ฟู่เจิงมองลู่ฉางคง “ฉันแน่ใจ ฉันตัดสินใจไปแล้ว”ลู่ฉางคงเม้มปาก “แล้ว นายรักเธอไหม?”ฟู่เจิงฟังออก เธอที่ลู่ฉางคงหมายถึงคือเวินเหลียงนัยน์ตาของฟู่เจิงประกายเล็กน้อย “ฉันไม่รู้ว่านั่นคือรักหรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่อยากหย่ากับเธอ พอนึกถึงว่าเธออาจจะไปจากฉัน ในใจฉันมันก็รู้สึกราวกับว่างเปล่า”“อาจเป็นเพราะแค่นายชินกับชีวิตช่วงแต่งงาน รอหลังจากหย่าแล้วกลับไปโสด ผ่านไปพักหนึ่งก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”ฟู่เจิงมองไปนอกหน้าต่าง เงียบไม่ตอบราวกับไม่ได้เก็บคำพูดของลู่ฉางคงมาใส่ใจลู่ฉางคงถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประหลาดใจหรือว่าเสียดายแทนฉู่ซืออี๋“ซืออี๋ตกลงจะเลิกกับนาย?”ฟู่เจิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “เธอไม่มีทางเลือกอื่น”ลู่ฉางคงมองฟู่เจิง ไม่รู้ว่าควรพูดว่าเขาใจจืดใจดำดีหรือไม่เขากับซืออี๋รักกันมาหลายปีขนาดนั้น ทว่าไม่อาจเทียบเวินเหลียงที่แต่งงานกันมาได้เพียงสามปีแต่ไหนแต่ไรมามีเพียงคนใหม่ยิ้ม ใครเลยได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเก่าลู่ฉางคงรู้ว่าตัวเองพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ จึงหมุนตัวเตรียมจะออกไปฟู่เจิงยืนอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวกลับไปยังห้อ
เวินเหลียงอึ้งไป ก่อนจะมองฟู่เจิงทีหนึ่งเมื่อครู่เธอยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่แท้เขาก็จงใจงั้นเหรอ?“มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน” ฟู่เจิงปฏิเสธหานเฟิงไม่ฟัง ยื่นมือไปแผ่ไพ่ของฟู่เจิงฟู่เจิงเร็วกว่าก้าวหนึ่ง เขาดันไพ่เข้าไปในกองปฏิกิริยานี้ของเขา ใครมองไม่ออกบ้าง?หานเฟิงตะโกนโวยวาย “ไม่ได้สิ ตานี้ไม่นับ นี่พวกนายเล่นตุกติกกัน!”ฟู่เจิงหัวเราะ ไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะมองไปที่เวินเหลียง “ดึกมากแล้ว กลับไปกันไหม?”“โอเคค่ะ”“ไม่เล่นอีกสักสองตาเหรอ?” หานเฟิงเอ่ย“วันหลังค่อยรวมตัวกันใหม่ พวกนายเล่นกันไปเถอะ วันนี้ฉันเลี้ยง”หลังฟู่เจิงทักทายกับคนอื่นเสร็จ ก็จูงมือเวินเหลียงออกไปทั้งสองคนกำลังรอลิฟต์กันอยู่ ในจังหวะนี้เอง ก็มีสองสามคนเข้ามาจากที่ไม่ไกลมาก คนที่เดินนำมาตัวไม่สูง และมีพุงพลุ้ย เมื่อเห็นฟู่เจิง ก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตะโกนเรียกขึ้นว่า “ประธานฟู่”ฟู่เจิงเห็นผู้มาเยือน บนใบหน้าไร้ความรู้สึก “คุณฉู่”ฉู่เจี้ยนกั๋ว “ไม่นึกเลยว่าจะเจอประธานฟู่ที่นี่ บังเอิญจริง ๆ”หลังทั้งสองคนทักทายกันสองสามประโยค ฉู่เจี้ยนกั๋วก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ซื
