โต๊ะกลมยากจะจัดลำดับอาวุโส ที่ที่ฟู่เจิงนั่งเป็นที่นั่งหลัก ซ้ายขวาเป็นอู๋หลิงและรองหัวหน้าอีกคนสั่งอาหารเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังทุกคนนั่งลงไม่นานก็มาเสิร์ฟครบอู๋หลิงถามฟู่เจิงแยกในไลน์ว่าชอบกินอะไร ฟู่เจิงตอบกลับมาเพียงแค่ประโยคหนึ่ง “แล้วแต่คุณเลย ถามความคิดเห็นของทุกคนดู”อู๋หลิงเองก็ไม่ดีที่จะถามอะไรมากมายอีกทำงานร่วมกันมาหลายปีขนาดนี้ เธอกับฟู่เจิงร่วมทานอาหารโต๊ะเดียวกันมาหลายครั้ง ทว่าไม่เคยเห็นฟู่เจิงชอบอาหารจานไหนเป็นพิเศษเลยมีความเป็นผู้ใหญ่และมีจิตใจมั่งคงหนักแน่น ไม่แสดงอารมณ์ว่าโกรธหรือดีใจ ฟู่เจิงขยับตะเกียบ พนักงานคนอื่นเองก็ถึงได้ค่อย ๆ เริ่มกินกันทุกแผนกล้วนมีคนที่สดใสมีชีวิตชีวาคนถึงสองคน แผนกประชาสัมพันธ์เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่นานบนโต๊ะก็ครึกครื้นขึ้นมาฟู่เจิงพิงพนักพิงเก้าอี้ บีบแก้วเหล้า ตอบโต้คนอื่น ๆ อยู่เป็นครั้งคราวบางคนก็เป็นแบบนั้น นั่งอยู่ตรงนั้น ก็สามารถทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่สั่งสมมาเป็นเวลานานได้อู๋หลิงหยิบตะเกียบกลางขึ้นมา ก่อนจะคีบผักกวางตุ้งไปใส่ในจานที่อยู่ตรงหน้าฟู่เจิงคำหนึ่ง “ไม่รู้ว่าประธานฟู่ชอบกินอันนี้หรือเปล่
หลังกินมื้อค่ำเสร็จ ทุกคนต่างก็เดินไปที่คาราโอเกะเหล่าพนักงานขยับเขยื้อนกันแล้ว ทว่าฟู่เจิงยังนั่งอยู่กับที่ไม่กระดุกกระดิกอู๋หลิงยิ้มพลางเอ่ย “ทำไมประธานฟู่ไม่ไปล่ะคะ?”เห็นฟู่เจิงไม่ตอบ อู่หลิงก็ถามต่อว่า “เค้กที่ฉันสั่งเอาไว้อยู่ที่คาราโอเกะ ไม่ว่ายังไงประธานฟู่ก็ต้องกินเค้กนะคะถึงจะได้”รองหัวหน้าเองก็พูดโน้มน้าวว่า “ประธานฟู่ คาราโอเกะอยู่ข้าง ๆ นี่เอง คุณไปนั่งเฉย ๆ คงไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก”“ได้ครับ ไปกันเถอะ” ฟู่เจิงหยิบเสื้อโค้ตที่อยู่บนพนักพิงเก้าอี้ขึ้นมารองหัวหน้ารีบประจบประแจงรับมามาถึงยังห้องวีไอพีร้านคาราโอเกะ มีคนกำลังตัดเพลงและเลือกเพลงแล้วฟู่เจิงหาตำแหน่งที่อยู่ตรงมุมนั่งลง ก่อนจะยกมือขึ้นคลายคอเสื้อแขนซ้ายของเขาพาดอยู่บนที่พักแขนบนโซฟา เขาขมวดคิ้วเบา ๆไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าปวดหัวหน้ามืดอยู่นิดหน่อย“ประธานฟู่คะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ? ดื่มน้ำหน่อยสิคะ” อู๋หลิงเห็นท่าทางของฟู่เจิง เธอรินน้ำเปล่าใส่แก้วใช้แล้วทิ้งไปวางไว้ตรงหน้าฟู่เจิง“ขอบคุณครับ” ฟู่เจิงเงยหน้าขึ้นมองอู๋หลิงทีหนึ่งอู๋หลิงยิ้มให้ฟู่เจิงฟู่เจิงยกแก้วน้ำขึ้นมา ก่อนจะจิบน้ำอู๋หลิงชอบเขา
