แชร์

บทที่185 ผงบนเสื้อผ้า

ผู้เขียน: ม่อเยี่ยน
อวิ๋นฉ่ายตกใจมาก

“พระสนม เสี่ยวหนานเฟิงเป็นอะไรเจ้าคะ?”

ยายหลี่ก็เสียสติไปชั่วขณะ

“นี่มันอะไรกัน เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย”

เสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้โวยวายหนักขึ้น และดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของ

อินชิงเสวียน

“ไม่ร้องนะ เด็กดี!”

อินชิงเสวียนปลอบเสี่ยวหนานเฟิงไปด้วย พลางมองตุ่มสีแดงบนตัวของเขาอย่างใจเย็น

นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าเย่ไห่ถังทำอะไรลงไป?

นางไม่ใช่สนมในวังหลัง แทบไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

เมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่มีอาการแดงขึ้นของเสี่ยวหนานเฟิง ในใจของอินชิงเสวียนก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

“อวิ๋นฉ่าย เจ้ารีบไปแจ้งให้ทหารองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตู รีบให้พวกเขาไปตามหมอหลวง”

อวิ๋นฉ่ายตอบรับ และวิ่งไปยังด้านนอก

เสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเขาเจ็บหรือคันกันแน่ แต่เพียงครู่เดียว ผิวหนังทุกส่วนบนร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและร้อนขึ้นมาก

“เหมือนลูกจะตัวร้อนขึ้น แบบนี้ควรทำอย่างไรดี?”

ยายหลี่สงสารเด็กน้อย น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา

อินชิงเสวียนเกิดความสับสนในใจ พูดตำหนิเสียงแข็ง “ร้องไห้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร รีบช่วยกันคิดว่าใครโดนตัวเด็กบ้า
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่186 ความโกรธของฮ่องเต้

    เย่จิ่งอวี้เดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว และคว้าข้อเท้าของเสี่ยวหนานเฟิงไว้ด้วยมือที่ใหญ่และข้อต่อที่เด่นชัดของเขา“อย่ามัวโอ้เอ้ รีบฝังเข็มเข้าสิ ร้องสักหน่อยคงไม่เป็นไร ชีวิตสำคัญกว่ามาก!” “พ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเหลียงหยิบเข็มเงินออกมา และทิ่มลงไปบนเนื้อที่อ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิงเด็กน้อยร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งในทันที ลิ้นสีชมพูสั่นในปากของเขา และน้ำตาก็ไหลออกมาขนานกันสองข้างหัวใจอินชิงเสวียนแทบสลาย นางรู้สึกหน่วงที่จมูก น้ำตาก็ไหลออกมาในที่สุดนางก็เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ ขอเพียงเสี่ยวหนานเฟิงหายดี นางยอมทำทุกอย่างเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงบนหน้าอกของเสี่ยวหนานเฟิง ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมขึ้นมาก“ยังต้องเจาะอีกนานเท่าใด?”“ใกล้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหลืออีกหนึ่งเข็ม”หมอหลวงเหลียงหยิบเข็มเงินขึ้นมาด้วยความสั่น และเจาะเข้าไปที่จุดถันจงของเสี่ยวหนานเฟิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์จากการฝังเข็ม หรือเสี่ยวหนานเฟิงที่ร้องไห้จนเหนื่อย เสียงเริ่มค่อยๆ เงียบลงอินชิงเสวียนตกใจมาก รีบไปตรวจดูลมหายใจของเสี่ยวหนานเฟิงโชคดี ยังหายใจอยู่เย่จิ่งอวี้ก็ปล่อยมือลงอย่างช้าๆ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่187 อย่ากลัวข้าอยู่นี่