หากวันนี้คนที่อยู่ข้างฟู่เจิงเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาก็จะไม่เป็นกังวล แต่ดันเป็นเวินเหลียงฐานะของเวินเหลียงพิเศษ ชาติกำเนิดของเธอทั่ว ๆ ไป ภูมิหลังธรรมดา สู้ลูกสาวตระกูลไฮโซคนอื่นไม่ได้ แต่ว่าเธอได้รับความชื่นชอบของคุณท่านฟู่เป็นอย่างมากส่วนฟู่เจิงเองก็ถูกคุณท่านฟู่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ รักและผูกพันธ์กับคุณท่านเป็นอย่างมากหากคุณท่านฟู่คลุมถุงชนฟู่เจิงกับเวินเหลียง ภายใต้ความกตัญญูของฟู่เจิง เขาไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอนซึ่งก็หมายความว่าเวินเหลียงเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อซืออี๋ผู้ช่วย “ประธานฉู่ครับ ให้สะกดรอยตามไหมครับ?”ฉู่เจี้ยนกั๋ว “ไม่ต้อง ในเมื่อประธานฟู่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงทางธุรกิจอะไร งั้นก็คงเป็นเรื่องส่วนตัว พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย”เขารู้สึกอายุยืนเกินไปแล้วสินะถึงได้กล้าสะกดรอยตามฟู่เจิงผู้ช่วย “ครับ ประธานฉู่”กลับมาถึงบ้าน คนรับใช้ก็เอาน้ำมาให้แก้วหนึ่ง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณท่านคะ คุณท่านรองมาได้สักพักหนึ่งแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังรอคุณอยู่ในห้องทำงานค่ะ”คุณท่านรองที่เธอเอ่ยถึงคือพ่อของฉู่ซืออี๋ ฉู่เจี้ยนจวินครั้นฉู่เจี้ยนกั๋วได้ยินชื่อนี้ ก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อม “อืม
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากจะพูดว่า ซืออี๋ทำความดีความชอบให้กับบริษัทมากมาย พี่ใหญ่พี่เป็นลุงของซืออี๋ คงไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างขาดความยุติธรรมหรอกใช่ไหม? ซืออี๋เป็นบุคคลที่ทำผลงานยิ่งใหญ่ให้บริษัท แต่ว่าตอนนี้เธอกลับไม่มีหุ้นในบริษัทเลยสักนิด แบบนี้เหมาะสมเหรอครับ?”ฉู่เจี้ยนกั๋วรู้ดี ที่ฉู่เจี้ยนจวินอ้างฉู่ซืออี๋ขึ้นมา จุดประสงค์ในท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นอยากได้หุ้นก็เท่านั้นเขาไม่ได้โต้แย้งกับฉู่เจี้ยนจวิน ทว่ากลับพูดว่า “พูดถึงซืออี๋ งั้นฉันขอถามหน่อย ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับฟู่เจิงเป็นยังไงบ้าง?”“แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้ว สองสามวันก่อนยังจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ซืออี๋อยู่เลย พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?” บนใบหน้าของฉู่เจี้ยนจวินเผยสีหน้าของความภาคภูมิใจออกมาในชีวิตนี้เขาคิดจะทำอะไรก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปหมด ทว่ากลับมีลูกสาวดี ตอนนี้เดินออกไปทางไหน ใครไม่ประจบแจงเขาด้วยคำพูดดี ๆ บ้าง?“แน่ใจเหรอ?”“ผมจะโกหกพี่ไปทำไม?” ฉู่เจี้ยนจวินมองเขาอย่างเหยียดหยาม “ตอนนี้ซืออี๋เป็นคุณนายน้อยในอนาคตของตระกูลฟู่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”“ฉันว่าไม่นะ”“พี่ใหญ่ นี่พี่หมา
