แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดยาวเหนือแนวเขา ดุจม่านสุดท้ายของโชคชะตาลาลับขอบฟ้า ขบวนทูตจากเผ่าเจียงเคลื่อนผ่านผืนป่าเข้าสู่เขตชายแดนแคว้นต้าฉู่ อาภรณ์สีสด พู่ธงไหวลู่ตามลม ราวกับเป็นขบวนเกียรติยศ
หากแท้จริงแล้ว ภายนอกที่ผู้คนรู้คือเผ่าเจียงส่งท่านหญิงหลัวจือจื่อบุตรสาวคนโตของทู่ป๋าอ๋องเผ่าเจียงมาเป็นทูตสันถวไมตรี ทว่าภารกิจลับคือการส่งตัว หลัวจือจื่อ ไปอภิเษกกับ ไท่จื่อจ้าวจื่อหาน องค์รัชทายาทของต้าฉู่ เพื่อสานพันธไมตรีลับระหว่างสองดินแดนตามข้อตกลงทางการทหารของไท่หมิงฮ่องเต้กับทู่ปาอ๋องหลัวเจิงหนาน
แต่นี่คือสิ่งที่ราชสำนักบางฝ่ายไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะ องค์ชายสาม จ้าวจื่อเฉิน ผู้มองการแต่งงานนี้เป็นภัยอำนาจโดยตรงของตนเอง
เขาจึงส่งมือสังหารฝีมือฉกาจในคราบ “โจรป่า” ซุ่มดัก ณ เส้นทางลับ หวังสังหารหลัวจือจื่อตั้งแต่ก่อนนางจะข้ามพรมแดน
เสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง สะเทือนจนฝุ่นปลิวว่อน เงาดำมากมายพุ่งออกจากแนวไม้หนาทึบ ประกายดวงตาแต่ละคู่ฉายแววกระหายเลือด เหล็กในมือพวกมันส่องแสงเย็นเฉียบยามกระทบแสงสุดท้ายของวัน
"ศัตรู! ปกป้องท่านหญิง!!"
เสียงตะโกนขององครักษ์ดังลั่น พวกเขาชักดาบออกจากฝัก โลหะปะทะกันดังกึกก้อง เสียงลมหายใจขาดห้วง เสียงเลือดพุ่งสาด ดังก้องแทนบทเพลงอำลาชีวิต
ในขบวนรถม้า หลัวจือจื่อ ท่านหญิงวัยเพิ่งจะครบสิบห้าปี เข้าสู่วัยแรกรุ่นเบิกตากว้าง นางสัมผัสถึงคลื่นอันตรายที่ซัดเข้าหัวใจราวพายุพัด นางไม่เคยคาดคิดว่าวันที่ควรเป็นการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน จะกลายเป็นจุดจบของการมีชีวิต
แต่…นางไม่ใช่เด็กสาวผู้อ่อนแอ
หลัวจือจื่อ ผู้เคยดื้อดึงตามท่านอาออกศึกตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมรบอย่างเปิดเผย แต่นางกลับเรียนรู้การต่อสู้จากข้างสนาม และฝึกเพลงกระบี่ พระจันทร์คู่ เพลงกระบี่ที่มีเพียงทหารม้าเกราะเหล็กของเผ่าเจียงเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนได้ นางก็จนช่ำชอง เป็นดั่งจันทราทรงพลังคู่หนึ่งในเงามืดของสงคราม
นางกระชากดาบคู่จากข้างเอว ร่างบางกระโจนลงจากรถม้าอย่างสง่างาม เงาดาบในมือนางวูบไหวดั่งแสงจันทร์เฉือนเมฆ หมุนฟันเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ดาบซ้ายเฉือนไหล่ ดาบขวาตวัดกรีดเอ็นข้อมือของอีกคน เสียงร้องโหยหวนดังลั่น เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนอาภรณ์สีขาวจนย้อมแดง
นางกัดฟันแน่น แม้หัวใจจะเต้นระรัว แต่มือไม่สั่น ความกลัวถูกกลบด้วยความตั้งใจแน่วแน่
"เจ้าจะฝึกกระบี่เพื่ออะไร…ในเมื่อสุดท้ายก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คิดว่าจะรอดไปได้หรือ เพ้อฝันเสียจริง!"
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากเงามืด หัวหน้าโจร ในชุดดำสนิทก้าวออกมาช้าๆ แววตาของมันไร้ความปรานี ดาบในมือเคลือบประกายสีเขียวคล้ำวาววับกลิ่นของ “พิษ” ร้ายลอยแตะปลายจมูก
หลัวจือจื่อรู้ทันที…มันไม่ใช่ศัตรูธรรมดาเสียแล้ว
นางพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่ โจมตีเป็นจังหวะรวดเร็ว ราวระบำแห่งดวงจันทร์ ทั้งอ่อนช้อยและแม่นยำ แต่ดาบของมันกลับรับไว้ได้ทั้งหมด ด้วยพลังที่ไม่สมควรเป็นของมนุษย์
และในจังหวะหนึ่ง…เพียงครึ่งกระพริบตา
ฉึก!
กระบี่ซ้ายในมือนางหลุดจากการควบคุม ร่างของนางชะงักไปทั้งร่าง บาดแผลเล็กๆ ที่ต้นแขนลึกเพียงปลายมีด แต่กลับแล่นความเจ็บจนถึงไขสันหลัง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงพิษที่ไหลผ่านกระแสเลือด
มือเริ่มสั่น ความร้อนแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก
องครักษ์ของนางร่วงลงไปทีละคนถูกหั่น ถูกเฉือน ร่างแหลกเหลวไร้ชิ้นดี เสียงของพวกเขากลายเป็นเสียงร้องขอชีวิตสุดท้ายก่อนจะเงียบงัน
"ท่านหญิง! หนี…"
เสียงสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อดาบของโจรตวัดเฉือนกลางร่างขององครักษ์ผู้ภักดี ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น มือที่ยื่นมาหานางสั่นเทา ก่อนจะหยุดนิ่งตลอดกาล
นางกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าหาหัวหน้าโจรในความมืดอีกครั้ง แม้ร่างจะอ่อนแรง แม้พิษจะแล่นไปทั่วกาย
แต่…
ฉึก!
