สีฟ้ามืดสนิท ร้านรวงทั้งสองข้างทาง ภายในตึกสูงไฟสว่างไสว แสงไฟส่องสว่างจ้าไปหมดเธอเข้าใจความคิดของฟู่เจิง และเธอเองก็รู้ว่าตอนนี้ฟู่เจิงอยากจะชดเชยให้เธอจริง ๆเพียงแต่ที่ฟู่เจิงทำดีกับเธอ เป็นเพราะความรักหรือความรู้สึกผิดกันแน่ เธอแยกไม่ออกมิหนำซ้ำสำหรับเธอแล้วการมีตัวตนของฉู่ซืออี๋ ก็เหมือนกับระเบิดเวลาลูกหนึ่งเธอรู้ดี เพียงแค่มีฉู่ซืออี๋อยู่ เธอกับฟู่เจิงก็จะไม่มีทางกลับไปถึงจุดในก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน…ทั้งสองคนไปกินข้าวกันก่อนถึงมุ่งหน้าไปที่คลับรถยนต์แล่นเข้ามาในคลับ ลงไปยังลานจอดรถใต้ดินฟู่เจิงและเวินเหลียงลงจากรถตามลำดับ มาถึงยังห้องวีไอพีที่พวกเขาไปบ่อย ๆ อย่างคุ้นทางแสงไฟในห้องวีไอพีสลัว บรรดาเพื่อน ๆ กำลังพูดคุยกันฟู่เจิงเปิดประตูเข้าไปสายตาของทุกคนล้วนมองมาหานเฟิงเอ่ยขึ้นทั้งยิ้มแย้มว่า “อาเจิง นี่นายจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ พวกเราไม่มีใครพาคู่ควงมาเลย ทำไมนายถึงพาคุณฉู่มาด้วยล่ะ? จะมาอวดพวกเราใช่ไหม?”เวินเหลียงถอยหลังก้าวหนึ่ง เธอถูกฟู่เจิงบังเอาไว้ครึ่งตัวบนทางเดินแสงไฟส่องสว่าง ในห้องมืดสลัว แสงไฟส่องไม่ถึงส่วนหน้า หานเฟิงจึงมองไม่เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ข
พวกเขารู้ว่าฟู่เจิงอาจจะจงใจ ตั้งใจพาเวินเหลียงมาเจอเพื่อน ตั้งใจโชว์ความสนิทสนมกับเวินเหลียงต่อหน้าเพื่อน ๆตอนที่ฟู่เจิงพาฉู่ซืออี๋มาก่อนหน้านี้ยังไม่เคยทำแบบนี้เลย ส่วนมากที่เขาทำคือพูดคุยกับเหล่าเพื่อน ๆ และฉู่ซืออี๋ก็นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ ใครก็มองความพิเศษที่ฟู่เจิงทำต่อเวินเหลียงออกที่นี่ก็มีคนที่พูดคุยเล่นสนุก ๆ เช่นกัน เปลี่ยนคู่ควงทุกวัน ล้วนไม่ซ้ำหน้า แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นนอกแวดวง เล่น ๆ สนุก ๆ ไปก็เท่านั้นแต่ทว่าคล้ายกับฐานะของเวินเหลียงนั้นจะเล่น ๆ สนุก ๆ ตามอำเภอใจไม่ได้ไม่อย่างนั้นคุณท่านฟู่คงไม่ยอมแน่แต่ว่าต่อไปฉู่ซืออี๋จะทำยังไงล่ะ?ลู่ฉางคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นกังวลแทนฉู่ซืออี๋“ฉางคง” จู่ ๆ ฟู่เจิงก็ตะโกนเรียกลู่ฉางคงเสียงหนึ่ง “จะขอโทษอาเหลียงไม่ใช่เหรอ?”เวินหลียงพูดถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ก็พลอยทำฟู่เจิงนึกขึ้นได้ด้วย ตอนนั้นคนที่ยุแยงให้เวินเหลียงเรียกฉู่ซืออี๋ ก็คือลู่ฉางคงครั้นสัมผัสได้ถึงนัยน์ตาของฟู่เจิง ลู่ฉางคงก็เสียวสันหลังวาบ พลางยกเหล้ามา “อาเหลียง สองสามวันก่อนฉันหุนหันพลันแล่น พูดจารุนแรงเกินไป หยาบคายใส่เธอ ฉันขอโทษเธอด้วยนะ ขอ
