เสี่ยวอานจื่อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์ ไทเฮาเสด็จมาแล้ว”หลี่เต๋อฝูกลัวรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของสามพ่อแม่ลูก จึงรีบดึงตัวเสี่ยวอานจื่อออกมานอกตำหนัก“เช้าขนาดนี้ ไทเฮาเสด็จมาทำอะไร?”“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเห็นท่าทางที่ดุดัน คิดว่าเสด็จมาเพื่อหลิวหมัวมัวขอรับ”เมื่อเสี่ยวอานจื่อพูดจบ เสียงของชุยไห่ก็ดังเข้ามาจากด้านนอก“หลี่เต๋อฝู ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักจินหวู รีบกราบทูลด้วย”ไก่ยังไม่ขัน รอบด้านมีเพียงความเงียบ เสียงพูดจึงดังขึ้นชัดเจนหลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเบาๆ “ชุยไห่ ไอ้เลวระยำหมา พูดเพ้อเจ้ออะไรมากมาย เจ้าออกไปบอกทีสิ ให้ฝ่าบาทบรรทมต่ออีกหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อเพิ่งออกไป เสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ดังออกมาจากในตำหนัก“เรื่องอะไรกัน?”หลี่เต๋อฝูโค้งตัวพูดว่า “ชุยไห่พ่ะย่ะค่ะ บอกว่าไทเฮาอยู่ด้านนอก”เสียงของเย่จิ่งอวี้เข้มขึ้นในทันที“ให้นางรอไปก่อน เข้ามาเปลี่ยนชุดให้ข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาพร้อมกับขันทีตัวน้อยที่กำลังถือเสื้อผ้า และต้องตกใจเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่หน้าเตียงด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง“ฝ่าบาท...”
เย่จิ่งอวี้มองลงไปยังไทเฮา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาน่าครั่นคร้าม เขาหรี่ตาลง แสงเยือกเย็นสะท้อนออกมา“ไทเฮาต้องการทำเช่นนี้จริงหรือ”“ข้ามีหลักฐานเป็นประจักษ์ชัดแจ้ง หญิงตระกูลอินที่อยู่ในวังเย็นออกจากตำหนักโดยพลการ ตามความผิดควรต้องโทษประหารชีวิต ที่ฮ่องเต้อ้างเหตุปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าทรงต้องการปกป้องนาง?”ดวงตาของเสนาบดีกวนเมิ่งถิงเป็นประกายวาววับ เดินก้าวออกมากลางท้องพระโรงกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ฝ่าบาทควรเรียกตัวออกมาพิสูจน์ตัวตน เช่นนี้จึงจะช่วยขจัดความสงสัยของไทเฮา และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความหมางใจระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ราชเลขาธิการลู่ทงก็เดินออกไป โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ควรเป็นเช่นนั้น ใช่หรือมิใช่ เพียงดูก็ทราบแล้ว ฝ่าบาทไม่ควรทำลายไมตรีของไทเฮาเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้”สองคนนี้เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ทันทีที่พวกเขาปริปาก ก็มีคนคล้อยตามในทันใด“ฝ่าบาทควรเรียกขันทีน้อยมาถามดู”“ไทเฮาเจตนาดี ไม่ประสงค์ให้ฮ่องเต้ถูกคนชั่วหลอก”“ตระกูลอินเป็นขุนนางต้องโทษของต้าโจว หากเป็นเรื่องจริง ก็สมควรถูกประหาร!”“ฝ่าบาท โปรดเรียกคนมาที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อ
ไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ใช่แล้ว ขันทีน้อยคนนี้คือหญิงตระกูลอินแห่งวังเย็น”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา ดวงตามองจับไปยังอินชิงเสวียน“ข้าบอกว่านางไม่ใช่ นายหญิงของวังเย็นเสียชีวิตจาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หญิงตระกูลอินจะมาที่นี่ได้อย่างไร”ไทเฮาก้าวไปทางอินชิงเสวียน บีบให้จนมุมด้วยเสียงกร้าว “เจ้าเป็นผู้ใด ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ บอกตัวตนของเจ้ามาให้ชัดเจน”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไยไทเฮาจึงบีบเค้นกันถึงเพียงนี้ นอกจากหลานสาวของท่านแล้ว ไทเฮาจะทรงยอมหญิงผู้อื่นไม่ได้หรือเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ไทเฮาก็หัวเราะเสียงดัง พูดกับขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ว่า “พวกท่านคงได้ยินแล้ว นางยอมรับว่านางเป็นหญิง ตระกูลอินสมคบคิดกับศัตรู หญิงตระกูลอินควรถูกประหารไปนานแล้ว บัดนี้กลับใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ ปลอมตัวออกจากวังเย็น เอาเกียรติ์ของราชวงค์ไว้ที่ไหน!”อินชิงเสวียนยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าไทเฮาจะสับสนแล้ว หม่อมฉันเป็นสตรีก็จริง แต่มิใช่หญิงจากตระกูลอิน”ทันทีที่กล่าวคำนี้ บรรดาขุนนางก็เกิดความโกลาหลขันทีน้อยคนนี้เป็นหญิงจริงๆ หรือแต่นางก็บอกว่านางไม่ใช่หญิงตระ
องครักษ์หลายคนมาพาตัวไทเฮากลับไปส่งที่ตำหนักฉือหนิงทันทีเย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา “เลิกประชุม!”ภายใต้พระที่นั่งมังกร ความคิดของอินชิงเสวียนสลับซับซ้อนเหตุใดเย่จิ่งอวี้ถึงช่วยนางขนาดนี้เขาเกลียดตระกูลอินมาโดยตลอดไม่ใช่หรือหรือว่าเขาชอบตัวเองไม่ใช่ๆ นั่นดูไม่น่าเป็นไปได้งั้นต้องเป็นเพราะเขาชื่นชอบเด็กแนน่ๆดูท่าคำกล่าวที่ว่ามารดาเรืองอำนาจเพราะบุตร จะเป็นเรื่องจริง!แต่จะทำอย่างไรต่อไปล่ะหลังจากคืนฐานะแล้ว ตัวนางก็นับว่าเป็นภรรยานางสนมของฮ่องเต้หากไม่ปกปิดตัวตนด้วยฐานะขันที นางก็ไม่สามารถออกจากวังได้เลย ชั่วชีวิตนี้ของนางจะต้องเน่าตายอยู่ในวังไปตลอดอย่างนั้นหรือนอกจากเรื่องที่น่าหงุดหงิดเหล่านี้แล้ว อินชิงเสวียนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางกลัวนั่นคือเย่จิ่งเย่าถ้าเขาโผล่ออกมาชี้ตัวนางจริง นางจะทำเช่นไนดีตอนนี้เย่จิ่งอวี้และไทเฮากำลังแข็งข้อต่อกันอยู่ ยายแม่มดเฒ่าคงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่และแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปรากฏว่ามีฮ่องเต้พระองค์ใดที่ลงโทษประหารชีวิตไทเฮาเลย บัดนี้เย่จิ่งอวี้งัดข้อกับยายแม่มดเฒ่าผู้นั้นเพื่อนาง เกรงว่าจะเป็นที่ครหาของผู้คนเมื่อนึกถึงลูกระ
กวนลี่จือรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจทันทีเขาไปที่โรงบ่อนไม่ใช่แค่เพื่อเล่นการพนันเท่านั้น แต่เพราะเขาอยากเห็นแม่นางผู้สวมชุดสีดำ คลุมผ้าคลุมหน้าผู้หนึ่งดวงตาทั้งคู่ของแม่นางผู้นั้นเรียวราวกับพระจันทร์เสี้ยว ทำให้กวนลี่จือตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น อิริยาบถยามเคลื่อนไหวก็ช่างแสนจะเปิดเผย ได้เล่นทอยลูกเต๋ากับนางถือเป็นการเสพสุขอย่างที่สุดแล้วเมื่อคิดถึงแม่นางผู้นั้น ใบหน้าอันแสนน่าเกลียดของอาโฉ่วก็ไม่ดูขัดตาอีก“นับว่าเจ้ารู้หน้าที่ดี เอาผลผิงกั่วลงมาเถอะ ข้าจะไปบอกท่านปู่สักหน่อย”กวนลี่จือเดินเข้าไปในห้อง แล้วพูดเสียงเอื่อยๆ “ท่านปู่ ข้าอยากออกไปเล่นสักหน่อย”กวนเมิ่งถิงด่าทอทันที “วันๆ รู้จักแต่เล่น กงการไม่ยอมทำ”กวนลี่จือดึงแขนเสื้อของกวนเมิ่งถิง แล้วพูดอย่างประจบประแจง “มีปู่ที่เก่งกาจเช่นท่าน ข้ายังต้องทำอะไรอีก รอสืบทอดกิจการตระกูลจากท่านไม่พอแล้วหรือ”กวนเมิ่งถิงสะบัดเขาออก พูดด้วยความโกรธ “นี่เจ้ากำลังรอให้ข้าตายอยู่รึ”กวนลี่จือสะดุ้งโหยง ลนลานคุกเข่าลงทันที“ท่านปู่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”กวนเมิ่งถิงมีหลานชายเพียงคนเดียว ตัดใจดุด่าว่ากล่าวเขาอย่างรุนแรงไม่ลง จึงโบก