ประตูลิฟต์ปิดลง ภายในพื้นที่ปิดทึบมีเพียงแค่สองคน เงียบสงัดไร้เสียงพูดคุยฟู่เจิงกดหมายเลขหนึ่งอู๋หลิงยืนอยู่เยื้องด้านหลังฟู่เจิง เธอใช้หางตามองประเมินฟู่เจิงอย่างไม่เหลือร่องรอยเขาสวมแค่เสื้อเชิตสีดำตัวหนึ่ง พับแขนเสื้อขึ้นมา เผยแขนท่อนล่างที่แข็งแกร่งออกมา เสื้อโค้ตพาดอยู่บนข้อศอก เพียงแค่การกระทำสบาย ๆ เช่นนี้ ทว่ากลับมีความสง่าและความมีระดับที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างหนึ่งอู๋หลิงรวบรวมความกล้า เดินไปเบื้องหลังเขา กำลังคิดจะกอดเขาเอาไว้ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก เด็กวัยรุ่นสองสามคนเดินเข้ามาพร้อมทั้งพูดคุยหัวเราะเฮฮา ครั้นเห็นฟู่เจิงที่อยู่ในลิฟต์ เสียงก็เงียบลงไปในฉับพลันสาวน้อยคนหนึ่งมองประเมินฟู่เจิงอย่างมองทว่าเหมือนไม่ได้มอง มองออกไม่ยาก นี่เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ดูเหมือนยังหนุ่มยังแน่น ทว่านัยน์ตากลับสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมิหนำซ้ำดูแล้วยังคุ้นหน้าคุ้นตาอีกด้วยยังไม่ทันให้สาวน้อยได้นึกออกว่าเป็นใคร ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้วลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นแรก หลังรอวัยรุ่นสองสามคนนั้นออกไปกัน
ฟู่เจิงจำได้ นั่นเป็นรถยี่ห้อจากัวร์คันหนึ่งที่อยู่ในโรงจอดรถของเขาเขาเดินไปฝั่งตรงกันข้ามพร้อมทั้งถือเสื้อโค้ตผ่านกระจกหน้ารถด้านหน้า เขาเห็นเวินเหลียงกำลังพิงพนักเบาะ สองมือกอดอก จ้องมองเขาอย่างจดจ่อแม้จะมีเรื่องกวนใจฟู่เจิงอ้อมไปอีกด้านจากด้านหน้า เปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วเข้าไปนั่ง “มานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมไม่โทรหาฉัน?”เวินเหลียงสตาร์ตรถ “ไม่นานเท่าไร ตอนนั้นมีคนล้มเข้าไปในอ้อมอกพอดี คุณสังเกตเห็นฉันที่ไหน?”เธอเพิ่งจะจอดรถสนิท ก็เห็นอู๋หลิงล้มเข้าไปในอ้อมอกของเขา ก็เลยสนใจแต่จะดูเรื่องสนุก อยากโทรหาเสียที่ไหนกันล่ะ?ฟู่เจิงรีบอธิบาย “ฉันแค่ประคองเธอนิดหน่อย”คืนนี้อู๋หลิงกะเกณฑ์ได้พอดี ทว่าสุดท้ายดันไม่สำเร็จเมื่อครู่ในลิฟต์ เขาเห็นการกระทำที่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จของอู๋หลิงบนกำแพงฟู่เจิงไม่เชื่อว่าเธอจะเท้าแพลงจริง ๆดูท่าจะเป็นเหมือนอย่างที่เวินเหลียงบอกจริง ๆ อู๋หลิงชอบเขา“ทำไมคุณไม่ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลล่ะ? ไปส่งที่โรงพยาบาลเสร็จก็ไปส่งที่บ้านต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึงก็ได้”ฟู่เจิงมองเวินเหลียงทีหนึ่ง กดเปิดกระจกรถฝั่งตนให้ลมพัดเข้ามา “
