คนที่ลงมาจากที่นั่งด้านหลังทั้งทางซ้ายและทางขวาสองคน คนหนึ่งคือประธานเกา ส่วนอีกคนหนึ่งคือประธานฉีฟู่เจิงไม่ได้ปฏิเสธการรับแขก แต่เชิญพวกเขาสองคนเข้าห้องทำงานแล้วนั่งลงดื่มน้ำชาหลังจากโอภาปราศรัยกันเสร็จ ประธานเกาก็แจ้งการตัดสินของการประชุมผู้ถือหุ้นฟู่เจิงฟังแล้วกลับนิ่งเฉย ชงน้ำชาให้ประธานทั้งสองด้วยท่วงท่าสง่างาม แสดงออกว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่มีความคิดกลับไปทำงานที่ฟู่ซื่อแบบอ้อม ๆสาเหตุมีสองอย่าง หนึ่งคือคุณปู่เสียชีวิต จากนั้นภรรยาของตัวเองก็แท้ง สองเรื่องนี้สะเทือนใจเขามาก เขาต้องการเวลาเยียวยาจิตใจระยะหนึ่ง ไม่มีกะจิดกะใจไปมุ่นอยู่กับงานในบริษัทสองคือเขาเคยบอกแล้วว่ามีความคิดไม่สอดคล้องกับคณะกรรมการบริษัท และตอนนี้ฟู่เยว่ก็นั่งตำแหน่งประธานบริหาร เขาไม่อยากให้พี่น้องต้องสู้กันเองประธานเกาแลกสายตากับประธานฉีด้วยความจนใจ หลังจากดื่มน้ำชาสองแก้วแล้วก็คว้าน้ำเหลวกลับแต่ตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทว่างเว้นหนึ่งวัน อารมณ์ของผู้ถือหุ้นทั้งหลายก็จะไม่ผ่อนคลายหนึ่งวันภายหลังประธานฉีมาอีกสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนเดิมเวินเหลียงอยู่โรงพยาบาลห้าวัน วันที่ห้าถังซือซือมาเยี่ยม
เวินเหลียงส่ายหน้า “ฉันไม่รู้สิ”“งั้นก็ได้ ไม่รีบนะ เธอค่อย ๆ คิดไป เอาไว้พวกเธอหย่ากันแล้วเราก็ไปเที่ยวให้สบายใจกันก่อน!”“พวกเรา?”“อื้ม” ถังซือซือพยักหน้าอย่างจริงจัง “เรานั่นแหละ มีฉันกับเธอ แล้วดูสิว่าจูฝานจะว่างไหม”เวินเหลียงคิดดูแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป จึงรับปาก “ได้”“งั้นฉันกลับไปแล้วจะค่อย ๆ วางแผน ดูสิว่าฤดูใบไม้ผลิไปเที่ยวที่ไหนดี”……นับจากวันที่หก เวินเหลียงกลับไปพักฟื้นที่บ้านกระทั่งออกเดือนแม่บ้านดูแลเธออย่างดีในทุก ๆ ด้านฟู่เจิงยังคงอยู่ที่คฤหาสน์ เพียงแต่ทั้งสองแค่เจอกันทุกวัน กลับไม่มีคำพูดต่อกันสามีภรรยาที่เคยสนิทสนมไร้ช่องว่าง ตอนนี้กลายเป็นไม่มีอะไรจะพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฟู่เจิงปรากฏตัวต่อหน้าเวินเหลียงน้อยมาก ๆเวินเหลียงมักนั่งอาบแดดอยู่ที่ระเบียงของห้องนอนหลักเป็นประจำ นั่งทีก็ปาไปครึ่งวันพระอาทิตย์ในฤดูหนาวอบอุ่นไม่ร้อนแผดเผา สบายมากวันนี้ฟู่เจิงกลับไปในตอนกลางคืน เห็นเวินเหลียงยังนั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่ที่ระเบียง ทอดสายตามองออกไปไกลหลังจากเสียลูก เธอก็เงียบงันถึงที่สุดดังนั้นเช้าวันต่อมา เวินเหลียงจึงถูกเสียงสัตว์ที่ปากประ