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนกอดเสี่ยวหนานเฟิง เอนตัวลงบนเตียงอย่างเหม่อๆเมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เย่จิ่งอวี้ทำเพื่อปกป้องนางในตำหนักจินหลวน ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็สะท้อนอยู่ในอกในความเจ็บปวดรวดร้าว กลับยังรู้สึกถึงความหวานอันไม่ทราบสาเหตุ!เหตุใดบุรุษที่มีกำลังความสามารถมากเพียงนี้ จึงต้องเป็นฮ่องเต้ด้วยแต่ถ้าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้ เขาจะสามารถปกป้องนางได้งั้นหรือเมื่อนึกถึงความสุขุมเยือกเย็นยามที่เขาเผชิญหน้าต่อหน้าไทเฮาและเหล่าขุนนาง อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจนี่เป็นการถอนหายใจครั้งที่ยี่สิบของนางแล้วในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตูเย่ไห่ถังพาอวิ๋นเฟิงเดินเร็วๆ เข้ามาถามด้วยท่าทางกังวล “เสี่ยวเสวียนจื่อ ข้าได้ยินมาว่าเสี่ยวหนานเฟิงเป็นผื่นแถมยังตัวร้อนเพราะสวมชุดที่ข้านำมา เป็นเรื่องจริงหรือ”อินชิงเสวียนรีบลุกขึ้นทันที แล้วคำนับถวายพระพรองค์หญิงดูท่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำสักเมื่อเช้านี้ยังมาไม่ถึงวังหลัง ทุกคนจึงยังไม่ทราบว่านางได้กลายเป็นหลิวเสวียนแล้ว“เป็นเช่นนั้นจริง แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว องค์หญิงไม่ต้องกังวล”ทันใดนั้นเย่ไห่ถังก็ตาแดง
อินชิงเสวียนถูกกดให้นั่งบนเก้าอี้ แต่เมื่อสางผมไปได้เพียงครึ่ง นางก็กระโดดขึ้น“ไม่ได้ ไม่ได้ วันนี้ข้าไม่สามารถพบฝ่าบาทได้”ฮ่องเต้คงมาที่นี่เพราะอยากให้นางปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแน่ๆ บุรุษส่วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยอวัยวะท่อนล่างในยุคปัจจุบันนางก็เป็นแค่ดอกเดซี่ดอกน้อยๆ บริสุทธ์ที่รอการเบ่งบาน ยังไม่เคยสัมผัสมือชายใดด้วยซ้ำ อยู่ๆ ก็จะให้ไปขึ้นเตียงทำเรื่องพรรค์นั้นกับคนอื่น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งตกประหม่า นางผลักยายหลี่ออกไปอย่างกะทันหัน กลิ้งตัวลงบนเตียง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองยายหลี่ยกผ้าห่มขึ้น กล่อมด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพระสนมกับฝ่าบาทเสียหน่อย ลูกก็มีกันแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก รีบลุกขึ้นเร็ว พวกเราไปแต่งตัวให้งดงามเลย”อินชิงเสวียนคลุมผ้าห่มทันที พูดเสียงดัง “ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ เจ้ากับอวิ๋นฉ่ายไปเฝ้าที่ประตู ถ้าฝ่าบาทเสด็จมา ให้บอกไปว่าข้ารู้สึกไม่สบาย ให้เขาไปหาคนอื่น”ยายหลี่พูดอย่างอดทน “พระสนมพูดเหลวไหลอะไร ความโปรดปรานของฮ่องเต้นั้นมีค่ากว่าทองพันชั่ง ตอนนี้ฝ่าบาทได้แต่งตั้งยศศักดิ์ให้พระสนมแล้ว ซึ่งนี่เป็นการเริ่ม
ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะอ้าปาก คนผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามาข้างหน้านางและปิดปากของนางโดยเร็ว“ข้าเอง!”อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อยอินสิงอวิ๋นนั่นเอง!ในเวลานี้ ก็มีคนตะโกนจากข้างนอกว่า “นั่นใคร หยุดนะ!”อินชิงเสวียนตกใจ อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองไปยังอินสิงอวิ๋นที่สวมหน้ากากอินสิงอวิ๋นเป่าเทียนให้ดับ แล้วกระซิบ “ไม่เป็นไร”ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขยับอยู่ข้างนอก แล้วดูเหมือนว่ามีอีกคนได้วิ่งออกไปไกลๆ“ท่านเข้ามาในวังหลวงได้อย่างไร” อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจอินสิงอวิ๋นลดเสียงลง และพูดว่า “ข้าได้ยินข่าวบางอย่างที่อาจไม่ส่งผลดีต่อเจ้า เจ้าต้องออกจากวังกับข้าตอนนี้”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง “ข่าวอะไร”อินสิงอวิ๋นคว้าข้อมือของอินชิงเสวียน แล้วพูดอย่างเร่งด่วน “ตอนนี้ตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว พรุ่งนี้เย่จิ่งเย่าจะมาระบุตัวเจ้าในราชสำนักอย่างแน่นอน ขืนอยู่ในวังจะเป็นอันตรายเกินไป ข้าให้คนเบี่ยงเบนความสนใจองครักษ์ไปอีกทางแล้ว เราต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเย่จิ่งอวี้ได้กล่าวแล้วว่าเขาจะสอบสวนเรื่องของตระกูลอินอีกครั้ง หากนางจากไปในเวลานี้ เย่จิ่งอวี้จะโกรธอย่าง
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