ก่อนหน้านี้เวินเหลียงเรียกเขาว่าพี่รองต่อหน้าบรรดาเพื่อนเหล่านี้ของเขาจนชินปากไปแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนกลับมาในทันทีครั้นได้ยินฟู่เจิงถามแบบนี้ เวินเหลียงก็หัวเราะฮ่า ๆ พลางถามขึ้นว่า “งั้นจะให้ฉันเรียกคุณว่าอะไรล่ะ?”“เธอว่าเรียกยังไงดีล่ะ?”“อาเจิง”ฟู่เจิงหัวเราะแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมีช่วงเวลาหนึ่ง เขาคาดหวังว่าเวินเหลียงจะเรียกเขาว่าที่รักแต่เขาก็รู้ดีว่าคงไม่มีทางระหว่างพวกเขาไม่เคยมีการเรียกว่าที่รักกันมาก่อนสำหรับพวกเขาแล้วการเรียกแบบนี้ ประหลาดไร้ที่เปรียบเห็นการตอบโต้ระหว่างทั้งสองคน สีหน้าของลู่ฉางคงก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆแม้เจียงมู่จะเดารายละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ไม่ออก แต่ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขารุดหน้าเข้ามาทำให้เรื่องมันจบลงด้วยดี “วันนี้ทำไมมาสายล่ะ? ถูกพวกอู๋เจิ้นเขาขวางเอาไว้เหรอ?”ฟู่เจิง “เปล่าหรอก ไปเลือกแหวนคู่กับอาเหลียงมาน่ะ ก็เลยมาสาย”“ไม่ควรซื้อคู่หนึ่งสิ ตั้งนานนมขนาดนี้แล้วยังไม่มีแหวนอีกเหรอ ไม่เข้าท่าเอาซะเลย” เจียงมู่เอ่ยในใจของหานเฟิงเกิดความประหลาดใจขึ้นมาฟังจากความหมายของเจียงมู่แล้ว ฟู่เจิงแต่งงานกับเวินเหลียง
ฤดูหนาวหนาวจนคนไม่อยากออกจากบ้าน จึงรวมตัวเล่นไพ่นกกระจอกกับคนในหมู่บ้านอยู่ในบ้าน ตาละห้าบาท แพ้ชนะก็ไม่มากจนเกินไปตอนเด็ก ๆ เวินหลียงชอบย้ายม้านั่งเล็ก ๆ ไปนั่งดูคุณปู่เล่นไพ่นกกระจอกอยู่ข้างหลังคุณปู่ ดูเยอะเข้าก็เลยเล่นเป็น“ดูสองตาก็เข้าใจแล้ว”ผ่านไปไม่นาน เสียงริงโทนโทรศัพท์จองฟู่เจิงก็ดังขึ้นเขาล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มองหน้าจอทีหนึ่ง เป็นสายในเรื่องของธุรกิจเขาเตรียมท่าลุกขึ้นจะเดินไปข้างนอก ก่อนจะพูดกับเวินเหลียงว่า “ช่วยฉันเล่นสักสองตาสิ”หลังดูไปสองสามตา เวินเหลียงเองก็เข้าใจกฎของพวกเขาแล้ว เธอพยักหน้า “ได้”หลังนั่งลงในตำแหน่งของฟู่เจิง ทิ้งไพ่ออกไปสองสามตัว เวินเหลียงถึงเอ่ยถามขึ้นอย่างมานึกขึ้นได้ทีหลัง “พวกคุณเล่นกันตาละเท่าไรเหรอ?”หานเฟิงยกนิ้วโป้งขึ้นมาสองนิ้วเวินเหลียงเลิกคิ้วเจียงมู่อธิบาย “หนึ่งแสน”เวินเหลียงแอบตกตะลึง และยิ่งตั้งใจเล่นขึ้นมาปากบันไดทางเดิน ฟู่เจิงตัดสายโทรศัพท์ ครั้นหันหน้าไปก็เห็นลู่ฉางคงยืนอยู่ไม่ไกล“ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะ?” ฟู่เจิงถาม“ออกมาสูดอากาศน่ะ” ลู่ฉางคงเดินรุดหน้ามาหยุดข้างฟู่เจิง “อาเจิง ฉันรู้ฉันอาจจะละลา
