเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศอีก กลัวว่าเธอจะปรับตัวไม่ได้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจเยอะหน่