“วันนี้ถ่ายละครเสร็จหรือยัง?”“เพิ่งถ่ายเสร็จ กลับโรงแรมแล้ว”“ซืออี๋ พ่อมีอะไรอยากจะถามลูกหน่อย ตอนนี้ฟู่เจิงปฏิบัติกับลูกยังไงบ้าง? ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกลูกเป็นยังไงบ้าง? เขาพูดถึงเรื่องแต่งงานกับลูกบ้างหรือเปล่า?”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉู่ซืออี๋ตอบสนองเช่นนี้ สีหน้าของฉู่เจี้ยนจวินก็เคร่งขรึมขึ้นมาดูท่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างซืออี๋กับฟู่เจิงจะอยู่ในช่วงวิกฤติจริง ๆบนใบหน้าของฉู่เจี้ยนกั๋วเต็มไปด้วยความกังวล ทว่าในใจกลับลอบถอนหายใจ ระหว่างซืออี๋กับฟู่เจิงเกิดปัญหาขึ้น ต่อไปฉู่เจี้ยนจวินคงไม่มีกะจิตกะใจมาขอแบ่งหุ้นกับเขาแล้วเขารู้ว่ายิ่งฉู่ซืออี๋กับฟู่เจิงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉู่เจี้ยนจวินก็ยิ่งพอใจ หากพวกเขาแต่งงานกันจริง ๆ สองพ่อลูกฉู่เจี้ยนจวินก็จะมีฟู่เจิงคอยหนุนหลัง ไม่แน่ว่าบริษัทจะตกไปอยู่ในกรรมสิทธิ์ของพวกเขาทว่าฉูเจี้ยนกั๋วไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หุ้นเหล่านั้นเดิมทีก็ควรเป็นของเขาอยู่แล้ว“พ่อ ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ฉู่ซืออี๋เอ่ย“ลูกตอบพ่อมาตามความจริง ตกลงพวกลูกมันยังไงกันแน่? จะบอกลูกให้นะ วันนี้ลุงใหญ่ของลูกเจอฟู่เจ
และคะแนนก็ยอดเยี่ยมสุด ๆครั้งนี้เธอรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับฟู่เจิงอีกแล้วตอนแรกเพื่อเดินตามรอยเขา เธอจึงเลือกเรียนสาขาการตลาดของคณะการบริหารและเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน เธอขยันเป็นอย่างมาก ถึงรักษาคะแนนให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้ส่วนเขากลับเรียนอย่างสบาย ๆ ตอนที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็เรียนจบไปแล้ว ทว่าในมหาวิทยาลัยยังคงล่ำลือตำนานของเขาอยู่ ในหอรำลึกพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ในศิษย์เก่ากิตติมศักดิ์ เขาติดในยี่สิบอันดับ ทั้งที่ลำดับด้านหน้าล้วนเป็นศาสตราจารย์และนักวิชาการที่อายุเกินครึ่งร้อย ในขอบเขตของแต่ละสาขาวิชาต่างคนต่างก็มีชื่อเสียงบารมีและคุณูปการอันสูงส่ง“กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?” ฟู่เจิงถามขึ้น“เปล่า...” เวินเหลียงส่ายหน้าฟู่เจิงไม่ได้พูดคุยต่อในหัวข้อบทสนทนานี้ ทว่าเปลี่ยนเป็นหัวข้อสนทนาอื่น“คืนพรุ่งนี้มีค็อกเทลปาร์ตี้ จะไปกับฉันไหม?” ฟู่เจิงถามเวินเหลียงเงียบไป หลายปีมานี้เธอเข้าร่วมปาร์ตี้ประเภทนี้น้อยมาก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานยุ่งเกินไป อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่ชอบ คนในแวดวงไม่ค่อยเห็นเธอในสายตาเท่าไร เธอเองก็ไม่ชอบ