“วันนี้ถ่ายละครเสร็จหรือยัง?”“เพิ่งถ่ายเสร็จ กลับโรงแรมแล้ว”“ซืออี๋ พ่อมีอะไรอยากจะถามลูกหน่อย ตอนนี้ฟู่เจิงปฏิบัติกับลูกยังไงบ้าง? ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกลูกเป็นยังไงบ้าง? เขาพูดถึงเรื่องแต่งงานกับลูกบ้างหรือเปล่า?”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉู่ซืออี๋ตอบสนองเช่นนี้ สีหน้าของฉู่เจี้ยนจวินก็เคร่งขรึมขึ้นมาดูท่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างซืออี๋กับฟู่เจิงจะอยู่ในช่วงวิกฤติจริง ๆบนใบหน้าของฉู่เจี้ยนกั๋วเต็มไปด้วยความกังวล ทว่าในใจกลับลอบถอนหายใจ ระหว่างซืออี๋กับฟู่เจิงเกิดปัญหาขึ้น ต่อไปฉู่เจี้ยนจวินคงไม่มีกะจิตกะใจมาขอแบ่งหุ้นกับเขาแล้วเขารู้ว่ายิ่งฉู่ซืออี๋กับฟู่เจิงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉู่เจี้ยนจวินก็ยิ่งพอใจ หากพวกเขาแต่งงานกันจริง ๆ สองพ่อลูกฉู่เจี้ยนจวินก็จะมีฟู่เจิงคอยหนุนหลัง ไม่แน่ว่าบริษัทจะตกไปอยู่ในกรรมสิทธิ์ของพวกเขาทว่าฉูเจี้ยนกั๋วไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หุ้นเหล่านั้นเดิมทีก็ควรเป็นของเขาอยู่แล้ว“พ่อ ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ฉู่ซืออี๋เอ่ย“ลูกตอบพ่อมาตามความจริง ตกลงพวกลูกมันยังไงกันแน่? จะบอกลูกให้นะ วันนี้ลุงใหญ่ของลูกเจอฟู่เจ
และคะแนนก็ยอดเยี่ยมสุด ๆครั้งนี้เธอรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับฟู่เจิงอีกแล้วตอนแรกเพื่อเดินตามรอยเขา เธอจึงเลือกเรียนสาขาการตลาดของคณะการบริหารและเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน เธอขยันเป็นอย่างมาก ถึงรักษาคะแนนให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ได้ส่วนเขากลับเรียนอย่างสบาย ๆ ตอนที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็เรียนจบไปแล้ว ทว่าในมหาวิทยาลัยยังคงล่ำลือตำนานของเขาอยู่ ในหอรำลึกพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ในศิษย์เก่ากิตติมศักดิ์ เขาติดในยี่สิบอันดับ ทั้งที่ลำดับด้านหน้าล้วนเป็นศาสตราจารย์และนักวิชาการที่อายุเกินครึ่งร้อย ในขอบเขตของแต่ละสาขาวิชาต่างคนต่างก็มีชื่อเสียงบารมีและคุณูปการอันสูงส่ง“กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?” ฟู่เจิงถามขึ้น“เปล่า...” เวินเหลียงส่ายหน้าฟู่เจิงไม่ได้พูดคุยต่อในหัวข้อบทสนทนานี้ ทว่าเปลี่ยนเป็นหัวข้อสนทนาอื่น“คืนพรุ่งนี้มีค็อกเทลปาร์ตี้ จะไปกับฉันไหม?” ฟู่เจิงถามเวินเหลียงเงียบไป หลายปีมานี้เธอเข้าร่วมปาร์ตี้ประเภทนี้น้อยมาก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานยุ่งเกินไป อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่ชอบ คนในแวดวงไม่ค่อยเห็นเธอในสายตาเท่าไร เธอเองก็ไม่ชอบ
