เวินเหลียงกอดโถอัฐิลงจากรถแน่น ๆฟู่เจิงติดต่อไว้ก่อนแล้ว จึงมีหลวงจีนน้อยนำพวกเขาไปถึงตึกเดี่ยวเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังฝั่งหนึ่ง เวินเหลียงเงยหน้ามองทีหนึ่ง เห็นป้ายเล็ก ๆ บนนั้นเขียนว่า ‘หอจุติ’พอเข้าไปแล้วก็เห็นโถวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนกำแพงด้านหนึ่ง ในโถแต่ละใบล้วนบรรจุอัฐิอยู่อัฐิในหอจุติจะแบ่งแยกความแตกต่างชั้นแรกจะวางอัฐิของคนทั่วไป ชั้นที่สองเป็นของฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน ชั้นที่สามเป็นดวงวิญญาณของทารกที่แท้ง และมีเจดีย์สำหรับอัฐิของพระด้วยการนำของหลวงจีนน้อย เวินเหลียงวางโถอัฐิแล้วล็อกด้วยมือของตัวเองจากนั้นหลวงจีนน้อยก็พาพวกเขาไปยังวิหารจุติที่อยู่ทางตะวันตกของวิหารหลักวิหารจุติอยู่ตั้งอยู่ที่สูง ด้านหน้ามีบันไดขึ้นสูงระยะหนึ่งมีขั้นบันไดทั้งหมดแปดสิบเอ็ดขั้น ซึ่งหมายถึงหลังจากผ่านแปดสิบเอ็ดเคราะห์แล้วจึงจะสำเร็จมรรคผลไปสู่แดนสุขาวดีได้ฟู่เจิงจูงมือของเวินเหลียงย่างขึ้นบันไดทีละก้าวด้วยความศรัทธาในวิหารมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่สามองค์ ได้แก่ พระอมิตตาภะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระสถามปราปต์โพธิสัตว์เวินเหลียงเดินอ้อมกำแพงด้านหนึ่งตาม
พอออกมาจากอารามก็เจอกับลมหนาวปะทะเข้ามาพร้อมกับปุยสีขาวเล็ก ๆหิมะตกแล้วเวินเหลียงมองท้องฟ้าฟู่เจิงมองเวินเหลียง “เราจะกลับกันเลย?”เวินเหลียงมองสีของท้องฟ้า หิมะท่าทางจะตกหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งทางด่วนคงไม่ปลอดภัยเท่าไร“ค้างที่นี่สักคืนแล้วกัน พรุ่งนี้หิมะหยุดแล้วค่อยกลับ”“ได้”ฟู่เจิงถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมไหล่ของเวินเหลียง เวินเหลียงกำลังจะปฏิเสธกลับได้ยินฟู่เจิงพูดขึ้น “เธอเพิ่งออกเดือน ยังต้องรักษาสุขภาพ”“ขอบคุณค่ะ”“ไม่ได้พูดขอบคุณกับฉัน...”ฟู่เจิงอยากพูดว่าเธอเป็นเมียฉัน สมควรอยู่แล้วเพียงแต่คำพูดนี้อย่างไรก็พูดไม่ออกพวกเขาแต่งงานกันสามปี เขามีหนึ่งพันกว่าทิวาราตรีเรียกเธอว่าที่รักได้แต่เขาไม่เคยเรียกตอนนี้เขาไม่มีโอกาสนี้แล้วฟู่เจิงหวังเหลือเกินว่าหิมะห่านี้จะตกตลอดไป ไม่มีวันหยุดเพราะอย่างนั้นพวกเขาจะได้หยุดอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่ต้องกลับไปสถานที่ที่ทำให้เธอเสียใจและพวกเขาก็ไม่ต้องหย่ากันด้วยเพียงแต่...ความหวังก็คือความหวังหิมะหยุดในตอนกลางคืนวันรุ่งขึ้นพวกเขาเดินทางอยู่บนเส้นทางขากลับตอนลงจากทางด่วน เวินเหลียงพูดขึ้น “เรากลับไปเอาเอกสารแล้