เช้าวันต่อมาขณะที่เวินเหลียงเพิ่งตื่น ฟู่เจิงตื่นแล้วเขาแต่งกายเรียบร้อย นั่งรอเธอมาทานข้าวเช้าด้วยกันอยู่ข้างโต๊ะ หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปบริษัทด้วยกันประตูห้องทำงานถูกเคาะดังขึ้น เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ “เข้ามา”ผู้อำนวยการเวิน เลขาหยางบิดมือจับประตูเดินเข้ามาจากด้านนอก “ประธานฟู่ให้ฉันเอาเอกสารมาให้คุณค่ะ”“วางไว้ตรงนี้เลยค่ะ” เวินเหลียงชี้โต๊ะทำงานด้านหน้า“ค่ะ”หลังเลขาหยางออกไป เวินเหลียงก็ก้มหน้า แล้วหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านสิ่งที่ใส่เอาไว้ในแฟ้มเอกสาร ไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไร แต่เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เนื้อหาเป็นกำหนดการเดินทางในช่วงหนึ่งอาทิตย์นี้ของฟู่เจิง รายละเอียดทุกอย่าง รวมไปถึงงานเลี้ยงทางธุรกิจในตอนกลางวันและกลางคืนของทุกวันก่อนหน้านี้เขาเองก็จะรายงานกำหนดการเดินทางกับเธอเช่นกัน แต่ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้นก็เหมือนกับเที่ยงวันนี้ ฟู่เจิงมีนัดทานข้าวในจังหวะนี้เองข้อความของเขาก็ถูกส่งเข้ามา “ตอนเที่ยงฉันไม่อยู่บริษัท สั่งให้คนสั่งอาหารเที่ยงมาให้เธอแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ ไปพักที่ห้องพักของฉันสักเดี๋ยวก็ได้”“โอเค”พักงานตอนเที่ยง
โต๊ะกลมยากจะจัดลำดับอาวุโส ที่ที่ฟู่เจิงนั่งเป็นที่นั่งหลัก ซ้ายขวาเป็นอู๋หลิงและรองหัวหน้าอีกคนสั่งอาหารเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังทุกคนนั่งลงไม่นานก็มาเสิร์ฟครบอู๋หลิงถามฟู่เจิงแยกในไลน์ว่าชอบกินอะไร ฟู่เจิงตอบกลับมาเพียงแค่ประโยคหนึ่ง “แล้วแต่คุณเลย ถามความคิดเห็นของทุกคนดู”อู๋หลิงเองก็ไม่ดีที่จะถามอะไรมากมายอีกทำงานร่วมกันมาหลายปีขนาดนี้ เธอกับฟู่เจิงร่วมทานอาหารโต๊ะเดียวกันมาหลายครั้ง ทว่าไม่เคยเห็นฟู่เจิงชอบอาหารจานไหนเป็นพิเศษเลยมีความเป็นผู้ใหญ่และมีจิตใจมั่งคงหนักแน่น ไม่แสดงอารมณ์ว่าโกรธหรือดีใจ ฟู่เจิงขยับตะเกียบ พนักงานคนอื่นเองก็ถึงได้ค่อย ๆ เริ่มกินกันทุกแผนกล้วนมีคนที่สดใสมีชีวิตชีวาคนถึงสองคน แผนกประชาสัมพันธ์เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่นานบนโต๊ะก็ครึกครื้นขึ้นมาฟู่เจิงพิงพนักพิงเก้าอี้ บีบแก้วเหล้า ตอบโต้คนอื่น ๆ อยู่เป็นครั้งคราวบางคนก็เป็นแบบนั้น นั่งอยู่ตรงนั้น ก็สามารถทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่สั่งสมมาเป็นเวลานานได้อู๋หลิงหยิบตะเกียบกลางขึ้นมา ก่อนจะคีบผักกวางตุ้งไปใส่ในจานที่อยู่ตรงหน้าฟู่เจิงคำหนึ่ง “ไม่รู้ว่าประธานฟู่ชอบกินอันนี้หรือเปล่
