“ระหว่างนั้นไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง ทำไมถึงไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงล่ะ?” เวินเหลียงมีความหมายแอบแฝง“ตารางเรียนของฉันแน่นมาก มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองค่อนข้างน้อย”“พวกคุณใครเป็นคนจีบใครเหรอ?”“เธอจีบฉัน”ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเขาเรียนควบปริญญาสองใบ ตารางเรียนหนักงานที่ต้องส่งเยอะ มีกะจิตกะใจไปทำอย่างอื่นเสียที่ไหน? เดิมทีกิจกรรมวันครบรอบของมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าร่วมอยู่แล้วเมื่อหวนนึกถึงเรื่องในปีนั้น ฟู่เจิงก็หรี่ตาลงเวลาผ่านไปนานมากแล้ว เขาจำได้แค่ว่าเขาตกลงคบกับฉู่ซืออี๋ เพราะรู้สึกว่าคบกับเธอแล้วค่อนข้างสบายใจฟู่เจิงมีนิสัยเงียบขรึม ตอนที่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนอื่นยังไปยกป้ายไฟ เอาดอกกุหลาบไปให้คนอื่น ตามจีบแฟนสาว ทว่าฟู่เจิงกลับจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับการเรียนส่วนฉู่ซืออี๋อ่อนโยนเอาใจใส่ ไม่คิดเรื่องสวีทหวาน ต้องให้แฟนหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลาเหมือนกับผู้หญิงเหล่านั้น บางเวลาก็คล้อยตามเขา“เสน่ห์ของประธานฟู่ไม่น้อยไปกว่าตอนนั้นเลย” เวินเหลียงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยากจะพบเห็นนัยน์ตาของฟู่เจิงเปล่งประกายเล็กน้อย ราวกับเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่แสนสบายใจของเวินเหลียง
สิบเอ็ดโมง ฟู่เจิงกลับมาจากด้านนอก ทั้งสองคนกินข้าวเที่ยงด้วยกันอยู่ในบ้านคนขับรถส่งทั้งสองคนไปที่สนามบิน บรรดาเลขาเองก็มารออยู่ที่สนามบินแล้วออกเดินทางครั้งนี้ ฟู่เจิงพาเลขาไปสี่คนนอกจากเลขาหยางแล้ว อีกสามคนต่างไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทว่าอาจจะเป็นเพราะเลขาหยางอธิบายมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ตอนที่เลขาทั้งสามคนนั้นเห็นเวินเหลียง บนใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าของความประหลาดใจ ทักทายเวินเหลียงอย่างสงบจิตใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเวินเหลียงเองก็เดินทางไปทำงานนอกสถานที่ด้วยเช่นกันทำการเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เดินไปรอที่อาคารผู้โดยสารวีไอพีฟู่เจิงนั่งลงบนโซฟา ทันใดนั้นก็มีพนักงานเอาชาและน้ำมาเสิร์ฟเวินเหลียงเลือกโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างแบบยาวจรดพื้น นั่งตรงนี้มองออกไปก็จะสามารถเห็นเครื่องบินสองสามลำที่จอดอยู่ด้านนอกเธอหันหน้าไป ก็เห็นฟู่เจิงถือนิตยสารการเงินอยู่ในมือ กำลังอ่านอย่างตั้งใจจากนั้นหันไปมองคนที่มารอเครื่องบินคนอื่น ๆ รอบข้าง ไม่อ่านนิตยสาร ก็อ่านหนังสือ และยังมีคนถือโทรศัพท์ทำงานบรรยากาศเงียบสงัดโทรศัพท์ของเวินเหลียงมีเสียงสั่นสองทีฟู่เจิงเงยหน