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะรอฉัน?”ฟู่เจิงยังอยากพูดว่าจะส่งเวินเหลียงกลับบ้าน แต่ก็คิดอีกว่าส่งเวินเหลียงกลับบ้านใช้เวลาพอ ๆ กับไปสำนักงานเขต ถ้าพูดออกไปจะเผยไต๋ก็เลยรีบกลืนคำพูดที่อยู่ริมปากกลับ“ค่ะ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีธุระ”“ได้” ลูกกระเดือกของฟู่เจิงขยับขึ้นลง เห็นเวินเหลียงยืนกรานจะหย่าอย่างนี้ ในใจทั้งเปรี้ยวทั้งขมทรมานมากทั้งที่เขาเป็นคนเสนอเรื่องหย่าเอง ตอนนี้กลับไม่ยินยอมแบบสุด ๆฟู่เจิงส่งเวินเหลียงไปที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามตึกฟู่ซื่อ ลังเลนิดหนึ่ง “จะเที่ยงแล้ว เธอเข้าบริษัทกับฉัน ไปพักผ่อนที่ห้องรับรองสักเดี๋ยวไหม?”เวินเหลียงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลาออกแล้ว ถ้าไปโผล่ที่บริษัทอีกจะไม่ค่อยดี”สายตาของฟู่เจิงมืดลง ความมืดเข้มข้นจนแทบจะหยดเป็นน้ำทั้งที่พวกเขาเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว เธอกลับไม่อยากเผยตัวที่บริษัทกับเขาอีกเขาคิดถึงเมื่อก่อนมาก พวกเขาวิ่งด้วยกันตอนเช้า กินข้าวเช้าด้วยกัน ไปเข้างานที่บริษัทด้วยกัน“งั้นก็ได้” ฟู่เจิงสั่งกาแฟและของหวานให้เวินเหลียง จากนั้นก็มองเธอสองทีก่อนจะจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์เวินเหลียงหาที่นั่งในมุมของร้านกาแฟ ดื่มเล็กน้อยผ่านไปประมาณครึ่งช
เวินเหลียงได้ยินไม่ชัด คิดแค่ว่าฟู่เจิงละเมอเพราะเมาเธอดึงข้อมือของตัวเองออก แต่เพราะฟู่เจิงกำแน่นขึ้นจึงดึงไม่ออกเวินเหลียงจึงเอามือแกะนิ้วของฟู่เจิง แต่ก็แกะไม่ออกอีกฟู่เจิงพึมพำอีกครั้ง “อาเหลียง ฉันรักเธอ”เวินเหลียงสะท้านทั้งตัว มือที่กำลังเคลื่อนไหวชะงักไป นึกว่าตัวเองหูฝาด เธอจึงเงี่ยหูเข้าไปแล้วถามเบา ๆ “ฟู่เจิง คุณว่าอะไรนะ?”“ฉันรักเธอ อาเหลียง อย่าจากฉันไป ฉันสำนึกผิดแล้ว ต่อไปฉันจะรักเธอให้มาก อย่าจากฉันไป...”ฟู่เจิงรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเองดี เขากลัวจะเห็นสายตาเย็นชาถากถางของเวินเหลียง จึงได้แต่ใช้วิธีนี้วิงวอนเธอเวินเหลียงได้ยินแล้วก็หลุบตาลงเธอคิด ในฝันฟู่เจิงคงจำคนผิดและต่อให้เขาไม่จำคนผิด ที่เขาไม่อยากหย่ากับเธอก็เพราะความละอายใจเท่านั้นถูกทำร้ายมากมายอย่างนั้น ทั้งยังต้องสูญเสียอย่างเจ็บปวด เธอไม่อยากพัวพันกับเขาอีกต่อไปเวินเหลียงแกะนิ้วของฟู่เจิงต่อพอสัมผัสได้ถึงความประสงค์ที่จะออกไป ฟู่เจิงจึงหดหู่และสิ้นหวังพลันเธอได้ยินการสารภาพรักของเขาแล้ว กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆสุดท้ายก็ยังรั้งเธอไว้ไม่ได้เหรอ?รสขมเฝื่อนละทักขึ้นมาจากหัวใจไม่ เขาจะ