หลังกินมื้อค่ำเสร็จ ทุกคนต่างก็เดินไปที่คาราโอเกะเหล่าพนักงานขยับเขยื้อนกันแล้ว ทว่าฟู่เจิงยังนั่งอยู่กับที่ไม่กระดุกกระดิกอู๋หลิงยิ้มพลางเอ่ย “ทำไมประธานฟู่ไม่ไปล่ะคะ?”เห็นฟู่เจิงไม่ตอบ อู่หลิงก็ถามต่อว่า “เค้กที่ฉันสั่งเอาไว้อยู่ที่คาราโอเกะ ไม่ว่ายังไงประธานฟู่ก็ต้องกินเค้กนะคะถึงจะได้”รองหัวหน้าเองก็พูดโน้มน้าวว่า “ประธานฟู่ คาราโอเกะอยู่ข้าง ๆ นี่เอง คุณไปนั่งเฉย ๆ คงไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก”“ได้ครับ ไปกันเถอะ” ฟู่เจิงหยิบเสื้อโค้ตที่อยู่บนพนักพิงเก้าอี้ขึ้นมารองหัวหน้ารีบประจบประแจงรับมามาถึงยังห้องวีไอพีร้านคาราโอเกะ มีคนกำลังตัดเพลงและเลือกเพลงแล้วฟู่เจิงหาตำแหน่งที่อยู่ตรงมุมนั่งลง ก่อนจะยกมือขึ้นคลายคอเสื้อแขนซ้ายของเขาพาดอยู่บนที่พักแขนบนโซฟา เขาขมวดคิ้วเบา ๆไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าปวดหัวหน้ามืดอยู่นิดหน่อย“ประธานฟู่คะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ? ดื่มน้ำหน่อยสิคะ” อู๋หลิงเห็นท่าทางของฟู่เจิง เธอรินน้ำเปล่าใส่แก้วใช้แล้วทิ้งไปวางไว้ตรงหน้าฟู่เจิง“ขอบคุณครับ” ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมองอู๋หลิงทีหนึ่งอู๋หลิงยิ้มให้ฟู่เจิงฟู่เจิงยกแก้วน้ำขึ้นมา ก่อนจะจิบน้ำอู๋หลิงชอบเขา
ประตูลิฟต์ปิดลง ภายในพื้นที่ปิดทึบมีเพียงแค่สองคน เงียบสงัดไร้เสียงพูดคุยฟู่เจิงกดหมายเลขหนึ่งอู๋หลิงยืนอยู่เยื้องด้านหลังฟู่เจิง เธอใช้หางตามองประเมินฟู่เจิงอย่างไม่เหลือร่องรอยเขาสวมแค่เสื้อเชิตสีดำตัวหนึ่ง พับแขนเสื้อขึ้นมา เผยแขนท่อนล่างที่แข็งแกร่งออกมา เสื้อโค้ตพาดอยู่บนข้อศอก เพียงแค่การกระทำสบาย ๆ เช่นนี้ ทว่ากลับมีความสง่าและความมีระดับที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างหนึ่งอู๋หลิงรวบรวมความกล้า เดินไปเบื้องหลังเขา กำลังคิดจะกอดเขาเอาไว้ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก เด็กวัยรุ่นสองสามคนเดินเข้ามาพร้อมทั้งพูดคุยหัวเราะเฮฮา ครั้นเห็นฟู่เจิงที่อยู่ในลิฟต์ เสียงก็เงียบลงไปในฉับพลันสาวน้อยคนหนึ่งมองประเมินฟู่เจิงอย่างมองทว่าเหมือนไม่ได้มอง มองออกไม่ยาก นี่เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ดูเหมือนยังหนุ่มยังแน่น ทว่านัยน์ตากลับสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมิหนำซ้ำดูแล้วยังคุ้นหน้าคุ้นตาอีกด้วยยังไม่ทันให้สาวน้อยได้นึกออกว่าเป็นใคร ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้วลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นแรก หลังรอวัยรุ่นสองสามคนนั้นออกไปกัน