ดาบของมันเสียบทะลุร่างของนางอย่างโหดเหี้ยม ความเจ็บแล่นพล่านเกินทานทน เลือดไหลทะลักจากปากแผล ดวงตาของนางพร่าเลือน
ก่อนสติจะดับลง ภาพสุดท้ายที่เห็น…
คือ ชายในอาภรณ์สีแดงเข้มโดดเด่นท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยอาชาตัวใหญ่กับคนติดตามกลุ่มหนึ่ง
ใคร…กัน?
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงพร้อมชื่อของนาง ที่เริ่มถูกลืมเลือนจากประวัติศาสตร์ของเผ่าเจียงในวินาทีนั้น…
เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น พัดฝุ่นแดงฟุ้งขึ้นทั่วแนวป่าลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์จางหายแทนที่ด้วยแสงจันทร์คืนเพ็ญตกกระทบกับชายอาภรณ์แดงเข้มที่สะบัดไหวกลางสายลม
ราวกับเลือดที่ยังไม่แห้งบนผืนผ้าใบของสนามรบ
ซ่งไป๋เซียว ปรากฏตัวขี่ม้าดำทะมึน มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยาวที่บรรจงสวมปลอกไว้แน่น กระบี่เล่มนั้นคือนามแห่งตำนานของ จ้งฉี หน่วยองครักษ์ลับของไท่หมิงฮ่องเต้แห่งต้าฉู่!
-กระบี่แสงเมฆา-
อาวุธประจำตัวที่มีเพียงองครักษ์ระดับสูงขั้นสองขึ้นไปซึ่งผ่านการคัดเลือกหน้าพระที่นั่งเท่านั้นจะครอบครองได้
เขาคือหัวหน่วยจ้งฉีที่ไท่หมิงฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยที่สุดคือมือขวาของไท่จื่อจ้าวจื่อหาน
และคือผู้ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ รีบเดินทางปกป้องหลัวจือจื่อ ไม่ว่าแลกด้วยสิ่งใด!"นายท่าน! ทางนี้ขอรับ!! "
เสียงของ หลินลู่เฟย ดังขึ้นนำทางเข้าไปกลางป่าลึก
เมื่อกลุ่มจ้งฉีทั้งแปดนายควบม้าผ่านแนวไม้รกทึบเข้าสู่ลานโล่งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ…
นรกบนดิน
ซ่งไป๋เซียวกระตุกบังเหียนม้าจนหยุดนิ่งทันที ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มเบิกกว้างน้อย ๆ
ท่ามกลางหมอกเลือดคละคลุ้งศพของขบวนทูตจากเผ่าเจียงนอนเกลื่อนกลาดหญิงสาวในชุด ขาวปัดลวดลายสีทองนอนแน่นิ่งอยู่กลางวงศพองครักษ์ของเผ่าเจียง
..เขามาช้าไปจริง ๆ
หลินลู่เฟยกัดฟันแน่น
"บัดซบ... เรามาช้าไป!"
ซ่งไป๋เซียวไม่พูดสิ่งใด แต่กระบี่แสงเมฆาในมือถูกชักออกอย่างเงียบงันเสียงของโลหะขัดผ่านปลอกดาบ ดังต่ำจนลมหายใจของเหล่าศัตรูสะดุด
"พวกมันยังอยู่! รีบจับกุมพวกมันให้ได้ ข้าต้องการรู้ว่าคือผู้ใดคิดสังหารท่านหญิงทูตจากเผ่าเจียง!"
กลุ่มโจรซึ่งแท้จริงคือมือสังหารขององค์ชายสาม ยังไม่ทันหลบหนี ก็ต้องเผชิญกับจ้งฉีทั้งแปดนายการประทะเริ่มต้นทันทีเสียงดาบฟาดฟันกระหน่ำเหมือนพายุฤดูเหมันต์ เลือดสาดกระเซ็นราวสายฝน ฝีเท้าม้ากระแทกพื้นจนดินกระจาย
ซ่งไป๋เซียวเคลื่อนไหวเร็วราวสายลม กระบี่แสงเมฆาในมือเขาตวัดออกในทุกจังหวะที่แม่นยำ ร่างของศัตรูร่วงลงทีละคน...ทีละคน จนเหลือเอาไว้สอบสวนเพียงห้าชีวิต
เมื่อศึกสงบ ซ่งไป๋เซียวเป็นผู้รีบเข้าไปตรวจดูร่างของท่านหญิงหลัวอจื่อในจังหวะนั้นเอง...
หนึ่งในโจรที่แสร้งทำเป็นตายก็พุ่งตัวขึ้นมาพร้อมดาบที่เคลือบยาพิษ
ฉึก!!!
ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงไปที่กลางหลังของซ่งไป๋เซียวแต่ หลินลู่เฟย เห็นเข้าเสียก่อนจึงพุ่งร่างเข้ารับดาบนั้นไว้แทน
เลือดสีแดงฉานทะลักจากร่างที่เคยยืนหยัดเคียงข้างเขาทุกสนามรบมาตลอดสองปีเศษ
"อาลู่!!! "
ซ่งไป๋เซียวประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ทั้งโลกในยามนี้เหมือนหยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงกระบี่…
ไม่มีเสียงลม…
มีเพียงลมหายใจสุดท้ายของสหายรัก…
"นายท่าน…" หลินลู่เฟยฝืนพูดทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด เขายังมีห่วง
"ข้า…ยังไม่ได้บอกลาท่านย่ากับน้องสาว…"
ดวงตาเขาแผ่วเบา แต่แววแน่วแน่
"ขอ…นายท่าน…พาเถ้ากระดูกข้ากลับบ้านที… ขอนายท่านนำเงินที่ข้าจะได้…ไปมอบให้…อาหลี…น้อย…ฝาก…"
ซ่งไป๋เซียวกัดฟันแน่นจนเลือดซึมที่ริมฝีปาก
"ข้าสาบาน…จะพาเจ้ากลับบ้านด้วยมือของข้าเอง ข้าจะนำเงินและสิ่งที่เจ้าสมควรได้ไปมอบให้ท่านย่ากับน้องสาวของเจ้าเอง!"
ลู่เฟยยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาไหล เขาพยายามจะพูดบางสิ่งแต่ สุดท้ายเขาก็จากไปในอ้อมแขนของซ่งไป๋เซียวทั้งที่ดวงตามิอาจปิดลง!…
แสดงให้เห็นว่าผู้ตายคงมีบางสิ่งที่เขายากจะปล่อยวาง ไป๋เซียวเจ็บปวดนัก!