พื้นที่สีเขียวก็ดีมากเวินเหลียงดูบ้านพักหรูหราหลังนี้แล้วก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยฟู่เจิงเห็นเวินเหลียงจ้องบ้านพักตาโตจึงยิ้มมุมปาก “ชอบไหม?”“สวยมากค่ะ” เวินเหลียงพยักหน้าฟู่เจิงพูด “ถ้าชอบวันหลังก็มาหลาย ๆ ครั้ง”“ค่ะ...คะ?”คำตอบของเวินเหลียงสั้นมาก ฟู่เจิงเลิกคิ้ว “ทำไม ไม่อยากมาเหรอ?”“เปล่า...บ้านหลังนี้ คุณเป็นคนซื้อเหรอคะ?”“อื่ม มาดูงานบ่อย ๆ อยู่ที่โรงแรมไม่สะดวก”เวินเหลียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอลอย ๆ “ตอนที่คุณมาเยี่ยมคุณฉู่ทุกปีก็พักที่นี่เหรอคะ?”ฟู่เจิงหน้าแข็งทื่อไป เดินไปดึงมือของเวินเหลียง “ฉันพักที่นี่ เขาไม่เคยมา”“คุณจะรีบอธิบายทำไมคะ?”“……”ฟู่เจิงไม่ได้พูดต่อเวินเหลียงเห็นดังนั้นแล้ว รอยยิ้มสดใสมากกว่าเดิม “งั้นถ้าคุณฉู่มาหาคุณ คุณก็จะไม่ให้เขาเข้ามาเหรอ?”“...” ฟู่เจิงเงียบ ก่อนจะเบี่ยงประเด็น “เก็บของก่อนเถอะ”เวินเหลียงมองสีหน้าเขาแล้วแอบหัวเราะเมื่อก่อนพอได้ยินว่าเขาอยู่กับฉู่ซืออี๋ เธอมันจะเสียใจมาก ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เธอสามารถเอาของกับฉู่ซืออี๋มาพูดล้อเล่นได้ในบ้านพักมีคนรับใช้ชาวจีนช่วยจัดเก็บสัมภาระเวินเหลียงชมบ้านพักรอบหนึ่ง พ
รถยนต์จอดอยู่หน้าร้านอาหารสไตล์ตะวันตกคลาสสิก ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนอยู่บนผนังสองสามคำคือชื่อร้านเวินเหลียงเข้าร้านอาหารด้วยการนำของเลขา โต๊ะเต็มเอี้ยด ดูออกว่าร้านนี้ต้องกิจการดีเยี่ยมแน่พอเข้าไปเวินเหลียงก็เห็นฟู่เจิงเขานั่งอยู่ด้านในแถวที่สามจากทางเดินของร้านอาหาร ใส่เสื้อสีดำ กางเกงสแลคสีดำ ถอดเสื้อสูทพาดอยู่กับพนักเก้าอี้เขานั่งพิงเก้าอี้แบบสบาย ๆ นั่งไขว่ห้าง ท่วงท่าสง่างามเหมือนกับสัมผัสได้ เขาหันมามองทางประตูและสบตากับเวินเหลียงเวินเหลียงเดินเร็วไป ลากเก้าอี้แล้วนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา“มาแล้วเหรอ ตอนบ่ายที่บ้านทำอะไร?”“นอนทั้งบ่ายเลยค่ะ”“งั้นคืนนี้คงไม่ง่วงแล้วสิ” เวินเหลียงฟังความหมายแฝงของเขาออก ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งพนักกงานถือเมนูมาให้คนละหนึ่งเล่มฟู่เจิงใช้ภาษาอังกฤษสั่งอาหารสองสามอย่างเขาพูดภาษาอังกฤษได้ตรงตามมาตรฐาน น้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ทำให้เวินเหลียงนึกถึงตอนเรียน เวลาที่เหลือจากการเรียนการฟังภาษาอังกฤษ เขาจะพูดสุนทรพจน์ของเขาให้ฟังรอบแล้วรอบเล่า เขียนต้นฉบับของสุนทรพจน์ เลียนแบบความเร็วและสำเนียงของเขา อ่านแล้วอ่านอีก อย่างไรก็ทำให