ฟู่เจิงจำได้ นั่นเป็นรถยี่ห้อจากัวร์คันหนึ่งที่อยู่ในโรงจอดรถของเขาเขาเดินไปฝั่งตรงกันข้ามพร้อมทั้งถือเสื้อโค้ตผ่านกระจกหน้ารถด้านหน้า เขาเห็นเวินเหลียงกำลังพิงพนักเบาะ สองมือกอดอก จ้องมองเขาอย่างจดจ่อแม้จะมีเรื่องกวนใจฟู่เจิงอ้อมไปอีกด้านจากด้านหน้า เปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วเข้าไปนั่ง “มานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมไม่โทรหาฉัน?”เวินเหลียงสตาร์ตรถ “ไม่นานเท่าไร ตอนนั้นมีคนล้มเข้าไปในอ้อมอกพอดี คุณสังเกตเห็นฉันที่ไหน?”เธอเพิ่งจะจอดรถสนิท ก็เห็นอู๋หลิงล้มเข้าไปในอ้อมอกของเขา ก็เลยสนใจแต่จะดูเรื่องสนุก อยากโทรหาเสียที่ไหนกันล่ะ?ฟู่เจิงรีบอธิบาย “ฉันแค่ประคองเธอนิดหน่อย”คืนนี้อู๋หลิงกะเกณฑ์ได้พอดี ทว่าสุดท้ายดันไม่สำเร็จเมื่อครู่ในลิฟต์ เขาเห็นการกระทำที่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จของอู๋หลิงบนกำแพงฟู่เจิงไม่เชื่อว่าเธอจะเท้าแพลงจริง ๆดูท่าจะเป็นเหมือนอย่างที่เวินเหลียงบอกจริง ๆ อู๋หลิงชอบเขา“ทำไมคุณไม่ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลล่ะ? ไปส่งที่โรงพยาบาลเสร็จก็ไปส่งที่บ้านต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึงก็ได้”ฟู่เจิงมองเวินเหลียงทีหนึ่ง กดเปิดกระจกรถฝั่งตนให้ลมพัดเข้ามา “
นี่เป็นการชอบเล่นพิเรนทร์ของเธอ เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่เธอคิดว่าตัวเองคงไม่ถลำลึกแบบนี้อีกทว่าหลังจากเข้าใกล้เขา ตัวเธอก็อดไม่ได้ที่จะถลำลึกต่อไปเวินเหลียงขยับตัว ทั้งตัวเจ็บไปหมดหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปากล่างเขาบิดพลิ้วอยู่นิดหน่อย พูดอยู่สองสามหน บอกว่าเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ยอมหยุดเลย ตอนหลัง ๆ เธอจึงไม่ค่อยมีสติไปโดยไม่รู้ตัวอันที่จริงตั้งแต่เขาออกเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ตอนเดือนกรกฎาคม พวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรกันอีกจากกันเป็นเวลานานแล้วทักษะของเขาดีมาก เธอเองก็เพลิดเพลินมากเช่นกัน“ตื่นแล้วเหรอ? เช้าตรู่คิดจะทำอะไร? หน้าแดงขนาดนี้” ใบหน้าอันหล่อเหลาของฟู่เจิงขยับเข้ามายิ้มพลางหยอกล้อเวินเหลียงรีบปฏิเสธ “ไม่ได้คิดอะไร ทำไมคุณยังไม่ตื่นอีกล่ะ?”ตามตารางการทำงานและพักผ่อนตามเวลาของเขาในก่อนหน้านี้ ช่วงเวลานี้เขาควรออกไปวิ่งอยู่ข้างนอกสิ“วันนี้พักการวิ่งตอนเช้าไว้ก่อนหนึ่งวัน”ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ฟู่เจิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดฉันก็รู้ว่าทำไมคำโบราณถึงว่าเอาไว้แบบนั้น”“คำโบราณอะไร?” เวินเหลียงโพล่งถามขึ้น“ส่วนที่อ่อนโยนข