ประตูลิฟต์ปิดลง ภายในพื้นที่ปิดทึบมีเพียงแค่สองคน เงียบสงัดไร้เสียงพูดคุยฟู่เจิงกดหมายเลขหนึ่งอู๋หลิงยืนอยู่เยื้องด้านหลังฟู่เจิง เธอใช้หางตามองประเมินฟู่เจิงอย่างไม่เหลือร่องรอยเขาสวมแค่เสื้อเชิตสีดำตัวหนึ่ง พับแขนเสื้อขึ้นมา เผยแขนท่อนล่างที่แข็งแกร่งออกมา เสื้อโค้ตพาดอยู่บนข้อศอก เพียงแค่การกระทำสบาย ๆ เช่นนี้ ทว่ากลับมีความสง่าและความมีระดับที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างหนึ่งอู๋หลิงรวบรวมความกล้า เดินไปเบื้องหลังเขา กำลังคิดจะกอดเขาเอาไว้ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก เด็กวัยรุ่นสองสามคนเดินเข้ามาพร้อมทั้งพูดคุยหัวเราะเฮฮา ครั้นเห็นฟู่เจิงที่อยู่ในลิฟต์ เสียงก็เงียบลงไปในฉับพลันสาวน้อยคนหนึ่งมองประเมินฟู่เจิงอย่างมองทว่าเหมือนไม่ได้มอง มองออกไม่ยาก นี่เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ดูเหมือนยังหนุ่มยังแน่น ทว่านัยน์ตากลับสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมิหนำซ้ำดูแล้วยังคุ้นหน้าคุ้นตาอีกด้วยยังไม่ทันให้สาวน้อยได้นึกออกว่าเป็นใคร ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้วลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นแรก หลังรอวัยรุ่นสองสามคนนั้นออกไปกัน
ฟู่เจิงจำได้ นั่นเป็นรถยี่ห้อจากัวร์คันหนึ่งที่อยู่ในโรงจอดรถของเขาเขาเดินไปฝั่งตรงกันข้ามพร้อมทั้งถือเสื้อโค้ตผ่านกระจกหน้ารถด้านหน้า เขาเห็นเวินเหลียงกำลังพิงพนักเบาะ สองมือกอดอก จ้องมองเขาอย่างจดจ่อแม้จะมีเรื่องกวนใจฟู่เจิงอ้อมไปอีกด้านจากด้านหน้า เปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วเข้าไปนั่ง “มานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมไม่โทรหาฉัน?”เวินเหลียงสตาร์ตรถ “ไม่นานเท่าไร ตอนนั้นมีคนล้มเข้าไปในอ้อมอกพอดี คุณสังเกตเห็นฉันที่ไหน?”เธอเพิ่งจะจอดรถสนิท ก็เห็นอู๋หลิงล้มเข้าไปในอ้อมอกของเขา ก็เลยสนใจแต่จะดูเรื่องสนุก อยากโทรหาเสียที่ไหนกันล่ะ?ฟู่เจิงรีบอธิบาย “ฉันแค่ประคองเธอนิดหน่อย”คืนนี้อู๋หลิงกะเกณฑ์ได้พอดี ทว่าสุดท้ายดันไม่สำเร็จเมื่อครู่ในลิฟต์ เขาเห็นการกระทำที่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จของอู๋หลิงบนกำแพงฟู่เจิงไม่เชื่อว่าเธอจะเท้าแพลงจริง ๆดูท่าจะเป็นเหมือนอย่างที่เวินเหลียงบอกจริง ๆ อู๋หลิงชอบเขา“ทำไมคุณไม่ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลล่ะ? ไปส่งที่โรงพยาบาลเสร็จก็ไปส่งที่บ้านต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึงก็ได้”ฟู่เจิงมองเวินเหลียงทีหนึ่ง กดเปิดกระจกรถฝั่งตนให้ลมพัดเข้ามา “