หลังจากนั้นซ่งไป๋เซียวเดินไปยังร่างของหลัวจือจื่อที่ไร้ลมหายใจชุดขาวของนางเปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่าง กระบี่พระจันทร์คู่วางตกอยู่ข้างมือเล็กที่เย็นเฉียบบอกได้ว่าเด็กสาวก็นับเป็นนักรบคนหนึ่งของเผ่าเจียง
เขาทรุดตัวลงเงียบ ๆ มือที่ฆ่าคนนับร้อยในสนามรบ กลับสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมไปปิดเปลือกตาของนาง
"ข้ามาช้า...เพียงก้าวเดียว…"เสียงเขาเบาจนแทบเป็นเสียงลม วันนี้เขาสูญเสียมากไปแล้ว
"แม้จะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้...แม้จะเป็นความหวังของไท่จื่อ…แต่ข้าก็ยัง…ช่วยท่านหญิงเอาไว้ไม่ได้"
เขาหลับตาลงชั่วครู่และพูดกับลมหายใจสุดท้ายของเธอว่า
"ชาติหน้า…หากท่านหญิงได้เกิดใหม่…ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากลมหายใจของท่านไปอีกแน่!"
สายลมยามราตรีพัดผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของเขาสะบัดพลิ้วอยู่ใต้แสงจันทร์ ราวกับเปลวเพลิงที่เงียบงัน แต่ยังคงลุกไหม้ไม่สิ้นสุด
…ก่อนที่ซ่งไป๋เซียวจะเอื้อมมือปิดเปลือกตาของนางสายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเครื่อประดับเล็ก ๆ
ที่ตกอยู่ใกล้ตัวของท่านหญิงตัวน้อยปิ่นหยกจันทรา ซึ่งหักครึ่งหนึ่งเขารู้ทันทีว่านี่คือเครื่องหมายประจำตระกูลของเผ่าเจียง เป็นของสำคัญของผู้มีสายเลือดราชวงศ์
เขานิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นควัก ผ้าแพรสีแดงเข้มที่ปักตรากิเลนเพลิงแห่งจ้งฉี
ออกมาจากอกเสื้อ และพันครึ่งหนึ่งของปิ่นหยกไว้อย่างแน่นหนาเขาวางมันแนบไว้ในอุ้งมือของหลัวจือจื่อเอาไว้
ราวกับฝากคำสัญญาอะไรบางอย่างไว้กับนาง
"ข้าไม่เชื่อในปาฏิหาริย์"
เสียงของเขาแหบพร่าต่ำ
"แต่หากสวรรค์ยังมีเมตตา หากท่านมีชาติหน้ายังได้เกิดใหม่ ขอให้ท่านจงรู้เอาไว้ ข้าผิดต่อท่านที่มาช้าไป หากชาติได้พวกเราได้พบกัน ข้าสัญญาจะปกป้องท่านให้ดี"
ปลายนิ้วเขาสัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือนาง เป็นสัมผัสสุดท้ายที่เย็นเฉียบก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและหันหลังให้นางพร้อมคำสั่งให้คนของตนเองจัดการศพของท่านหญิงให้ดีเตรียมส่งกลับเผ่าเจียง เขาตรงไปอุ้มร่างของหลินลู่เฟยขึ้นหลังม้าเตรียมพาสหายร่วมรบไปทำพิธีเผาเพื่อจะนำเถ้ากระดูกกลับไปส่งให้กับครอบครัวของเขาที่คงเฝ้ารออยู่…
ม่านราตรีคลี่คลุมผืนป่า เสียงลมพัดแผ่วผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของซ่งไป๋เซียวสะบัดในเงามืด
ละลายหายไปในม่านเงาแห่งราตรี…ทว่าในแววตาเย็นชาคู่นั้นกลับมีร่องรอยของคำว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งปราก
ตอนที่ 1||อดีตยังตามหลอกหลอนข้ามิจางเปรี้ยง!เสียงฟ้าผ่าคำรามกึกก้อง ราวกับต้องการปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากความเงียบงันร่างบอบบางของเด็กสาววัยสิบสามปีสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอย่างรุนแรง ลมหายใจของนางหนักหน่วงราวกับเพิ่งถูกฉุดขึ้นมาจากห้วงน้ำลึก ดวงตาเรียวรีดั่งนัยน์ตาหงส์เบิกกว้าง ก่อนจะกะพริบถี่เพราะยังคงสับสนระหว่างความจริงและภาพฝันอันเลือนรางฝันนั้นอีกแล้ว...ความทรงจำจากอดีตก่อนตายไหลทะลักเข้ามาอีกครั้งเสียงดาบปะทะ เสียงกรีดร้อง การสังหาร และกลิ่นเลือดที่ยังคงคละคลุ้งในสำนึก ราวกับจะไม่มีวันจางหายนางพยายามสะบัดศีรษะ ไล่ภาพอันโหดร้ายเหล่านั้นออกไปจากจิตใจ แต่กลิ่นคาวเลือดจากสนามรบในความฝันยังคงติดแน่นอยู่ในจิตวิญญาณอีกนานเพียงใด...ข้าถึงจะลืมเลือนกันเล่า...?ภายนอก เรือนเล็ก ๆ ยังคงเผชิญกับสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย หยาดน้ำกระทบหลังคาไม้เสียงแผ่วเบา สายลมหนาวพัดลอดเข้าทางหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท เปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันสั่นไหว เงาของเด็กสาวทอดยาวบนผนัง ราวกับเป็นเงาแห่งความเดียวดายที่ยากจะลบเลือน"เหมียว!"เสียงร้องขุ่นเคืองของแมวอ้วนตัวหนึ่งดังขึ้น มันขดตัวอยู่ข้างหมอน นัยน์ตากลมโตจ้องมอง