ค่ำคืนดึกสงัดประตูห้องนอนหลักถูกผลักออกเปิดเป็นช่องฟู่เจิงเดินเข้าไปเงียบ ๆ บนตัวมีกลิ่นบุหรี่ติดจาง ๆ เดินไปทางเตียงทีละก้าว“เมี๊ยว...” แมวรูมเมตของเวินเหลียงเห็นเขาแล้ว“ชู่...”ฟู่เจิงวางอาหารกระป๋องที่แกะแล้วไว้ตรงหน้ารูมเมตของเวินเหลียงรูมเมตเอาจมูกมาดมฟุดฟิดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มสวาปามฟู่เจิงลูบหัวปุ๊กลุกเบา ๆ แล้วเดินไปถึงข้างเตียงภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าที่กำลังกลับสนิทของเวินเหลียงสงบมาก ฟู่เจิงจ้องไม่ละสายตาอยู่นานเขานั่งลงข้างเตียงเบา ๆ นิ้วมือลูบไล้ดวงหน้าละเอียดลื่นของเธอเบา ๆ ดุจขนนกก็มีแต่ช่วงเวลาแบบนี้ที่เขาจะกล้าเข้าใกล้เวินเหลียงอย่างใกล้ชิด ถึงไม่เห็นแววตาเย็นชารังเกียจของเธอเขากลัวว่าจะเห็นสายตาอย่างนั้นของเธอฟู่เจิงผู้เด็ดขาดในสมรภูมิทางธุรกิจเชื่อมั่นละสุขุมคนนั้นก็มีช่วงเวลาที่กลัวเหมือนกันถ้าเขาในอดีตได้ยินคำพูดนี้จะต้องหัวเราะ ไม่ยี่หระแล้วปล่อยผ่านไปแน่วินาทีที่เขารู้ใจตัวเอง เขารู้ว่าสายใยที่ชื่อว่าเวินเหลียงบนตัวเขาไม่มีวันขจัดได้ตลอดชีวิตพวกเขาเคยใช้ชีวิตคู่ที่ราบเรียบสมานฉันท์สองปีกว่า และเคยกอดนัวเนียจูบดูดดื่มกันอยู่บนเตี
เวินเหลียงกอดโถอัฐิลงจากรถแน่น ๆฟู่เจิงติดต่อไว้ก่อนแล้ว จึงมีหลวงจีนน้อยนำพวกเขาไปถึงตึกเดี่ยวเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังฝั่งหนึ่ง เวินเหลียงเงยหน้ามองทีหนึ่ง เห็นป้ายเล็ก ๆ บนนั้นเขียนว่า ‘หอจุติ’พอเข้าไปแล้วก็เห็นโถวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนกำแพงด้านหนึ่ง ในโถแต่ละใบล้วนบรรจุอัฐิอยู่อัฐิในหอจุติจะแบ่งแยกความแตกต่างชั้นแรกจะวางอัฐิของคนทั่วไป ชั้นที่สองเป็นของฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน ชั้นที่สามเป็นดวงวิญญาณของทารกที่แท้ง และมีเจดีย์สำหรับอัฐิของพระด้วยการนำของหลวงจีนน้อย เวินเหลียงวางโถอัฐิแล้วล็อกด้วยมือของตัวเองจากนั้นหลวงจีนน้อยก็พาพวกเขาไปยังวิหารจุติที่อยู่ทางตะวันตกของวิหารหลักวิหารจุติอยู่ตั้งอยู่ที่สูง ด้านหน้ามีบันไดขึ้นสูงระยะหนึ่งมีขั้นบันไดทั้งหมดแปดสิบเอ็ดขั้น ซึ่งหมายถึงหลังจากผ่านแปดสิบเอ็ดเคราะห์แล้วจึงจะสำเร็จมรรคผลไปสู่แดนสุขาวดีได้ฟู่เจิงจูงมือของเวินเหลียงย่างขึ้นบันไดทีละก้าวด้วยความศรัทธาในวิหารมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่สามองค์ ได้แก่ พระอมิตตาภะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระสถามปราปต์โพธิสัตว์เวินเหลียงเดินอ้อมกำแพงด้านหนึ่งตาม