เมื่อก่อนฟู่เจิงไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนชอบสูบบุหรี่ขนาดนั้นตอนนี้เขาเข้าใจแล้วพอสูบหนึ่งมวลหมด ฟู่เจิงดับบุหรี่แล้วตากลมเย็นอีกพักหนึ่ง กระทั่งกลิ่นบุหรี่บนตัวจางหายไปแล้วจึงออกจากห้องเวินเหลียงรอเขาอยู่ชั้นล่างแล้วเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าเดี๋ยวเขาต้องลงมาแน่ทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็เบนสายตาออกจากกันความอาลัยอาวรณ์ของเขาและความเด็ดเดี่ยวที่จะไปของเธอถูกถ่ายทอดออกมาแบบไม่ต้องกล่าววาจา“ไปกันเถอะ”“ค่ะ” เวินเหลียงลุกขึ้นยืนแล้วตามขึ้นรถอยู่ข้างหลังฟู่เจิงครั้งนี้ฟู่เจิงไม่ได้จงใจลดความเร็ว ราบรื่นตลอดทางไม่นานก็ถึงลานจอดรถของสำนักงานเขตนี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขามาที่นี่ฟู่เจิงและเวินเหลียงลงจากรถตามลำดับ ต่างคนต่างถือเอกสารของตัวเอง เดินเคียงบ่าเข้าไปอย่างรู้ใจ ไม่มีใครพูด เงียบจนประหลาดตอนที่เดินเข้าไป จู่ ๆ ฟู่เจิงก็จูงมือของเวินเหลียง ขณะที่เธอกำลังจะชักมือออก เขาก็พูดขึ้น “ครั้งสุดท้าย”ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขามีโอกาสมากมายที่จะจับมือเธอ จับสายว่าวที่โอนเอนน่าเสียดายที่เขาพลาดว่าวลอยไปเสียแล้ว ออกจากคลองจักษุของเขาโดยสิ้นเชิงมือของเขายังคงอบอุ
ฟู่เจิงบีบทะเบียนหย่าในมือแรงจนข้อกระดูกขาวชั่ววูบหนึ่ง เขาอยากฉีกมันเป็นชิ้น ๆ แบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!เจ้าหน้าที่ถือทะเบียนสมรสที่ปั๊มยกเลิกแล้วถาม “อันนี้พวกคุณยังจะเอาไหมครับ? ถ้าไม่เอาแล้วเราจะทำลายไปเลย”“เอาครับ!” ฟู่เจิงรับมาแล้วยัดใบหนึ่งไว้ในมือของเวินเหลียงเวินเหลียงอึ้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บใส่กระเป๋าพร้อมกับทะเบียนหย่า “กลับเถอะค่ะ”“อื่ม”ขากลับ เวินเหลียงเปิดหน้าต่าง ลมเย็นพัดใบหน้า เย็นเสียดกระดูกเธอมองใบหน้าตัวเองจากกระจกมองข้างด้านขวา[1] ใบหน้าไร้อารมณ์จิตใจเธอไม่ได้เบาหวิวเหมือนกับที่คิดไว้ กลับหนักอึ้งเล็กน้อยความขมขื่นเล็ก ๆ ความเจ็บปวดค่อย ๆ ลุกลามในใจของเธอไม่ได้เจ็บมาก แต่มันอัดอั้นเต็มทรวงจนทรมานเวินเหลียงพยายามทำตาโต ไม่ให้ฟู่เจิงเห็นว่าเธอกรอบตาแดงแล้วก็จริงจากอายุสิบหกจนยี่สิบห้า ระยะเวลาเกือบสิบปี ถึงจะเลี้ยงสุนัข แต่ถ้ามันจากไปกะทันหันก็ยังอาลัยหาเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน?นั่นคือคนที่เธอชอบมาสิบปีคือแสงตะวันร้อนแรงในชีวิตอันมืดมนเย็นเฉียบช่วงนั้นของเธอ คือทิศทางที่เธอตามไปอย่างมุ่งมั่นเขาเคยหลอมรวมเข้ากับชีวิตของเธอ กลายเป