ตอนที่ 2||เหลือเพียงกระดูกคืนกลับหลินหลีฮวามองโถกระเบื้องที่คงบรรจุในกระดูกภายในของเครื่องเทศตรงหน้านักร้องของนางพลานเจ็บเหมือนถูกมือคอบีเคโอเวอร์พี่ใหญ่ของอาหลี หลินลู่เฟยผู้มีอำนาจเป็นเสาสัญญาณครอบครัวการที่เขาจะสามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดคนสุดท้ายในส่วนของร่างนี้เป็นครั้งแรกในชาติก่อนจะไม่เคยพบหน้าผู้สูงอายุสิบเก้าปีผู้นี้เลย แต่เพราะเจ้าของร่างเดิมรักและผู้สมัครกับพี่ชายมาก นางที่มาที่มานี้ต่อเลยถึงความรู้สึกที่จะไปด้วยยามแลเห็นความเมตตากรุณาในความทรงจำเมื่อสามคืนบัดนี้กลับเหลือเพียงไดรฟ์ธุลีในโถกระดูก นางรู้สึกร้อนวาบที่ขอบตา คุณสามารถใช้แห้งผากราวกับถูกคลื่นอารมณ์โหมซัดจนทรงตัวไม่อยู่สายตาของนางตวัดขึ้นไปมองเป็นหลักในอาภรณ์สีแดงเข้มลงไปที่ความหนาเนื้อดีปักลงไปในสีดำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อดูผลของอาภรณ์สีสดเปลวย่างสมุนไพรที่ทำให้ดูโดดเด่นและสูงส่งทว่าชาเย็นยากที่สามารถนำมาใช้เป็นองครักษ์ผู้เชี่ยวชาญของใครหรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้นบุ๋น...“นั่นเป็นพี่ใหญ่ของฉันหรือ?”น้ำเสียงของนางเบาหวิว แต่กลับมาอีกครั้งของความสั่นไหวยามเอ่ยถามออกไปญาติๆ ต่อเนื่องคนในดินแดนชาติใหม่อีกครั้งพร
ตอนที่3||ข้าขอใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณ!ซึ่งตลอดเวลาที่เด็กสาววัยสิบสามปีกำลังนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองเฝ้าอยู่หน้าหลุมศพครอบครัวของนางทั้งห้าหนุ่มจากช่วงสายจนถึงมืดค่ำ ซ่งไป๋เซียวกับคนของเขาทั้งหกคนล้วนไม่มีใครจากไปไหนจนบัดนี้มืดค่ำชาวบ้านทั้งหลายกลับบ้านเรือนของพวกเขาไปหมดแล้ว ซ่งไป๋เซียวจึงคิดว่ามันสมควรที่เขาจะส่งนางกลับเรือนได้แล้ว เขาก้าวเข้าไปหยุดยืนเคียงข้างร่างเล็กๆ ตรงหน้าหลุมศพ ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น"ค่ำแล้วกลับเรือนเถอะ"พอเขาเอ่ยเตือน อาหลีจึงค่อยนึกได้ว่าตลอดเวลา บุรุษที่บอกกับนางว่าเขาคือ สหาย ของหลินลู่เฟย นามว่าซ่งไป๋เซียว หรือท่านหมอซ่งยังไม่ไปไหน"ท่านหมอซ่งเชิญกลับไปก่อนได้เลย หมู่บ้านนี้สำหรับข้าไม่มีอันตรายข้าเกิดและเติบโตที่นี่"เพราะช่วงสามวันมานี้นางทราบว่าท่านหมอซ่งกับคนของเขาพักผู้ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน (หลี่ฉาง) = (里長) ซึ่งอยู่ไกลกว่าเรือนของนางให้เขาเดินทางมืดค่ำ คงดูไม่ดี"คงไม่ได้ ข้าไม่วางใจ อย่างไรเจ้าก็เป็นเด็กสาว ยิ่งเจ้าอยู่ตัวคนเดียวใจคนยากแท้หยั่งถึง"ฟังคำเตือนของท่านหมอซ่ง หลินหลีฮวาก็คิดตามไปด้วยทบทวนครู่หนึ่งนางจึงขยับกายจัดข้าวของลงตะกร้าจ
ตอนที่4||สู่ขออย่างสมเกียรติลมหนาวพัดโชยไปทั่วหมู่บ้านถงหลัว บรรยากาศยังคงสงบราบเรียบเช่นทุกวันที่ผันผ่าน ตามประสาหมู่บ้านเล็กในเมืองติดชายแดนเช่นหยางโจว หลังจากวันที่ซ่งไป๋เซียวพูดคุยเกลี้ยกล่อมจนหลินหลีฮวายอมรับปากจะแต่งงานกับเขา ท่านหมอซ่งก็หายไปราวสามวันพอตกสายของวันที่ห้าหมู่บ้านถงหลัวที่เคยเงียบสงบกลับคึกคักขึ้นมาเมื่อขบวนรถม้าหรูหราเดินทางมาหยุดที่ลานหน้าศาลากลางหมู่บ้านซึ่งเป็นจวนของหัวหน้าหมู่บ้านติง"เฮ้ย นั่นมันตราประจำตัวของผู้ว่าการเมืองหยางโจวใช่หรือไม่?"ท่านป้าผู้หนึ่ง ที่ออกมาร่วมดูชมขบวนรถม้าหรูหรา เพราะอาจจะเท่าชีวิตของนาง ห้าสิบปียังไม่เคยพบเห็นขบวนรถม้าหรูหรายิ่งใหญ่ผ่านเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน"ใช่แล้ว! ท่านผู้ว่าการฮั่นเป็นคนสำคัญของเมืองหยางโจวเชียวนะ แล้วเข้ามาทำอะไรในหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเราทำไมกัน?"บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผู้คนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบด้วยความสงสัยไม่คลาย"ได้ยินมาว่าวันนี้ท่านหมอซ่งที่มาส่งอัฐิของอาลู่เขาจะมาสู่ขออาหลี…"แล้วก็มีท่านลุงผู้หนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับบ้านเว่ยที่เป็นช่างไม้เอ่ยขึ้นและเพียงเท่านั้นข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วหม