พอออกมาจากอารามก็เจอกับลมหนาวปะทะเข้ามาพร้อมกับปุยสีขาวเล็ก ๆหิมะตกแล้วเวินเหลียงมองท้องฟ้าฟู่เจิงมองเวินเหลียง “เราจะกลับกันเลย?”เวินเหลียงมองสีของท้องฟ้า หิมะท่าทางจะตกหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งทางด่วนคงไม่ปลอดภัยเท่าไร“ค้างที่นี่สักคืนแล้วกัน พรุ่งนี้หิมะหยุดแล้วค่อยกลับ”“ได้”ฟู่เจิงถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมไหล่ของเวินเหลียง เวินเหลียงกำลังจะปฏิเสธกลับได้ยินฟู่เจิงพูดขึ้น “เธอเพิ่งออกเดือน ยังต้องรักษาสุขภาพ”“ขอบคุณค่ะ”“ไม่ได้พูดขอบคุณกับฉัน...”ฟู่เจิงอยากพูดว่าเธอเป็นเมียฉัน สมควรอยู่แล้วเพียงแต่คำพูดนี้อย่างไรก็พูดไม่ออกพวกเขาแต่งงานกันสามปี เขามีหนึ่งพันกว่าทิวาราตรีเรียกเธอว่าที่รักได้แต่เขาไม่เคยเรียกตอนนี้เขาไม่มีโอกาสนี้แล้วฟู่เจิงหวังเหลือเกินว่าหิมะห่านี้จะตกตลอดไป ไม่มีวันหยุดเพราะอย่างนั้นพวกเขาจะได้หยุดอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่ต้องกลับไปสถานที่ที่ทำให้เธอเสียใจและพวกเขาก็ไม่ต้องหย่ากันด้วยเพียงแต่...ความหวังก็คือความหวังหิมะหยุดในตอนกลางคืนวันรุ่งขึ้นพวกเขาเดินทางอยู่บนเส้นทางขากลับตอนลงจากทางด่วน เวินเหลียงพูดขึ้น “เรากลับไปเอาเอกสารแล้
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะรอฉัน?”ฟู่เจิงยังอยากพูดว่าจะส่งเวินเหลียงกลับบ้าน แต่ก็คิดอีกว่าส่งเวินเหลียงกลับบ้านใช้เวลาพอ ๆ กับไปสำนักงานเขต ถ้าพูดออกไปจะเผยไต๋ก็เลยรีบกลืนคำพูดที่อยู่ริมปากกลับ“ค่ะ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีธุระ”“ได้” ลูกกระเดือกของฟู่เจิงขยับขึ้นลง เห็นเวินเหลียงยืนกรานจะหย่าอย่างนี้ ในใจทั้งเปรี้ยวทั้งขมทรมานมากทั้งที่เขาเป็นคนเสนอเรื่องหย่าเอง ตอนนี้กลับไม่ยินยอมแบบสุด ๆฟู่เจิงส่งเวินเหลียงไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามตึกฟู่ซื่อ ลังเลนิดหนึ่ง “จะเที่ยงแล้ว เธอเข้าบริษัทกับฉัน ไปพักผ่อนที่ห้องรับรองสักเดี๋ยวไหม?”เวินเหลียงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลาออกแล้ว ถ้าไปโผล่ที่บริษัทอีกจะไม่ค่อยดี”สายตาของฟู่เจิงมืดลง ความมืดเข้มข้นจนแทบจะหยดเป็นน้ำทั้งที่พวกเขาเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว เธอกลับไม่อยากเผยตัวที่บริษัทกับเขาอีกเขาคิดถึงเมื่อก่อนมาก พวกเขาวิ่งด้วยกันตอนเช้า กินข้าวเช้าด้วยกัน ไปเข้างานที่บริษัทด้วยกัน“งั้นก็ได้” ฟู่เจิงสั่งกาแฟและของหวานให้เวินเหลียง จากนั้นก็มองเธอสองทีก่อนจะจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์เวินเหลียงหาที่นั่งในมุมของร้านกาแฟ ดื่มเล็กน้อยผ่านไปประมาณครึ่งช