นี่เป็นการชอบเล่นพิเรนทร์ของเธอ เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่เธอคิดว่าตัวเองคงไม่ถลำลึกแบบนี้อีกทว่าหลังจากเข้าใกล้เขา ตัวเธอก็อดไม่ได้ที่จะถลำลึกต่อไปเวินเหลียงขยับตัว ทั้งตัวเจ็บไปหมดหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวินเหลียงก็เม้มริมฝีปากล่างเขาบิดพลิ้วอยู่นิดหน่อย พูดอยู่สองสามหน บอกว่าเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ยอมหยุดเลย ตอนหลัง ๆ เธอจึงไม่ค่อยมีสติไปโดยไม่รู้ตัวอันที่จริงตั้งแต่เขาออกเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ตอนเดือนกรกฎาคม พวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรกันอีกจากกันเป็นเวลานานแล้วทักษะของเขาดีมาก เธอเองก็เพลิดเพลินมากเช่นกัน“ตื่นแล้วเหรอ? เช้าตรู่คิดจะทำอะไร? หน้าแดงขนาดนี้” ใบหน้าอันหล่อเหลาของฟู่เจิงขยับเข้ามายิ้มพลางหยอกล้อเวินเหลียงรีบปฏิเสธ “ไม่ได้คิดอะไร ทำไมคุณยังไม่ตื่นอีกล่ะ?”ตามตารางการทำงานและพักผ่อนตามเวลาของเขาในก่อนหน้านี้ ช่วงเวลานี้เขาควรออกไปวิ่งอยู่ข้างนอกสิ“วันนี้พักการวิ่งตอนเช้าไว้ก่อนหนึ่งวัน”ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ฟู่เจิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดฉันก็รู้ว่าทำไมคำโบราณถึงว่าเอาไว้แบบนั้น”“คำโบราณอะไร?” เวินเหลียงโพล่งถามขึ้น“ส่วนที่อ่อนโยนข
“อู๋หลิง มาที่ห้องทำงานผมหน่อย” น้ำเสียงของฟู่เจิงไร้ซึ่งละรอกคลื่น ฟังแล้วมีความเย็นยะเยียบอยู่เล็กน้อย “ค่ะ”อู๋หลิงหยิบกระจกขึ้นมาส่อง ลูบผมที่ข้างหู สงบสติอารมณ์ ฟู่เจิงคงไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นคนวางยาเธอลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานประธานกรรมการเคาะประตูสองที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป และยืนสงบนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน “ประธานฟู่ คุณเรียกฉันเหรอคะ?”ฟู่เจิงเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะล้วงเอกสารออกมาจากข้างมือฉบับหนึ่ง และวางไปที่ตรงกลาง “นี่เป็นคำสั่งย้ายของคุณ ผมเตรียมจะย้ายคุณไปบริษัทลูก คุณคิดเห็นยังไงบ้าง?”ในปากเขาถามความยินยอมของอู๋หลิง ทว่าในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีทางเหลือให้อู๋หลิงเลือกเลยในวินาทีนั้นสีหน้าของอู๋หลิงแข็งทื่อไปโดยพลัน มองฟู่เจิงอย่างเหลือเชื่อ “ประธานฟู่คะ ทำไมล่ะคะ? ทำไมถึงย้ายฉันอย่างกะทันหัน?”การชอบไม่ผิด ฟู่เจิงเก็บพนักงานที่ชอบเขาเอาไว้ข้างกายได้ แต่เก็บพนักงานที่วางยาเขาเพราะชอบเขาเอาไว้ไม่ได้ฟู่เจิงพิงพนักเก้าอี้ นิ้วทั้งหมดเคาะเบา ๆ อยู่หน้าโต๊ะ “บางเรื่องไม่จำเป็นต้องให้ผมพูด ถ้าคุณไม่ยินยอม งั้นก็ย้ายคุณไปแผนกอื่นแทน”หนึ่งแผนกก็มีหัวหน้าหนึ่ง