ตอนที่ 5||พิธีสมรสหน้าป้ายวิญญาณเวลาเจ็ดวันผ่านไปรวดเร็วยิ่งและแล้วฤกษ์มงคลก็มาถึงในวันนี้อากาศแจ่มใสท้องฟ้ากระจ่างแสงแดดอ่อนต้นยามเฉินสาดส่องลงมายังพื้นปฐพี ทุกชีวิตในหมู่บ้านถงหลัวต่างมารวมตัวกันที่เรือนสกุลหลินเพื่อเป็นสักขีพยานให้กับคู่บ่าวสาวในงานสมรสวันนี้ตามธรรมเนียมของชาวต้าฉู่แล้ว หญิงสาวผู้เป็นเจ้าสาวต้องสวมชุดแต่งงานสีแดงเข้ม ปักลวดลายนกยวนยางอันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดีและความเจริญรุ่งเรืองหากเป็นคู่แต่งงานเป็นชาวบ้านทั่วไป ส่วนเจ้าสาวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ลวดลายที่ปักจะเป็นสงห์ ดังนั้นชุดที่หลินหลีฮวาสวมจะมิได้หรูหราดังเช่นของคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผ้าเนื้อดีสีแดงสดนี้ก็เป็นผ้าไหมที่ซ่งไป๋เซียวจัดหามาให้ ลวดลายที่ปักยังเป็นช่างมากฝีมืออันหนึ่งในหยางโจวอีกด้วย เวลาเพียงสิบเอ็ดวันก็เสร็จเรียบร้อย หากไม่มีเงินยากนักที่จะทำได้เช่นนี้ทำเอาสตรีภายในหมู่บ้านถงหลัวล้วนตื่นตาตื่นใจและมีหลายคนรู้สึกริษยาเจ้าสาวขึ้นมา แต่ก็เพียงส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ก็ล้วนยินดีไปกับอาหลี เด็กน้อยชะตาอาภัพกันทั้งสิ้น ชุดแต่งงานว่างดงามแล้วแต่ด้วยกิริยาสงบนิ่งเกินอายุของหลินหลีฮวากลับทำให้นางงามสง่าไม่แพ้สตรีชั
ตอนที่ 6 || เดินทางกลับเมืองหลวงสรุปแล้วคืนนั้นก็จบลงที่ต่างเมาแล้วเผลอหลับกันที่สุสานกันทั้งคู่ พอรุ่งเช้าซ่งไป๋เซียวนั้นร่างกายแข็งแรงย่อมไม่มีผลอันใด ทว่าเด็กสาวเช่นหลินหลีฮวาต่างออกไปเพราะแต่เดิมร่างนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ตากน้ำค้างทั้งคืน พอถึงยามเช้าเลยป่วยมีไข้เสียแล้ว เป็นอันว่ากำหนดเดินทางกลับเมืองหลวงจึงต้องเลื่อนออกไปอีกสามวันพอรุ่งอรุณของวันที่สี่หลังพิธีแต่งงานมาเยือน หมอกบางลอยเรี่ยอยู่เหนือแนวป่า เสียงนกร้องแว่วมาแต่ไกล สายลมเย็นพัดผ่านเรือนเล็กของอาหลีที่บัดนี้ไม่มีความเงียบสงัดดังเคยเพราะวันนี้มีรถม้ากับคนของซ่งไป๋เซียวร่วมเจ็ดสิบชีวิตมารวมตัวกันและใช่วันนี้เป็นวันที่ซ่งไป๋เซียวจะพาหลินหลีฮวาหรืฮูหยินท่านหมอซ่งกำลังจะออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงแล้วหลินหลีฮวาออกมายืนอยู่หน้าประตูเรือน ดวงตาจับจ้องไปยังขบวนม้าที่จอดเรียงรายอยู่เบื้องหน้า รถม้าคันใหญ่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนางและอาจ้าน ขณะที่เหล่าองครักษ์ในชุดเกราะหนังสีเข้มยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นถึงความเป็นระเบียบแบบแผนของกองคุ้มกันนี้นี่แท้จริงซ่งไป๋เซียวเป็นหมอหลวงแน่หรือ?สงสัยแต่นางยังไม่กล้
ตอนที่7|| เรือนอวี้หลันของพวกเราทันทีที่ก้าวผ่านประตูใหญ่และเหล่าคนรับใช้ส่วนหนึ่งที่ตั้งแถวต้อนรับคุณชายรอง อาหลีก็กวาดสายตาสังเกตรอบข้างเงียบงัน นางสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่กว้างขวางของจวนแห่งนี้ เพราะจวนซ่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบ เรือนสี่ประสาน หรือ ซื่อเหอย่วน (四合院) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดินแดนจงหยวนของขุนนางชั้นสูง ภายในประกอบด้วยเรือนหลักและเรือนรองที่เชื่อมต่อกันล้อมรอบลานกว้างตรงกลางพื้นทางเดินปูด้วยหินแกรนิตสีเทาเรียบสนิท บรรยากาศสงบและเข้มขลัง เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจะเห็นอาคารเรือนใหญ่ที่หลังคามุงกระเบื้องเขียวสลับฟ้า ตัดกับเชิงชายไม้ที่แกะสลักลวดลายเมฆมงคลอย่างวิจิตร เสาไม้ขนาดใหญ่ถูกสลักงดงาม ตัดกับคานไม้สีทองอร่าม แสดงถึงความมั่นคงของจวนขุนนางเสียงรองเท้าของบ่าวไพร่ที่สวมรองเท้าผ้าดังก้องบนพื้นหิน พวกเขาล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน บ้างถือพัด บ้างถือถาดน้ำชาเดินสวนกันไปมาอย่างเป็นระเบียบ แต่พอพวกเขาแลเห็นคุณชายรองต่างก็ก้มศีรษะและโค้งกายทำความเคารพบ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยลอบมองอาหลีด้วยความอยากรู้ ต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา บางคนอดใจไม่ไหวก็ถึงกับแอบไปสอบถาม
ตอนที่8|| นี่หรือพ่อสามีภายในห้องโถงใหญ่ของจวนเสนาบดีสกุลซ่ง บรรยากาศตึงเครียดจนแทบไม่มีผู้ใดกล้าหายใจแรง หลังจาก คนสนิทของใต้ซ่งผู้นำตระกูลในขณะนี้เข้าไปแจ้งกับนายท่านของเขาว่าบัดนี้ท่านหมอซ่งหรือคุณชายรองซ่งมาขอพบพร้อมกับฮูหยิน ไม่นานเขาก็อนุญาตให้บุตรชายคนรองของตนเองเข้าพบได้"ให้มันเข้ามา!"บุรุษหนุ่มใหญ่นั่งอยู่บนแท่นสูงเอ่ยออกไป ใบหน้าของเขามืดครึ้มดุจพายุคลั่ง ดวงตาเฉียบคมเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด บนโต๊ะไม้แกะสลักอันวิจิตรถูกปกคลุมไปด้วยเอกสารราชการที่ถูกเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้านหลังบุรุษวัยสี่สิบปลาย ๆ ผู้มีตำแหน่งสูงส่ง แผ่นหลังตั้งตรงราวกับไม้สน แม้จะอายุไม่น้อยแต่ยังคงแข็งแกร่งและทรงอำนาจเสียงฝีเท้าดังขึ้นเมื่อซ่งไป๋เซียวก้าวเข้ามาในห้องโถง พร้อมกับ หลินหลีฮวา ที่เดินตามมาด้วยกิริยาสงบนิ่ง แม้จะต้องเผชิญกับสายตากดดันของขุนนางใหญ่แห่งแผ่นดิน แต่เด็กสาวเพียงค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงข้าง ๆ สามีของตนแต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เอ่ยสิ่งใด เสียงของซ่งป๋อเหยียนก็กระแทกก้องห้องโถง"เจ้าหายหัวไปสามเดือน! พอกลับมาเจ้ากลับพาเด็กสาวที่ใดก็ไม่รู้มาเป็นสะใภ้ของสกุลซ่ง!?"ซ่ง