ฟู่เจิงมองลู่ฉางคง “ฉันแน่ใจ ฉันตัดสินใจไปแล้ว”ลู่ฉางคงเม้มปาก “แล้ว นายรักเธอไหม?”ฟู่เจิงฟังออก เธอที่ลู่ฉางคงหมายถึงคือเวินเหลียงนัยน์ตาของฟู่เจิงประกายเล็กน้อย “ฉันไม่รู้ว่านั่นคือรักหรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากหย่ากับเธอ พอนึกถึงว่าเธออาจจะไปจากฉัน ในใจฉันมันก็รู้สึกราวกับว่างเปล่า”“อาจเป็นเพราะแค่นายชินกับชีวิตช่วงแต่งงาน รอหลังจากหย่าแล้วกลับไปโสด ผ่านไปพักหนึ่งก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”ฟู่เจิงมองไปนอกหน้าต่าง เงียบไม่ตอบราวกับไม่ได้เก็บคำพูดของลู่ฉางคงมาใส่ใจลู่ฉางคงถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประหลาดใจหรือว่าเสียดายแทนฉู่ซืออี๋“ซืออี๋ตกลงจะเลิกกับนาย?”ฟู่เจิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “เธอไม่มีทางเลือกอื่น”ลู่ฉางคงมองฟู่เจิง ไม่รู้ว่าควรพูดว่าเขาใจจืดใจดำดีหรือไม่เขากับซืออี๋รักกันมาหลายปีขนาดนั้น ทว่าไม่อาจเทียบเวินเหลียงที่แต่งงานกันมาได้เพียงสามปีแต่ไหนแต่ไรมามีเพียงคนใหม่ยิ้ม ใครเลยได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเก่าลู่ฉางคงรู้ว่าตัวเองพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ จึงหมุนตัวเตรียมจะออกไปฟู่เจิงยืนอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวกลับไปยังห้อ
เวินเหลียงอึ้งไป ก่อนจะมองฟู่เจิงทีหนึ่งเมื่อครู่เธอยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่แท้เขาก็จงใจงั้นเหรอ?“มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน” ฟู่เจิงปฏิเสธหานเฟิงไม่ฟัง ยื่นมือไปแผ่ไพ่ของฟู่เจิงฟู่เจิงเร็วกว่าก้าวหนึ่ง เขาดันไพ่เข้าไปในกองปฏิกิริยานี้ของเขา ใครมองไม่ออกบ้าง?หานเฟิงตะโกนโวยวาย “ไม่ได้สิ ตานี้ไม่นับ นี่พวกนายเล่นตุกติกกัน!”ฟู่เจิงหัวเราะ ไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะมองไปที่เวินเหลียง “ดึกมากแล้ว กลับไปกันไหม?”“โอเคค่ะ”“ไม่เล่นอีกสักสองตาเหรอ?” หานเฟิงเอ่ย“วันหลังค่อยรวมตัวกันใหม่ พวกนายเล่นกันไปเถอะ วันนี้ฉันเลี้ยง”หลังฟู่เจิงทักทายกับคนอื่นเสร็จ ก็จูงมือเวินเหลียงออกไปทั้งสองคนกำลังรอลิฟต์กันอยู่ ในจังหวะนี้เอง ก็มีสองสามคนเข้ามาจากที่ไม่ไกลมาก คนที่เดินนำมาตัวไม่สูง และมีพุงพลุ้ย เมื่อเห็นฟู่เจิง ก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตะโกนเรียกขึ้นว่า “ประธานฟู่”ฟู่เจิงเห็นผู้มาเยือน บนใบหน้าไร้ความรู้สึก “คุณฉู่”ฉู่เจี้ยนกั๋ว “ไม่นึกเลยว่าจะเจอประธานฟู่ที่นี่ บังเอิญจริง ๆ”หลังทั้งสองคนทักทายกันสองสามประโยค ฉู่เจี้ยนกั๋วก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ซื