เช้าวันต่อมาขณะที่เวินเหลียงเพิ่งตื่น ฟู่เจิงตื่นแล้วเขาแต่งกายเรียบร้อย นั่งรอเธอมาทานข้าวเช้าด้วยกันอยู่ข้างโต๊ะ หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปบริษัทด้วยกันประตูห้องทำงานถูกเคาะดังขึ้น เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ “เข้ามา”ผู้อำนวยการเวิน เลขาหยางบิดมือจับประตูเดินเข้ามาจากด้านนอก “ประธานฟู่ให้ฉันเอาเอกสารมาให้คุณค่ะ”“วางไว้ตรงนี้เลยค่ะ” เวินเหลียงชี้โต๊ะทำงานด้านหน้า“ค่ะ”หลังเลขาหยางออกไป เวินเหลียงก็ก้มหน้า แล้วหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านสิ่งที่ใส่เอาไว้ในแฟ้มเอกสาร ไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไร แต่เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เนื้อหาเป็นกำหนดการเดินทางในช่วงหนึ่งอาทิตย์นี้ของฟู่เจิง รายละเอียดทุกอย่าง รวมไปถึงงานเลี้ยงทางธุรกิจในตอนกลางวันและกลางคืนของทุกวันก่อนหน้านี้เขาเองก็จะรายงานกำหนดการเดินทางกับเธอเช่นกัน แต่ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้นก็เหมือนกับเที่ยงวันนี้ ฟู่เจิงมีนัดทานข้าวในจังหวะนี้เองข้อความของเขาก็ถูกส่งเข้ามา “ตอนเที่ยงฉันไม่อยู่บริษัท สั่งให้คนสั่งอาหารเที่ยงมาให้เธอแล้ว หลังกินข้าวเสร็จ ไปพักที่ห้องพักของฉันสักเดี๋ยวก็ได้”“โอเค”พักงานตอนเที่ยง
โต๊ะกลมยากจะจัดลำดับอาวุโส ที่ที่ฟู่เจิงนั่งเป็นที่นั่งหลัก ซ้ายขวาเป็นอู๋หลิงและรองหัวหน้าอีกคนสั่งอาหารเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังทุกคนนั่งลงไม่นานก็มาเสิร์ฟครบอู๋หลิงถามฟู่เจิงแยกในไลน์ว่าชอบกินอะไร ฟู่เจิงตอบกลับมาเพียงแค่ประโยคหนึ่ง “แล้วแต่คุณเลย ถามความคิดเห็นของทุกคนดู”อู๋หลิงเองก็ไม่ดีที่จะถามอะไรมากมายอีกทำงานร่วมกันมาหลายปีขนาดนี้ เธอกับฟู่เจิงร่วมทานอาหารโต๊ะเดียวกันมาหลายครั้ง ทว่าไม่เคยเห็นฟู่เจิงชอบอาหารจานไหนเป็นพิเศษเลยมีความเป็นผู้ใหญ่และมีจิตใจมั่งคงหนักแน่น ไม่แสดงอารมณ์ว่าโกรธหรือดีใจ ฟู่เจิงขยับตะเกียบ พนักงานคนอื่นเองก็ถึงได้ค่อย ๆ เริ่มกินกันทุกแผนกล้วนมีคนที่สดใสมีชีวิตชีวาคนถึงสองคน แผนกประชาสัมพันธ์เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่นานบนโต๊ะก็ครึกครื้นขึ้นมาฟู่เจิงพิงพนักพิงเก้าอี้ บีบแก้วเหล้า ตอบโต้คนอื่น ๆ อยู่เป็นครั้งคราวบางคนก็เป็นแบบนั้น นั่งอยู่ตรงนั้น ก็สามารถทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่สั่งสมมาเป็นเวลานานได้อู๋หลิงหยิบตะเกียบกลางขึ้นมา ก่อนจะคีบผักกวางตุ้งไปใส่ในจานที่อยู่ตรงหน้าฟู่เจิงคำหนึ่ง “ไม่รู้ว่าประธานฟู่ชอบกินอันนี้หรือเปล่