ลูกคนโตก็คือพ่อของฟู่เจิงกับฟู่เยว่ ในตอนที่ฟู่เจิงเป็นเด็ก เขาประสบอุบัติเหตุกับภรรยาเสียชีวิตทั้งคู่คนรองก็คือประธานกรรมการของฟู่ซื่อกรุ๊ปในปัจจุบัน ปกติจะยื่นมือเข้ายุ่งงานบริษัทน้อยมาก แต่เปิดบริษัทแฟรนไชส์อาหารของตัวเองบริษัทหนึ่ง ยุ่งงวดกับการทำธุรกิจคนที่สามก็คือฟู่ชิงเยว่อาสาวที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ทีลอสแอนเจลิสเนื่องจากเด็กที่สุด ทั้งยังเป็นผู้หญิง คุณปู่กับคุณย่าจึงรักมาเป็นพิเศษ จนทำให้ฟู่ชิงเยว่อายุสี่สิบกว่าแล้วก็ยังเอาแต่ใจนิด ๆและเป็นสาวโสดจนถึงตอนนี้เมื่อก่อนคุณปู่กับคุณย่ากลุ้มกับเรื่องแต่งงานของเธอมาก ให้เธอไปดูตัวกับชายหนุ่มรูปงานมากความสามารถหลายต่อหลายคนแต่ฟู่ชิงเยว่ไม่อยากแต่งงาน พี่รองจนปัญญาจึงปล่อยเลยตามเลยได้ยินว่าหลายปีนี้รับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมาตระกูลฟู่เกือบสิบปีแล้ว จำนวนครั้งที่เวินเหลียงเจอกับฟู่ชิงเยว่นับได้ด้วยนิ้วมือเธอรู้สึกได้อย่างฉับไวว่าคุณอาไม่ชอบเธอ เริ่มแรกฟู่ชิงเยว่กลับมาฉลองปีใหม่ พอเห็นเวินเหลียงก็มักเห็นเธอเป็นอากาศธาตุภายหลังเธอแต่งงานกับฟู่เจิง ฟู่ชิงเยว่กลับมาครั้งหนึ่ง สายตาที่มองเธออย่างกับมองศัตรู ทั้งยังเคยมาหาเธออย่า
ฟู่เจิงเงยหน้ามองไป สบสายตากับเวินเหลียงไกล ๆ “ไม่มีแผนอะไรครับ”ฟู่ชิงเยว่อึ้ง “ฉู่ซืออี๋กลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”“ครับ”“งั้นเธอไม่หย่ากับเขาแล้วเหรอ?”“คุณอาครับ เรื่องนี้ผมตัดสินใจเองครับ”“อาก็แค่ไม่อยากให้เธอน้อยหน้าไม่ใช่หรือไง? เธอเป็นเด็กที่ดีเด่นของตระกูลฟู่ ถึงเมียจะไม่สมฐานะ แต่ก็ต้องเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ เวินเหลียงไม่คู่ควรเธอ เมียแบบนี้จะเอาออกนอกหน้าได้ยังไง? คุณปู่ก็จริง ๆ เลย ไม่ดูว่าใครเป็นควรก็เก็บเอามาที่บ้าน แถมยังจะจับคู่พวกเธออีก ผิดฝาผิดคู่ไปหมดแล้ว!”“คุณอา ผมไม่รู้สึกน้อยหน้าครับ เรื่องนี้ต่อไปคุณอาไม่ต้องพูดถึงแล้ว”ฟู่ชิงเยว่มองเขาแบบไม่เห็นด้วย “ไหนตอนนี้เธอบอกว่าต้องหย่ากับเขาแน่ไง?”“คุณอา!”ฟู่เจิงมองเวินเหลียงแวบหนึ่งด้วยความระวังเธอน่าจะไม่ได้ยิน“เฮ้อ เธอโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว” ฟู่ชิงเยว่หมุนตัวออกจากห้องรับแขกฟู่เจิงกลับไปนั่งข้างเวินเหลียงอีกครั้ง “คุณอาก็เป็นอย่างนี้เอง เอาแต่ใจมาหลายสิบปี เธออย่าถือสาเลยนะ”เวินเหลียงยิ้ม “ฉันรู้ค่ะ ปีหนึ่งเจอไม่ถึงสองครั้ง ฉันไม่ใส่ใจหรอก”ตอนเย็น ฟู่เจิงไปรับฟู่ซือฝานหลังเลิกเรียนแทนฟู่ชิ