    ไทเฮาตกใจอย่างมาก นางตบโต๊ะหนึ่งฉาดและพูดขึ้นด้วยความโมโห “บังอาจนัก พวกเจ้ากล้าลงไม้ลงมือในตำหนักฉือหนิง หรือว่ามองไม่เห็นหัวข้าแล้ว?”ผู้เป็นหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท เหล่ากระหม่อมเพียงทำตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ นำตัวไป!” พวกเขาหิ้วตัวของหลิวหมัวมัวออกไปจากตำหนักฉือหนิงทันทีไทเฮารีบตามออกมาในทันใด “บ่าวจอมโอหัง พวกเจ้าคิดก่อกบฏงั้นหรือ?”ทหารองครักษ์แทบไม่สนใจนาง ลากตัวของหลิวหมัวมัวไปราวกับลากสุนัขที่ตายแล้วไทเฮาตัวเซ และเกือบล้มลงกลางตำหนักชุยไห่รีบเข้ามาพยุงนางไว้ “ไทเฮา ระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮารีบพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ยังต้องระวังอะไรอีก รีบตามข้าไปที่ตำหนักจินหวู”หลิวหมัวมัวคอยติดตามรับใช้นางตั้งแต่ยังเล็ก เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงสี่สิบปีแล้ว จะไม่สนใจได้อย่างไรฝีเท้าของเหล่าทหารองครักษ์ว่องไวมาก เมื่อไทเฮาเสด็จออกมาจากพระตำหนัก ก็ไม่พบเงาของผู้ใดเลยในตำหนักจินหวู เหล่านางสนมยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นดวงอาทิตย์ที่แผดเผากำลังสาดส่องพวกนาง แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำลู่จิ้งเสียนกลับยิ่งร้อนรนเป็นอย่างมาก นางออกแรงกำผ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่188 เจ้าจะพาลูกไปที่ใด

    อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา สูดลมหายใจเข้าและถามว่า “ลูก... จะไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม?”เย่จิ่งอวี้เพิ่งเคยเห็นอินชิงเสวียนเป็นเช่นนี้ครั้งแรก เมื่อก่อนนางมักจะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและวิธีการ วันนี้กลับบอบบางและซีดเซียว อ่อนแอราวกับดอกไม้ที่ละเอียดอ่อน ช่างน่าสงสารยิ่งนักความอ่อนโยนในใจของเย่จิ่งอวี้ถูกสัมผัสได้ในทันที เขาอดไม่ได้ที่จะอ้าแขนออกกว้าง และโอบอินชิงเสวียนไว้ในอ้อมอกลดสายตาลงแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่าไม่เป็นไร เสี่ยวหนานเฟิงก็จะต้องไม่เป็นไร”กลิ่นดอกไม้ที่หอมจางๆ พุ่งเข้าสู่จมูกของนาง เมื่อมองไปที่คอเสื้อปักเงินอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า อินชิงเสวียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วผลักเย่จิ่งอวี้ออกไป“ฝ่าบาท... คือว่า... ตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ฝ่าบาทกลับไปปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”นางลุกขึ้นจากเตียงด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตื่นตระหนกเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไม่ไป คืนนี้ข้าจะอยู่ที่ตำหนักจินหวู”อินชิงเสวียนหันหลังและพูดว่า “เสี่ยวหนานเฟิงป่วยอยู่ ฝ่าบาททรงอยู่ที่นี่ กระหม่อมเกรงว่าจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง”“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าดูแล เจ้าดูแลลูกให

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่189 เจ้าปีศาจตัวน้อย

    เมื่อมองดูดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยเหล่านั้น อินชิงเสวียนหายใจเล็กน้อยแล้วรีบก้มศีรษะลง“กระหม่อมอยากอาบน้ำให้เสี่ยวหนานเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเตียง พลางตำหนิเสียงต่ำ “ไร้สาระ ลูกยังนอนหลับอยู่ จะอาบน้ำได้อย่างไร?”อินชิงเสวียนไกวเสี่ยวหนานเฟิง และพูดเสียงเบาว่า “กระหม่อมจึงอยากปลุกเสี่ยวหนานเฟิงไงเล่าพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปเห็นไป๋เสวี่ย ขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”ร่างกายที่เหมือนลูกม้าน้อยของไป๋เสวี่ยยืดตรง ยื่นลิ้นใหญ่ไปเลียตุ่มแดงที่ขาของเสี่ยวหนานเฟิงเย่จิ่งอวี้รีบดึงขนบนหัวของไป๋เสวี่ย ตะคอกเสียงเบาว่า “ลุกขึ้น”ไป๋เสวี่ยส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยควานน้อยใจออกมา สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่อินชิงเสวียน“มันคงเป็นห่วงเสี่ยวหนานเฟิง พระองค์อย่าได้ตำหนิมันเลยพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่พูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็ส่งเสียงแปลกใจออกมาส่วนที่โดนไป๋เสวี่ยเลีย จุดแดงก็ค่อยๆ จางลงไปเย่จิ่งอวี้รีบปล่อยมือออกทันที และลูบขนไป๋เสวี่ยสองครั้งอินชิงเสวียนก็เห็นเช่นกัน จึงอดแปลกใจไม่ได้ในเวลาเพียงไม่นาน ตุ่มสีแดงบนข้อเท้าของเสี่ยวหนานเฟิงก็หายวับไปเมื่อเห็นรอย