ถ้าเธอออกไปทั้งปากบวมเป่ง แบบนั้นต่อให้กระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็ชำระล้างให้บริสุทธิ์ไม่ได้“เธอจะกลัวอะไร? นี่อยู่ในห้องทำงานฉันนะ ไม่มีใครเดินเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก” ฟู่เจิงก้มหน้ามองเวินเหลียง “ต่อให้มีคนเข้ามา ถูกเห็นก็ถูกเห็นไปสิ จะได้ถือโอกาสเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปด้วยซะเลย”“ไม่ได้” เวินเหลียงรีบเอ่ย“ทำไมไม่ได้ล่ะ?” นัยน์ตาของฟู่เจิงหม่นหมองเวินเหลียงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเผยอปาก “ตอนนี้ฉันยังไม่อยากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ”“เธอกำลังพะว้าพะวงอะไร? ฉันกับซืออี๋ คงไม่มีอะไรกันอีกแล้ว ที่รับปากเธอฉันจะทำให้ได้แน่นอน”เวินหลียงก้มหน้า “ไม่อยากก็คือไม่อยาก คุณรีบปล่อยฉัน ฉันจะไปทำงานแล้ว”ฟู่เจิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนพูดว่า “ปล่อยเธอน่ะได้ เรียกที่รักก่อนสิ”“...”เวินเหลียงเอ่ยทั้งกัดฟันว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ปล่อยฉันนะ”“อย่าดื้อสิ”ฟู่เจิงยิ่งโอบเวินเหลียงแน่นขึ้น“เรียกที่รัก แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”“ฟู่เจิง คุณเป็นเด็กหรือไง?”“เธอก็คิดเสียว่าฉันเป็นก็แล้วกัน”เวินเหลียงจนใจ “แค่เรียกที่รัก คุณก็จะปล่อย?”“อืม ฉันรักษาคำพูด พูดแล้วทำจริง”เวินเหลียงกัดริมฝี
ตระกูลฉู่ผู้ช่วยส่งแฟ้มเอกสารมาให้ “คุณผู้ชายครับ สืบข้อมูลของเวินเหลียงมาได้เรื่องแล้วครับ ทั้งหมดอยู่ในนี้ครับ คุณลองดูนะครับ”“วางไว้สิ” ฉู่เจี้ยนจวินเอ่ยผู้ช่วยวางแฟ้มเอกสารเอาไว้บนโต๊ะฉู่เจี้ยนจวินเปิดแฟ้มเอกสาร ข้อมูลข้างในบางไม่กี่หน้าหน้าแรกเขียนข้อมูลพื้นฐานของเวินเหลียงชื่อแซ่ : เวินเหลียงเพศ : หญิงเผ่า : ฮั่นวันเดือนปีเกิด : วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 1998บิดา : เวินหย่งคังมารดา : หลินเจียหมิ่นหลินเจียหมิ่นเมื่อเห็นชื่อสามคำนี้ นัยน์ตาของฉู่เจี้ยนจวินก็หดตัวลงเขาไม่ทันได้อ่านข้อมูลในหน้านี้ ก็รีบร้อนเปิดไปยังสองหน้าหลัง เจอหน้าข้อมูลของหลินเจียหมิ่นแม่ของเวินเหลียงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆเป็นเวลานานมากแล้ว แม่ของเวินเหลียงเองก็จากไปนานมากแล้วเช่นกัน ในข้อมูลไม่มีรูปภาพ ทว่าอาศัยข้อมูลพื้นฐานอื่น ๆ ฉู่เจี้ยนจวินก็ตัดสินได้ว่า หลินเจียหมิ่นคนนี้คือหลินเจียหมิ่นที่เขาเคยรู้จักจากนั้นย้อนมาดูวันเดือนปีเกิดของเวินเหลียง ซึ่งก็หมายความว่า หลังจากที่หลินเจียหมิ่นเลิกกับเขา ก็ไปแต่งงานกับเวินหย่งคัง!...ตอนเที่ยงเวินหลียงพาผู้ช่วยไปพบลูกค้าระหว่างทาง เ