เวินเหลียงได้ยินไม่ชัด คิดแค่ว่าฟู่เจิงละเมอเพราะเมาเธอดึงข้อมือของตัวเองออก แต่เพราะฟู่เจิงกำแน่นขึ้นจึงดึงไม่ออกเวินเหลียงจึงเอามือแกะนิ้วของฟู่เจิง แต่ก็แกะไม่ออกอีกฟู่เจิงพึมพำอีกครั้ง “อาเหลียง ฉันรักเธอ”เวินเหลียงสะท้านทั้งตัว มือที่กำลังเคลื่อนไหวชะงักไป นึกว่าตัวเองหูฝาด เธอจึงเงี่ยหูเข้าไปแล้วถามเบา ๆ “ฟู่เจิง คุณว่าอะไรนะ?”“ฉันรักเธอ อาเหลียง อย่าจากฉันไป ฉันสำนึกผิดแล้ว ต่อไปฉันจะรักเธอให้มาก อย่าจากฉันไป...”ฟู่เจิงรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองดี เขากลัวจะเห็นสายตาเย็นชาถากถางของเวินเหลียง จึงได้แต่ใช้วิธีนี้วิงวอนเธอเวินเหลียงได้ยินแล้วก็หลุบตาลงเธอคิด ในฝันฟู่เจิงคงจำคนผิดและต่อให้เขาไม่จำคนผิด ที่เขาไม่อยากหย่ากับเธอก็เพราะความละอายใจเท่านั้นถูกทำร้ายมากมายอย่างนั้น ทั้งยังต้องสูญเสียอย่างเจ็บปวด เธอไม่อยากพัวพันกับเขาอีกต่อไปเวินเหลียงแกะนิ้วของฟู่เจิงต่อพอสัมผัสได้ถึงความประสงค์ที่จะออกไป ฟู่เจิงจึงหดหู่และสิ้นหวังพลันเธอได้ยินการสารภาพรักของเขาแล้ว กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆสุดท้ายก็ยังรั้งเธอไว้ไม่ได้เหรอ?รสขมเฝื่อนละทักขึ้นมาจากหัวใจไม่ เขาจะ
เมื่อก่อนฟู่เจิงไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนชอบสูบบุหรี่ขนาดนั้นตอนนี้เขาเข้าใจแล้วพอสูบหนึ่งมวลหมด ฟู่เจิงดับบุหรี่แล้วตากลมเย็นอีกพักหนึ่ง กระทั่งกลิ่นบุหรี่บนตัวจางหายไปแล้วจึงออกจากห้องเวินเหลียงรอเขาอยู่ชั้นล่างแล้วเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าเดี๋ยวเขาต้องลงมาแน่ทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็เบนสายตาออกจากกันความอาลัยอาวรณ์ของเขาและความเด็ดเดี่ยวที่จะไปของเธอถูกถ่ายทอดออกมาแบบไม่ต้องกล่าววาจา“ไปกันเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงลุกขึ้นยืนแล้วตามขึ้นรถอยู่ข้างหลังฟู่เจิงครั้งนี้ฟู่เจิงไม่ได้จงใจลดความเร็ว ราบรื่นตลอดทางไม่นานก็ถึงลานจอดรถของสำนักงานเขตนี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขามาที่นี่ฟู่เจิงและเวินเหลียงลงจากรถตามลำดับ ต่างคนต่างถือเอกสารของตัวเอง เดินเคียงบ่าเข้าไปอย่างรู้ใจ ไม่มีใครพูด เงียบจนประหลาดตอนที่เดินเข้าไป จู่ ๆ ฟู่เจิงก็จูงมือของเวินเหลียง ขณะที่เธอกำลังจะชักมือออก เขาก็พูดขึ้น “ครั้งสุดท้าย”ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขามีโอกาสมากมายที่จะจับมือเธอ จับสายว่าวที่โอนเอนน่าเสียดายที่เขาพลาดว่าวลอยไปเสียแล้ว ออกจากคลองจักษุของเขาโดยสิ้นเชิงมือของเขายังคงอบอุ