เวินเหลียงยิ้ม ก่อนจะปลดเข็มขัดออก แล้วลงมาจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง “เดี๋ยวฉันนั่งข้างหลังเป็นเพื่อนฝานฝานก็แล้วกัน”เจ้าเด็กน้อยแก่แดดเป็นอย่างมาก เธอมองเวินเหลียงทีหนึ่ง “คุณป้าคือศัตรูหัวใจของหนู!”เวินเหลียงมองสีหน้าจริงจังของเธอ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อืม ฉันคือศัตรูหัวใจของเธอ”ในจังหวะนี้เอง เสียงริงโทนโทรศัพท์ของฟู่เจิงก็ดังขึ้นมา เขาใส่หูฟังบลูทูทก่อนจะรับสาย “...มีเรื่องอะไร?”จู่ ๆ น้ำเสียงก็ขึงขังขึ้นมา พร้อมทั้งถามกลับอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อยเวินเหลียงเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่นผ่านกระจกมองหลังไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร ฟู่เจิงถึงโพล่งออกมาว่า “เอาละ! อย่ามาหาข้ออ้าง ทำให้เขาสงบลงก่อน รอฉันกลับไปจัดการ!”พูดจบเขาก็ตัดสายไป และถอดหูฟังบลูทูทวางไว้ในกล่องเก็บของ“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เวินเหลียงถามขึ้น“พนักงานของสาขาย่อยนิวยอร์กทำงานผิดพลาด ฉันต้องกลับไปจัดการ” ฟู่เจิงมองเวินเหลียงจากกระจกมองหลัง“ไปนานแค่ไหน?”“สองวัน เธอว่าไง? ไปกับฉันไหม?”“วันหยุดวันชาติใกล้จะหมดแล้ว ฉันกลับไปเมืองเจียงเฉินก่อนก็แล้วกัน”“ก็ดีเหมือนกัน
หลังทานอาหารเที่ยงที่บ้านของฟู่ชิงเยว่เสร็จ ก็นั่งอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นฟู่เจิงก็ไปส่งเวินเหลียงกลับโรงแรม ส่วนตัวเขารีบกลับไปนิวยอร์กคืนนั้นเลยเวินเหลียงพักอยู่ที่โรงแรมคืนหนึ่ง วันต่อมาก็เดินทางมายังสนามบิน เพื่อกลับเมืองเจียงเฉินการเดินทางในวันหยุดวันชาติจบลงแล้วเวินหลียงไม่ได้แจ้งคนขับรถ แต่บอกให้ป้าหวังเรียกรถมารับเธอที่สนามบินแทนหลังลงจากเครื่องบิน เวินเหลียงกับป้าหวังก็ปรึกษาหารือกัน และไปทำการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลเลยเธอตั้งครรภ์ได้สิบสี่สัปดาห์กว่าแล้ว จากอัลตราซาวนด์จะเห็นได้ว่า โดยภาพรวมทารกเป็นรูปเป็นร่างแล้วหมอชี้ให้ป้าหวังที่อยู่ข้าง ๆ ดู “นี่เป็นมือของเด็ก นี่เป็นขาของเด็ก นี่เป็นหัว ตาจมูกมองไม่ค่อยชัด เด็กแข็งแรงมากทีเดียว พัฒนาการไม่เลวเลย”ป้าหวังตอบรับอย่างดีอกดีใจตรวจครรภ์เสร็จ ระหว่างที่เวินเหลียงกำลังจะเดินออกมาจากห้องตรวจ หมอก็กำชับว่า “ระหว่างตั้งครรภ์ต้องควบคุมการมีเพศสัมพันธ์หน่อยนะครับ มันไม่ดีต่อเด็กทารก”ใบหน้าน้อย ๆ ของเวินเหลียงแดงระเรื่อ ก่อนจะตอบรับอย่างลวก ๆระหว่างทางกลับ ป้าหวังโน้มน้าวให้เวินเหลียงบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฟู่เจิง