“ระหว่างนั้นไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง ทำไมถึงไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงล่ะ?” เวินเหลียงมีความหมายแอบแฝง“ตารางเรียนของฉันแน่นมาก มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองค่อนข้างน้อย”“พวกคุณใครเป็นคนจีบใครเหรอ?”“เธอจีบฉัน”ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเขาเรียนควบปริญญาสองใบ ตารางเรียนหนักงานที่ต้องส่งเยอะ มีกะจิตกะใจไปทำอย่างอื่นเสียที่ไหน? เดิมทีกิจกรรมวันครบรอบของมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าร่วมอยู่แล้วเมื่อหวนนึกถึงเรื่องในปีนั้น ฟู่เจิงก็หรี่ตาลงเวลาผ่านไปนานมากแล้ว เขาจำได้แค่ว่าเขาตกลงคบกับฉู่ซืออี๋ เพราะรู้สึกว่าคบกับเธอแล้วค่อนข้างสบายใจฟู่เจิงมีนิสัยเงียบขรึม ตอนที่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนอื่นยังไปยกป้ายไฟ เอาดอกกุหลาบไปให้คนอื่น ตามจีบแฟนสาว ทว่าฟู่เจิงกลับจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับการเรียนส่วนฉู่ซืออี๋อ่อนโยนเอาใจใส่ ไม่คิดเรื่องสวีทหวาน ต้องให้แฟนหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลาเหมือนกับผู้หญิงเหล่านั้น บางเวลาก็คล้อยตามเขา“เสน่ห์ของประธานฟู่ไม่น้อยไปกว่าตอนนั้นเลย” เวินเหลียงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยากจะพบเห็นนัยน์ตาของฟู่เจิงเปล่งประกายเล็กน้อย ราวกับเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่แสนสบายใจของเวินเหลียง
สิบเอ็ดโมง ฟู่เจิงกลับมาจากด้านนอก ทั้งสองคนกินข้าวเที่ยงด้วยกันอยู่ในบ้านคนขับรถส่งทั้งสองคนไปที่สนามบิน บรรดาเลขาเองก็มารออยู่ที่สนามบินแล้วออกเดินทางครั้งนี้ ฟู่เจิงพาเลขาไปสี่คนนอกจากเลขาหยางแล้ว อีกสามคนต่างไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทว่าอาจจะเป็นเพราะเลขาหยางอธิบายมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ตอนที่เลขาทั้งสามคนนั้นเห็นเวินเหลียง บนใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าของความประหลาดใจ ทักทายเวินเหลียงอย่างสงบจิตใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเวินเหลียงเองก็เดินทางไปทำงานนอกสถานที่ด้วยเช่นกันทำการเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็เดินไปรอที่อาคารผู้โดยสารวีไอพีฟู่เจิงนั่งลงบนโซฟา ทันใดนั้นก็มีพนักงานเอาชาและน้ำมาเสิร์ฟเวินเหลียงเลือกโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างแบบยาวจรดพื้น นั่งตรงนี้มองออกไปก็จะสามารถเห็นเครื่องบินสองสามลำที่จอดอยู่ด้านนอกเธอหันหน้าไป ก็เห็นฟู่เจิงถือนิตยสารการเงินอยู่ในมือ กำลังอ่านอย่างตั้งใจจากนั้นหันไปมองคนที่มารอเครื่องบินคนอื่น ๆ รอบข้าง ไม่อ่านนิตยสาร ก็อ่านหนังสือ และยังมีคนถือโทรศัพท์ทำงานบรรยากาศเงียบสงัดโทรศัพท์ของเวินเหลียงมีเสียงสั่นสองทีฟู่เจิงเงยหน