นี่เป็นการชอบเล่นพิเรนทร์ของเธอ เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่เธอคิดว่าตัวเองคงไม่ถลำลึกแบบนี้อีกทว่าหลังจากเข้าใกล้เขา ตัวเธอก็อดไม่ได้ที่จะถลำลึกต่อไปเวินเหลียงขยับตัว ทั้งตัวเจ็บไปหมดหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปากล่างเขาบิดพลิ้วอยู่นิดหน่อย พูดอยู่สองสามหน บอกว่าเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ยอมหยุดเลย ตอนหลัง ๆ เธอจึงไม่ค่อยมีสติไปโดยไม่รู้ตัวอันที่จริงตั้งแต่เขาออกเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ตอนเดือนกรกฎาคม พวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรกันอีกจากกันเป็นเวลานานแล้วทักษะของเขาดีมาก เธอเองก็เพลิดเพลินมากเช่นกัน“ตื่นแล้วเหรอ? เช้าตรู่คิดจะทำอะไร? หน้าแดงขนาดนี้” ใบหน้าอันหล่อเหลาของฟู่เจิงขยับเข้ามายิ้มพลางหยอกล้อเวินเหลียงรีบปฏิเสธ “ไม่ได้คิดอะไร ทำไมคุณยังไม่ตื่นอีกล่ะ?”ตามตารางการทำงานและพักผ่อนตามเวลาของเขาในก่อนหน้านี้ ช่วงเวลานี้เขาควรออกไปวิ่งอยู่ข้างนอกสิ“วันนี้พักการวิ่งตอนเช้าไว้ก่อนหนึ่งวัน”ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ฟู่เจิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดฉันก็รู้ว่าทำไมคำโบราณถึงว่าเอาไว้แบบนั้น”“คำโบราณอะไร?” เวินเหลียงโพล่งถามขึ้น“ส่วนที่อ่อนโยนข
“อู๋หลิง มาที่ห้องทำงานผมหน่อย” น้ำเสียงของฟู่เจิงไร้ซึ่งละรอกคลื่น ฟังแล้วมีความเย็นยะเยียบอยู่เล็กน้อย “ค่ะ”อู๋หลิงหยิบกระจกขึ้นมาส่อง ลูบผมที่ข้างหู สงบสติอารมณ์ ฟู่เจิงคงไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นคนวางยาเธอลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานประธานกรรมการเคาะประตูสองที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป และยืนสงบนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน “ประธานฟู่ คุณเรียกฉันเหรอคะ?”ฟู่เจิงเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะล้วงเอกสารออกมาจากข้างมือฉบับหนึ่ง และวางไปที่ตรงกลาง “นี่เป็นคำสั่งย้ายของคุณ ผมเตรียมจะย้ายคุณไปบริษัทลูก คุณคิดเห็นยังไงบ้าง?”ในปากเขาถามความยินยอมของอู๋หลิง ทว่าในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีทางเหลือให้อู๋หลิงเลือกเลยในวินาทีนั้นสีหน้าของอู๋หลิงแข็งทื่อไปโดยพลัน มองฟู่เจิงอย่างเหลือเชื่อ “ประธานฟู่คะ ทำไมล่ะคะ? ทำไมถึงย้ายฉันอย่างกะทันหัน?”การชอบไม่ผิด ฟู่เจิงเก็บพนักงานที่ชอบเขาเอาไว้ข้างกายได้ แต่เก็บพนักงานที่วางยาเขาเพราะชอบเขาเอาไว้ไม่ได้ฟู่เจิงพิงพนักเก้าอี้ นิ้วทั้งหมดเคาะเบา ๆ อยู่หน้าโต๊ะ “บางเรื่องไม่จำเป็นต้องให้ผมพูด ถ้าคุณไม่ยินยอม งั้นก็ย้ายคุณไปแผนกอื่นแทน”หนึ่งแผนกก็มีหัวหน้าหนึ่ง