ตอนที่ 14|| พี่สะใภ้เฉา ที่คิดไม่ซื่อกับน้องสามีเช้าตรู่ของจวนสกุลซ่ง แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านบางของเรือนอวี้หลัน ลมเย็นพัดพากลิ่นหอมของดอกอวี้หลันที่กำลังผลิบานให้ลอยฟุ้งทั่วบริเวณ หลินหลีฮวายืนอยู่บนระเบียง พลางทอดสายตามองสวนเล็ก ๆ ที่ถูกจัดไว้อย่างประณีตหลังจากแต่งเข้าจวนสกุลซ่งในฐานะ ‘ฮูหยินรอง’ ของบ้านรองของท่านหมอซ่ง นี่เป็นเช้าวันแรกที่นางตื่นขึ้นมาในฐานะภรรยาของซ่งไป๋เซียว เมื่อคืนหลังจากดื่มน้ำชาแล้วเผลอหลับไป คงถูกซ่งไป๋เซียวอุ้มมาส่งที่ห้องนอน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบสามีตามประเพณีและกฎหมายของต้าฉู่เสียแล้ว ฟังจากอาจิ่วกับอาหนิว ท่านหมอซ่งออกไปโรงหมอหลวงตั้งแต่ปลายยามอิ๋น (*ยามอิ๋น (寅 yín) = 03.00 - 04.59 น.)ดังนั้นขณะนี้เรือนอวี้หลันจึงเหลือเพียงนาง สาวใช้ บ่าวไพร่สิบกว่าคน และแมวน้อยหนึ่งตัว ใต้เท้าซ่งไม่ยอมรับนางเป็นสะใภ้ การคารวะยามเช้าจึงถูกตัดออกไป ส่วนฮูหยินซ่งก็บอกกับนางตั้งแต่หัวค่ำหลังจบมื้อค่ำว่าไม่เคร่งครัดเรื่องนี้ ให้นางพักผ่อนไปก่อน เรื่องคารวะเอาไว้ให้นางปรับตัวได้จึงค่อยว่ากัน‘เช่นนั้นวันนี้ข้าอยู่เงียบ ๆ น่าจะดีที่สุด’แต่ยังไม่ทันที่นางจะซึมซับความสงบ
ตอนที่ 13 || คืนแรกในจวนสกุลซ่งของอาหลีกับอาจ้านหลินหลีฮวาไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตนเองถูกสตรีอื่นหมายหัว นางกำลังเตรียมตัวเข้านอนในค่ำคืนแรกภายในจวนสกุลซ่ง ไหนเลยจะคิดไปถึงผู้อื่นหรือเรื่องไกลตัวบรรยากาศรอบบ้านรอง หรือเรือน อวี้หลัน เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ดวงจันทร์ทอแสงอ่อนโยนลอดผ่านหน้าต่างกระดาษสา สาดส่องลงบนพื้นไม้ขัดเงา เสียงลมพัดแผ่วทำให้ม่านแพรบางไหวระริก กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกอวี้หลันโชยมาแตะจมูก ราวกับต้องการกล่อมผู้ที่อยู่ภายในให้เข้าสู่ห้วงนิทราทว่า..."เฮ้อ..."เด็กสาวพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง พลางถอนหายใจเบา ๆ นางรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะยังแปลกที่กระมังหลังอาบน้ำและแต่งกายเรียบร้อย นางก็บอกให้สองสาวใช้ อาจิ่วกับอาหนิว กลับไปพักผ่อนได้ นางไม่ชอบให้ใครคอยดูแลมากเกินไป และไม่ต้องการรบกวนเวลาพักของพวกนาง แต่พออยู่เพียงลำพังในห้องกว้างขวางนี้แล้ว กลับรู้สึกไม่คุ้นชินเลยในอดีต สมัยยังเป็นท่านหญิง นางอาศัยอยู่ในตำหนักกว้างใหญ่หรูหรา แต่กลับรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงคนแปลกหน้าภายในตำหนักนั้นเสียมากกว่า... ตรงกันข้ามกับเรือนเล็ก ๆ ที่หมู่บ้านถงหลัว แม้จะสมถะเรียบง่าย แต่กล
ตอนที่ 9 || พบมารดาเลี้ยงสามีใจประเสริฐหลังจากเสร็จสิ้นพิธียกน้ำชาคารวะใต้เท้าซ่ง แต่กลับต้องเทน้ำชาทิ้ง ซ้ำยังถูกบิดาสามีขับไล่ออกมาอีกด้วย ซ่งไป๋เซียวก็พาหลินหลีฮวาเดินลัดเลาะผ่านโถงทางเดินของจวนซ่งมายังเรือนที่อยู่อีกด้านของเรือนชิงมู่"ท่านหมอซ่ง เรากำลังจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" อาหลีเอ่ยถาม นางยังคงสลัดบรรยากาศตึงเครียดจากการพบใต้เท้าซ่งเมื่อครู่ไม่หมด จึงอดกังวลไม่ได้ว่าตนจะต้องไปพบผู้ใดอีกเพิ่งมาถึงก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ อาหลีก็เริ่มรู้สึกท้อขึ้นมาบ้าง ซ่งไป๋เซียวเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบเมื่อเห็นแววตาอ่อนล้าของเด็กสาว"ไปพบมารดาเลี้ยงของข้า นางคือฮูหยินเอกของใต้เท้าซ่ง แต่นางไม่เหมือนใต้เท้าซ่ง"อาหลีชะงักเล็กน้อย ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ"มารดาเลี้ยงของท่าน?"เด็กสาวถามย้ำออกไป เพราะปกติแล้วฮูหยินเอกมักอยู่เรือนหลักมิใช่หรือ เหตุใดจึงแยกเรือน? แต่คิดไปคิดมา หลินหลีฮวาก็ไม่กล้าถามออกไปทั้งหมด"ท่านแม่ใหญ่นางแต่งเข้ามา แต่มิอาจตั้งครรภ์ได้ นางจึงได้ยกท่านแม่ของข้าที่เป็นน้องสาวต่างมารดาขึ้นมาเป็นอี๋เหนียง เพื่อรักษาฐานะฮูหยินเอกของตนเอาไว้"ซ่งไป๋เซียวเอ่ยเล่าเส