หากวันนี้คนที่อยู่ข้างฟู่เจิงเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาก็จะไม่เป็นกังวล แต่ดันเป็นเวินเหลียงฐานะของเวินเหลียงพิเศษ ชาติกำเนิดของเธอทั่ว ๆ ไป ภูมิหลังธรรมดา สู้ลูกสาวตระกูลไฮโซคนอื่นไม่ได้ แต่ว่าเธอได้รับความชื่นชอบของคุณท่านฟู่เป็นอย่างมากส่วนฟู่เจิงเองก็ถูกคุณท่านฟู่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ รักและผูกพันธ์กับคุณท่านเป็นอย่างมากหากคุณท่านฟู่คลุมถุงชนฟู่เจิงกับเวินเหลียง ภายใต้ความกตัญญูของฟู่เจิง เขาไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอนซึ่งก็หมายความว่าเวินเหลียงเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อซืออี๋ผู้ช่วย “ประธานฉู่ครับ ให้สะกดรอยตามไหมครับ?”ฉู่เจี้ยนกั๋ว “ไม่ต้อง ในเมื่อประธานฟู่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงทางธุรกิจอะไร งั้นก็คงเป็นเรื่องส่วนตัว พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย”เขารู้สึกอายุยืนเกินไปแล้วสินะถึงได้กล้าสะกดรอยตามฟู่เจิงผู้ช่วย “ครับ ประธานฉู่”กลับมาถึงบ้าน คนรับใช้ก็เอาน้ำมาให้แก้วหนึ่ง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณท่านคะ คุณท่านรองมาได้สักพักหนึ่งแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังรอคุณอยู่ในห้องทำงานค่ะ”คุณท่านรองที่เธอเอ่ยถึงคือพ่อของฉู่ซืออี๋ ฉู่เจี้ยนจวินครั้นฉู่เจี้ยนกั๋วได้ยินชื่อนี้ ก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อม “อืม
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากจะพูดว่า ซืออี๋ทำความดีความชอบให้กับบริษัทมากมาย พี่ใหญ่พี่เป็นลุงของซืออี๋ คงไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างขาดความยุติธรรมหรอกใช่ไหม? ซืออี๋เป็นบุคคลที่ทำผลงานยิ่งใหญ่ให้บริษัท แต่ว่าตอนนี้เธอกลับไม่มีหุ้นในบริษัทเลยสักนิด แบบนี้เหมาะสมเหรอครับ?”ฉู่เจี้ยนกั๋วรู้ดี ที่ฉู่เจี้ยนจวินอ้างฉู่ซืออี๋ขึ้นมา จุดประสงค์ในท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นอยากได้หุ้นก็เท่านั้นเขาไม่ได้โต้แย้งกับฉู่เจี้ยนจวิน ทว่ากลับพูดว่า “พูดถึงซืออี๋ งั้นฉันขอถามหน่อย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับฟู่เจิงเป็นยังไงบ้าง?”“แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้ว สองสามวันก่อนยังจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ซืออี๋อยู่เลย พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?” บนใบหน้าของฉู่เจี้ยนจวินเผยสีหน้าของความภาคภูมิใจออกมาในชีวิตนี้เขาคิดจะทำอะไรก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปหมด ทว่ากลับมีลูกสาวดี ตอนนี้เดินออกไปทางไหน ใครไม่ประจบแจงเขาด้วยคำพูดดี ๆ บ้าง?“แน่ใจเหรอ?”“ผมจะโกหกพี่ไปทำไม?” ฉู่เจี้ยนจวินมองเขาอย่างเหยียดหยาม “ตอนนี้ซืออี๋เป็นคุณนายน้อยในอนาคตของตระกูลฟู่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”“ฉันว่าไม่นะ”“พี่ใหญ่ นี่พี่หมา