ถ้าเธอออกไปทั้งปากบวมเป่ง แบบนั้นต่อให้กระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็ชำระล้างให้บริสุทธิ์ไม่ได้“เธอจะกลัวอะไร? นี่อยู่ในห้องทำงานฉันนะ ไม่มีใครเดินเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก” ฟู่เจิงก้มหน้ามองเวินเหลียง “ต่อให้มีคนเข้ามา ถูกเห็นก็ถูกเห็นไปสิ จะได้ถือโอกาสเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปด้วยซะเลย”“ไม่ได้” เวินเหลียงรีบเอ่ย“ทำไมไม่ได้ล่ะ?” นัยน์ตาของฟู่เจิงหม่นหมองเวินเหลียงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเผยอปาก “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ”“เธอกำลังพะว้าพะวงอะไร? ฉันกับซืออี๋ คงไม่มีอะไรกันอีกแล้ว ที่รับปากเธอฉันจะทำให้ได้แน่นอน”เวินหลียงก้มหน้า “ไม่อยากก็คือไม่อยาก คุณรีบปล่อยฉัน ฉันจะไปทำงานแล้ว”ฟู่เจิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนพูดว่า “ปล่อยเธอน่ะได้ เรียกที่รักก่อนสิ”“...”เวินเหลียงเอ่ยทั้งกัดฟันว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ปล่อยฉันนะ”“อย่าดื้อสิ”ฟู่เจิงยิ่งโอบเวินเหลียงแน่นขึ้น“เรียกที่รัก แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”“ฟู่เจิง คุณเป็นเด็กหรือไง?”“เธอก็คิดเสียว่าฉันเป็นก็แล้วกัน”เวินเหลียงจนใจ “แค่เรียกที่รัก คุณก็จะปล่อย?”“อืม ฉันรักษาคำพูด พูดแล้วทำจริง”เวินเหลียงกัดริมฝี
ตระกูลฉู่ผู้ช่วยส่งแฟ้มเอกสารมาให้ “คุณผู้ชายครับ สืบข้อมูลของเวินเหลียงมาได้เรื่องแล้วครับ ทั้งหมดอยู่ในนี้ครับ คุณลองดูนะครับ”“วางไว้สิ” ฉู่เจี้ยนจวินเอ่ยผู้ช่วยวางแฟ้มเอกสารเอาไว้บนโต๊ะฉู่เจี้ยนจวินเปิดแฟ้มเอกสาร ข้อมูลข้างในบางไม่กี่หน้าหน้าแรกเขียนข้อมูลพื้นฐานของเวินเหลียงชื่อแซ่ : เวินเหลียงเพศ : หญิงเผ่า : ฮั่นวันเดือนปีเกิด : วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 1998บิดา : เวินหย่งคังมารดา : หลินเจียหมิ่นหลินเจียหมิ่นเมื่อเห็นชื่อสามคำนี้ นัยน์ตาของฉู่เจี้ยนจวินก็หดตัวลงเขาไม่ทันได้อ่านข้อมูลในหน้านี้ ก็รีบร้อนเปิดไปยังสองหน้าหลัง เจอหน้าข้อมูลของหลินเจียหมิ่นแม่ของเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆเป็นเวลานานมากแล้ว แม่ของเวินเหลียงเองก็จากไปนานมากแล้วเช่นกัน ในข้อมูลไม่มีรูปภาพ ทว่าอาศัยข้อมูลพื้นฐานอื่น ๆ ฉู่เจี้ยนจวินก็ตัดสินได้ว่า หลินเจียหมิ่นคนนี้คือหลินเจียหมิ่นที่เขาเคยรู้จักจากนั้นย้อนมาดูวันเดือนปีเกิดของเวินเหลียง ซึ่งก็หมายความว่า หลังจากที่หลินเจียหมิ่นเลิกกับเขา ก็ไปแต่งงานกับเวินหย่งคัง!...ตอนเที่ยงเวินหลียงพาผู้ช่วยไปพบลูกค้าระหว่างทาง เ