ตอนที่ 10 || อาหารมื้อแรกในจวนสกุลซ่ง(ตรวจคำผิดแล้ว)บรรยากาศในเรือนของฮูหยินซ่งอบอุ่นและสงบเงียบ ต่างจากเรือนหลักโดยสิ้นเชิงหลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ฮูหยินซ่งก็สั่งให้สาวใช้จัดสำรับอาหารเผื่อซ่งไป๋เซียวและหลินหลีฮวาด้วย"พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาไกล ต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย นั่งพักก่อนเถอะ สำรับอาหารใกล้จะเสร็จแล้ว วันนี้กินข้าวกับแม่ใหญ่สักมื้อ" ฮูหยินซ่งเอ่ยชวนเรียบง่าย"ขอบพระคุณท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ"อาหลีค้อมกายรับอย่างนอบน้อมไม่นานนัก บ่าวไพร่ก็นำสำรับอาหารมาจัดวางลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีที่ตั้งอยู่กลางห้อง อาหารแต่ละจานถูกจัดวางเรียบร้อย ดูเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน กลิ่นหอมของ ซุปไก่ตุ๋นยาจีน ลอยกรุ่น เคียงข้างด้วย เนื้อเป็ดรมควันชิ้นหนา ผัดผักรวมหลากสี และปลานึ่งซีอิ๊วที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนหลินหลีฮวาลอบมองอาหารตรงหน้าด้วยความเงียบงันต้องยอมรับว่าอาหารที่นี่ดูดีกว่าที่นางเคยกินในหมู่บ้านถงหลัวมากนัก แต่ถึงกระนั้น อาหารเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงอาหารธรรมดาของจวนสกุลซ่ง หาใช่อาหารชั้นสูงของราชสำนัก และยิ่งไม่ใกล้เคียงอาหารของเผ่าเจียง"มื้อนี้เป็นเพียงอาหารง่าย ๆ แต่ล้วนเป็นของสดใหม่ที่แม่ใหญ่ให้
ตอนที่ 12 || ท่านแต่งกับนางเพื่อประชดข้าใช่หรือไม่หลังจากซ่งไป๋เซียวก้าวออกจากเรือนอันเล่อหลังเสร็จสิ้นการสนทนากับพี่ชาย แม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉยดังเดิม แต่ในดวงตากลับฉายแววเบื่อหน่ายและระอา"ไป๋ซั่วผู้นี้อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้..." เขาพึมพำเบา ๆ บ่นให้กับพี่ชายที่ปีนี้อายุยี่สิบสอง ไม่พอ ยังเป็นถึงราชเลขาแล้วแท้ ๆ แต่กลับเอาแต่โวยวาย หากมีใครมาเห็นเข้า จะคิดอย่างไร...บ่นไปพลาง ก้าวเท้าเตรียมมุ่งหน้ากลับบ้านรองของตนเองไปพลาง แต่ทันทีที่ซ่งไป๋เซียวก้าวพ้นประตูเรือน ก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นร่างของสตรีผู้หนึ่งยืนรออยู่เฉาหลิงเอ๋อสตรีที่เคยเป็นคนรักของเขาเมื่อสองปีก่อน และบัดนี้... นางกลายเป็นภรรยาของพี่ชายเขาไปแล้วซ่งไป๋เซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขาว่างเปล่าไร้อารมณ์ ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอย่างเย็นชา"เจ้ามารอพบข้าทำไม?" น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ไม่แสดงความยินดีหรือโกรธเคืองแม้จะไม่ได้พบกันเกือบหนึ่งปีเฉาหลิงเอ๋อกัดริมฝีปากแน่น นางพยายามสงบใจ แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจของนางกลับปวดร้าวยิ่งนัก"ท่านกลับมาแล้วจริง ๆ" นางเอ่ยเบา ๆ"ใช่ ข้ากลับมาแล้ว
ตอนที่ 11 || พูดคุยตามประสาพี่น้อง(ตรวจคำผิดแล้ว)หลังจากส่งอาหลีที่เรือนแล้ว ซ่งไป๋เซียวจึงตรงไปหาซ่งไป๋ซั่วทันที ขณะนี้เป็นเวลาปลายยามซวี แต่ภายในจวนสกุลซ่งกลับเงียบสงัด ทว่าภายในเรือนอันเล่อของคุณชายใหญ่ยังคงมีแสงไฟส่องสว่างตัดกับความมืดของราตรีซ่งไป๋เซียวก้าวเข้าไปในเรือนอย่างเงียบเชียบ บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนอันเล่อเมื่อเห็นเขาก็รีบค้อมตัวทำความเคารพ ก่อนจะผลักบานประตูให้เปิดออก"ท่านราชเลขารออยู่ที่ห้องหนังสือ เชิญขอรับ ท่านหมอซ่ง"ซ่งไป๋เซียวไม่ตอบอะไร ทำเพียงก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล ภายในห้องโถงตกแต่งเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายอำนาจ หนังสือและรายงานกองเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะไม้สลักลวดลายดอกโบตั๋น เสียงพู่กันขูดกระดาษดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้า เขาอยู่ในชุดขุนนางเต็มยศสีดำขลับ คาดว่าหลังกลับจากวังหลวงก็ตรงเข้ามาทำงานต่อในห้องหนังสือเลย ไม่ได้แวะไปที่ใด คิ้วเรียวของคนผู้นี้ได้รูป สายตาคมกริบดุจคมดาบ แม้ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับหนักอึ้งราวกับสามารถบดขยี้ผู้คนได้ในพริบตาคนผู้นี้คือ... ซ่งไป๋ซั่วราชเลขาหนุ่มวัยยี่สิบสองปี ผู้กุมอำนาจในราช