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่190 ฝ่าบาทคงไม่เป็นสุขแล้วสินะ

    เสี่ยวอานจื่อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์ ไทเฮาเสด็จมาแล้ว”หลี่เต๋อฝูกลัวรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของสามพ่อแม่ลูก จึงรีบดึงตัวเสี่ยวอานจื่อออกมานอกตำหนัก“เช้าขนาดนี้ ไทเฮาเสด็จมาทำอะไร?”“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเห็นท่าทางที่ดุดัน คิดว่าเสด็จมาเพื่อหลิวหมัวมัวขอรับ”เมื่อเสี่ยวอานจื่อพูดจบ เสียงของชุยไห่ก็ดังเข้ามาจากด้านนอก“หลี่เต๋อฝู ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักจินหวู รีบกราบทูลด้วย”ไก่ยังไม่ขัน รอบด้านมีเพียงความเงียบ เสียงพูดจึงดังขึ้นชัดเจนหลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเบาๆ “ชุยไห่ ไอ้เลวระยำหมา พูดเพ้อเจ้ออะไรมากมาย เจ้าออกไปบอกทีสิ ให้ฝ่าบาทบรรทมต่ออีกหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อเพิ่งออกไป เสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ดังออกมาจากในตำหนัก“เรื่องอะไรกัน?”หลี่เต๋อฝูโค้งตัวพูดว่า “ชุยไห่พ่ะย่ะค่ะ บอกว่าไทเฮาอยู่ด้านนอก”เสียงของเย่จิ่งอวี้เข้มขึ้นในทันที“ให้นางรอไปก่อน เข้ามาเปลี่ยนชุดให้ข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาพร้อมกับขันทีตัวน้อยที่กำลังถือเสื้อผ้า และต้องตกใจเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่หน้าเตียงด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง“ฝ่าบาท...”

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 191 ไม่ไปไม่ได้หรือ

    เย่จิ่งอวี้มองลงไปยังไทเฮา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาน่าครั่นคร้าม เขาหรี่ตาลง แสงเยือกเย็นสะท้อนออกมา“ไทเฮาต้องการทำเช่นนี้จริงหรือ”“ข้ามีหลักฐานเป็นประจักษ์ชัดแจ้ง หญิงตระกูลอินที่อยู่ในวังเย็นออกจากตำหนักโดยพลการ ตามความผิดควรต้องโทษประหารชีวิต ที่ฮ่องเต้อ้างเหตุปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าทรงต้องการปกป้องนาง?”ดวงตาของเสนาบดีกวนเมิ่งถิงเป็นประกายวาววับ เดินก้าวออกมากลางท้องพระโรงกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ฝ่าบาทควรเรียกตัวออกมาพิสูจน์ตัวตน เช่นนี้จึงจะช่วยขจัดความสงสัยของไทเฮา และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความหมางใจระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ราชเลขาธิการลู่ทงก็เดินออกไป โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ควรเป็นเช่นนั้น ใช่หรือมิใช่ เพียงดูก็ทราบแล้ว ฝ่าบาทไม่ควรทำลายไมตรีของไทเฮาเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้”สองคนนี้เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ทันทีที่พวกเขาปริปาก ก็มีคนคล้อยตามในทันใด“ฝ่าบาทควรเรียกขันทีน้อยมาถามดู”“ไทเฮาเจตนาดี ไม่ประสงค์ให้ฮ่องเต้ถูกคนชั่วหลอก”“ตระกูลอินเป็นขุนนางต้องโทษของต้าโจว หากเป็นเรื่องจริง ก็สมควรถูกประหาร!”“ฝ่าบาท โปรดเรียกคนมาที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 192 นางเป็นอนุชายาของข้า

    ไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ใช่แล้ว ขันทีน้อยคนนี้คือหญิงตระกูลอินแห่งวังเย็น”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา ดวงตามองจับไปยังอินชิงเสวียน“ข้าบอกว่านางไม่ใช่ นายหญิงของวังเย็นเสียชีวิตจาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หญิงตระกูลอินจะมาที่นี่ได้อย่างไร”ไทเฮาก้าวไปทางอินชิงเสวียน บีบให้จนมุมด้วยเสียงกร้าว “เจ้าเป็นผู้ใด ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ บอกตัวตนของเจ้ามาให้ชัดเจน”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไยไทเฮาจึงบีบเค้นกันถึงเพียงนี้ นอกจากหลานสาวของท่านแล้ว ไทเฮาจะทรงยอมหญิงผู้อื่นไม่ได้หรือเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ไทเฮาก็หัวเราะเสียงดัง พูดกับขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ว่า “พวกท่านคงได้ยินแล้ว นางยอมรับว่านางเป็นหญิง ตระกูลอินสมคบคิดกับศัตรู หญิงตระกูลอินควรถูกประหารไปนานแล้ว บัดนี้กลับใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ ปลอมตัวออกจากวังเย็น เอาเกียรติ์ของราชวงค์ไว้ที่ไหน!”อินชิงเสวียนยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าไทเฮาจะสับสนแล้ว หม่อมฉันเป็นสตรีก็จริง แต่มิใช่หญิงจากตระกูลอิน”ทันทีที่กล่าวคำนี้ บรรดาขุนนางก็เกิดความโกลาหลขันทีน้อยคนนี้เป็นหญิงจริงๆ หรือแต่นางก็บอกว่านางไม่ใช่หญิงตระ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 193 คิดซับซ้อน

    องครักษ์หลายคนมาพาตัวไทเฮากลับไปส่งที่ตำหนักฉือหนิงทันทีเย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา “เลิกประชุม!”ภายใต้พระที่นั่งมังกร ความคิดของอินชิงเสวียนสลับซับซ้อนเหตุใดเย่จิ่งอวี้ถึงช่วยนางขนาดนี้เขาเกลียดตระกูลอินมาโดยตลอดไม่ใช่หรือหรือว่าเขาชอบตัวเองไม่ใช่ๆ นั่นดูไม่น่าเป็นไปได้งั้นต้องเป็นเพราะเขาชื่นชอบเด็กแนน่ๆดูท่าคำกล่าวที่ว่ามารดาเรืองอำนาจเพราะบุตร จะเป็นเรื่องจริง!แต่จะทำอย่างไรต่อไปล่ะหลังจากคืนฐานะแล้ว ตัวนางก็นับว่าเป็นภรรยานางสนมของฮ่องเต้หากไม่ปกปิดตัวตนด้วยฐานะขันที นางก็ไม่สามารถออกจากวังได้เลย ชั่วชีวิตนี้ของนางจะต้องเน่าตายอยู่ในวังไปตลอดอย่างนั้นหรือนอกจากเรื่องที่น่าหงุดหงิดเหล่านี้แล้ว อินชิงเสวียนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางกลัวนั่นคือเย่จิ่งเย่าถ้าเขาโผล่ออกมาชี้ตัวนางจริง นางจะทำเช่นไนดีตอนนี้เย่จิ่งอวี้และไทเฮากำลังแข็งข้อต่อกันอยู่ ยายแม่มดเฒ่าคงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่และแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปรากฏว่ามีฮ่องเต้พระองค์ใดที่ลงโทษประหารชีวิตไทเฮาเลย บัดนี้เย่จิ่งอวี้งัดข้อกับยายแม่มดเฒ่าผู้นั้นเพื่อนาง เกรงว่าจะเป็นที่ครหาของผู้คนเมื่อนึกถึงลูกระ

บทล่าสุด

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1540 สองพระองค์ครองราชย์ จบบริบูรณ์

    ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1539 เสวียนเอ๋อร์ขอบคุณเจ้านะ

    ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1538 ไท่เฟยไท่ผินออกจากวัง

    อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1537 ฮองเฮาทรงมีพระประสูติการ

    เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1536 องค์หญิงกำลังจะเสกสมรส

    ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1535 เหลวไหลจริงๆ

    เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1534 ท่านพี่ช่วยข้าได้ไหม

    “ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1533 เจ้าน่ะ ยังมีนิสัยดื้อรั้นเหมือนเดิม

    “ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1532 คืนชีวิตให้ท่านแล้วจะเป็นไร

    “เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status