เขาตัวสูงมาก เตียงผู้ป่วยจึงเกือบไม่พอให้เขานอนแล้วนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหมดสติ หัวใจของเวินเหลียงหยุดเต้นชั่วขณะ กระวีกระวาดไปถึงข้างเตียงฟู่เจิง จับมือของเขาแน่น “ฟู่เจิง? คุณเป็นยังไงบ้าง? คุณรีบฟื้นสิ!”หัวใจของเธอแทบจะหลุดออกมาแล้วเธอไม่เคยกลัวอย่างนี้มาก่อน กลัวว่าฟู่เจิงจะเหมือนกับพ่อที่หลังจากประสบอุบัติเหตุแล้วก็สลบ ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเธอยังจำได้ ตอนนั้นรถบรรทุกคนนั้นมาจากทางขวา ตรงกับที่นั่งข้างคนขับที่เธอนั่งอยู่ตอนนั้นถ้าพ่อไม่ได้หักพวงมาลัยขวา ใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องเธอก็จะไม่ตาย แต่จะเป็นเธอที่ตายแทนก็เหมือนกับครั้งนี้ฟู่เจิงรับกับอันตรายเองหรือว่าแม้แต่ฟู่เจิงก็จะจากเธอไปด้วย?!ไม่ว่าเวินเหลียงจะเรียกยังไง ฟู่เจิงบนเตียงผู้ป่วยก็ไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเวินเหลียงกรอบตาแดง ความกลัวในใจเพิ่มทวีคูณ “ฟู่เจิง คุณจะตายไม่ได้นะ!”เธอนึกว่าเธอสามารถปล่อยวางอย่างสงบได้แล้ว แต่พอเห็นฟู่เจิงนอนอยู่บนเตียงแบบไม่มีชีวิตชีวา หัวใจของเธอก็ราวกับถูกมือใหญ่ไร้รูปกำแน่น ขยำจนเจ็บไปหมด ถ้าฟู่เจิงเกิดเรื่องจริง ๆ เวินเหลียงจะไม่ยกโทษให้ตัวเองเธอเป็นตัวซวยที่นำเคราะห์ร
“คุณอย่าคิดมากเลย ยังไงการที่คุณบาดเจ็บหนักอย่างนี้ก็เพราะว่าช่วยฉัน ฉันแค่ใจไม่เป็นสุขเฉย ๆ” เวินเหลียงมองด้านล่างพลางพูดเธอสับเปลี่ยนนิยาม เปลี่ยนจากปวดใจเป็นใจไม่เป็นสุขก็เหมือนกับถ้ามีคนแปลกหน้าช่วยเธอ เธอจะซาบซึ้งและเป็นห่วงเหมือนกันมันไม่เหมือนกับปวดใจมีคนบอกว่าตอนที่ปวดใจกับผู้ชายคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าตกหลุมรักเขาแล้วแววตาของฟู่เจิงมืดลง “เธอไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไมฉันถึงช่วยเธอ”ในสถานการณ์วิกฤติอย่างนั้น เขาไม่มีเวลาจะคิด และไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วย ที่หักพวงมาลัยไปตามจิตใต้สำนึก เพราะไม่อยากให้เธอบาดเจ็บเท่านั้น“ไม่ว่าจะเพราะอะไร ฉันก็ควรขอบคุณคุณ ขอบคุณค่ะ ฟู่เจิง” เวินเหลียงมองเขาอย่างจริงใจฟู่เจิงยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเธอ อย่างนั้นเธอก็ใช้ชีวิตตัวเองตอบแทนเหมือนกันถ้าวันใดฟู่เจิงเจอกับอันตราย เวินเหลียงจะมอบชีวิตให้เขาเหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่อยากเชื่อ และไม่กล้ามอบหัวใจให้เขาอีกคำขอบคุณของเวินเหลียง พอถึงหูฟู่เจิงแล้วกลับบาดหูมากฟู่เจิงยิ้มเย้ย “ขอบคุณแต่ปากเหรอ?”“งั้น คุณอยากให้ฉันขอบคุณคุณยังไงล่ะ?”“เธอจะ...” ฟู่เจิงพูดแล้วหยุดชะ