ตอนที่ 15|| ท่านหมอซ่งชื่นชมอาหลีในใจกลางยามเฉิน ภายในโรงหมอหลวง ซ่งไป๋เซียวยังคงง่วนอยู่กับการจัดเรียงตำราแพทย์บนโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ แสงแดดอ่อนยามสายสาดผ่านหน้าต่างกระดาษสา ทาบลงบนเอกสารรายงานการรักษาผู้ป่วยที่กองสูงเป็นตั้ง เขาพลิกกระดาษอย่างแผ่วเบา สายตากวาดมองข้อมูลอย่างรวดเร็วแต่เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้นด้านหลัง ซ่งไป๋เซียวไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขารู้ดีว่าเป็นผู้ใด"ท่านหมอซ่ง"เงาร่างของบุรุษในอาภรณ์สีกลมกลืนไปกับชาวบ้านทั่วไปปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู เกาหานค้อมกายประสานมืออย่างนอบน้อม แววตาแน่วแน่และเคร่งขรึม"มีเรื่องใด?" ซ่งไป๋เซียวถามโดยไม่ละสายตาจากเอกสาร"ข้านำข่าวจากจวนมารายงานขอรับ"ซ่งไป๋เซียวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้เกาหานรายงานต่อ"วันนี้สะใภ้ใหญ่เฉาเชิญฮูหยินรองไปพบที่เรือนฉางเล่อขอรับ"ทันทีที่ได้ยินชื่อ "เฉาหลิงเอ๋อ" มือที่ถือพู่กันของซ่งไป๋เซียวพลันหยุดชะงักไปเสี้ยววินาที ดวงตาที่เคยสงบนิ่งคล้ายฉายแววเย็นเยียบขึ้นโดยไม่รู้ตัว‘เฉาหลิงเอ๋อ...’หญิงผู้นี้มาพบอาหลี จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ล้วนไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็กสาวแน่"แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?" น้ำเส
ตอนที่8|| นี่หรือพ่อสามีภายในห้องโถงใหญ่ของจวนเสนาบดีสกุลซ่ง บรรยากาศตึงเครียดจนแทบไม่มีผู้ใดกล้าหายใจแรง หลังจาก คนสนิทของใต้ซ่งผู้นำตระกูลในขณะนี้เข้าไปแจ้งกับนายท่านของเขาว่าบัดนี้ท่านหมอซ่งหรือคุณชายรองซ่งมาขอพบพร้อมกับฮูหยิน ไม่นานเขาก็อนุญาตให้บุตรชายคนรองของตนเองเข้าพบได้"ให้มันเข้ามา!"บุรุษหนุ่มใหญ่นั่งอยู่บนแท่นสูงเอ่ยออกไป ใบหน้าของเขามืดครึ้มดุจพายุคลั่ง ดวงตาเฉียบคมเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด บนโต๊ะไม้แกะสลักอันวิจิตรถูกปกคลุมไปด้วยเอกสารราชการที่ถูกเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี ด้านหลังบุรุษวัยสี่สิบปลาย ๆ ผู้มีตำแหน่งสูงส่ง แผ่นหลังตั้งตรงราวกับไม้สน แม้จะอายุไม่น้อยแต่ยังคงแข็งแกร่งและทรงอำนาจเสียงฝีเท้าดังขึ้นเมื่อซ่งไป๋เซียวก้าวเข้ามาในห้องโถง พร้อมกับ หลินหลีฮวา ที่เดินตามมาด้วยกิริยาสงบนิ่ง แม้จะต้องเผชิญกับสายตากดดันของขุนนางใหญ่แห่งแผ่นดิน แต่เด็กสาวเพียงค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงข้าง ๆ สามีของตนแต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เอ่ยสิ่งใด เสียงของซ่งป๋อเหยียนก็กระแทกก้องห้องโถง"เจ้าหายหัวไปสามเดือน! พอกลับมาเจ้ากลับพาเด็กสาวที่ใดก็ไม่รู้มาเป็นสะใภ้ของสกุลซ่ง!?"ซ่ง
ตอนที่7|| เรือนอวี้หลันของพวกเราทันทีที่ก้าวผ่านประตูใหญ่และเหล่าคนรับใช้ส่วนหนึ่งที่ตั้งแถวต้อนรับคุณชายรอง อาหลีก็กวาดสายตาสังเกตรอบข้างเงียบงัน นางสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่กว้างขวางของจวนแห่งนี้ เพราะจวนซ่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบ เรือนสี่ประสาน หรือ ซื่อเหอย่วน (四合院) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดินแดนจงหยวนของขุนนางชั้นสูง ภายในประกอบด้วยเรือนหลักและเรือนรองที่เชื่อมต่อกันล้อมรอบลานกว้างตรงกลางพื้นทางเดินปูด้วยหินแกรนิตสีเทาเรียบสนิท บรรยากาศสงบและเข้มขลัง เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจะเห็นอาคารเรือนใหญ่ที่หลังคามุงกระเบื้องเขียวสลับฟ้า ตัดกับเชิงชายไม้ที่แกะสลักลวดลายเมฆมงคลอย่างวิจิตร เสาไม้ขนาดใหญ่ถูกสลักงดงาม ตัดกับคานไม้สีทองอร่าม แสดงถึงความมั่นคงของจวนขุนนางเสียงรองเท้าของบ่าวไพร่ที่สวมรองเท้าผ้าดังก้องบนพื้นหิน พวกเขาล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน บ้างถือพัด บ้างถือถาดน้ำชาเดินสวนกันไปมาอย่างเป็นระเบียบ แต่พอพวกเขาแลเห็นคุณชายรองต่างก็ก้มศีรษะและโค้งกายทำความเคารพบ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยลอบมองอาหลีด้วยความอยากรู้ ต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา บางคนอดใจไม่ไหวก็ถึงกับแอบไปสอบถาม