ดวงตาทั้งสองคู่สบกันในอากาศ เย่จิ่งหลานยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปหาฮั่วเทียนเฉิง“ไม่ทราบว่าท่านหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตำหนักเทพเป็นสำนักใหญ่ที่ถือสันโดษ ก็ควรมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องทุกคน แต่ในการต่อสู้ในเป่ยไห่ครั้งนั้น กลับไม่เห็นคนจากตำหนักเทพเลย ซึ่งเข้าใจได้ยากยิ่งนัก”ฮั่วเทียนเฉิงอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่าเขาจะไปที่เป่ยไห่ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อความสงบสุขของจงหยวน เมื่อคิดว่าสำนักต่างๆ ต่อสู้ในเป่ยไห่ ทว่าตัวเองกลับยืนมองูอยู่ข้างๆ อย่างเห็นแก่ตัว ฮั่วเทียนเฉิงก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้ตอนแรกที่เข้าไปในตำหนักเทพ ก็เพื่อต้องการชำระความชั่วขจัดความเลว นำความสงบสุขมาสู่โลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ความคิดนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป ศิษย์ตำหนักเทพทุกคนเหลือเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และนั่นคือการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์...“แม้ว่าการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์จะมีวรยุทธ์และวิถีแห่งเต๋าที่สุดยอดจริง แล้วจะอย่างไรเล่า ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากคนคนหนึ่งทุ่มเทเวลาไปทั้งชีวิต แต่ยังเป็นเพียงทาสของวรยุทธ์ เช่นนั้นการฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความหมายอะไร”
เย่จิ่งหลานเหลือบมอง แล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ“การเป็นวีรบุรุษมีคุณธรรมนั้นไม่ใช่แค่คำพูด ผู้ที่เอาตัวเองออกหน้าดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเจ้าสำนักเซี่ยว ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ตำหนักเทพก็ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงจริงๆ”ฮั่วเทียนเฉิงก็เคารพชื่นชมเจ้าสำนักเซี่ยวเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่อนุญาตให้เย่จิ่งหลานทำลายชื่อเสียงสำนักตัวเองเช่นนี้เขาพูดอย่างไม่พอใจ “การต่อสู้ที่เป่ยไห่ใช่ว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ หากเรื่องราวบานปลายไปจนถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้ ตำหนักเทพคงไม่นิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน”“แล้วอะไรที่เรียกว่าควบคุมไม่ได้?”เย่จิ่งหลานพูดอย่างเหน็บแนม “ท่านทราบไหม ว่ามีศิษย์เสียชีวิตหรือบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้ไปเท่าใด มีราษฎรกี่คนที่เป่ยไห่ต้องพลัดถิ่นและสูญเสียคนที่พวกเขารัก......ในสายตาของท่าน บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงตัวเลขเฉยๆ แต่ท่านเคยคิดไหมว่า เบื้องหลังของชีวิตผู้คนเหล่านี้ ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวที่ผู้บริสุทธิ์อีกเท่าใด ทุกครอบครัวมีพ่อแม่และลูก บางคนอาจสูญเสียหัวหน้าครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระในการดำรงชีวิตไป บางคนอาจสูญเสียคนหาเลี
เย่จิ่งหลานกลับมาที่ดาดฟ้า มองดูทุกคนกินขาแพะ ดื่มสุรา แล้วก็ยิ้มเล็กน้อย ถามเสียงดัง “ทำไมพวกเจ้าถึงอยากติดตามข้า หากต้องเผชิญกับการบาดเจ็บล้มตาย จะกลัวหรือไม่”เก่อหงยวนกำลังกัดขาแพะตุ้ยๆ ตอนนี้เรือหยุดแล้ว นางรู้สึกว่านางฟื้นตัวขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้ก็จะขึ้นฝั่งแล้ว ถ้าไม่มีแรงจะได้อย่างไรเมื่อได้ยินคำถามของเย่จิ่งหลาน นางก็ร้องชิ แล้วพูดว่า “นี่เจ้าพูดไร้สาระอยู่หรือ ที่เราออกทะเลมากับเจ้า ย่อมเป็น็นเพราะต้องการกำจัดรังตงหลิวให้หมดสิ้น กำจัดหายนะนี้เพื่อชาวประชา แม้ว่าข้าจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่รอแต่งงานในห้องหอ เมื่อถืออาวุธ ย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย แต่สิบปีนับตากนี้ ข้าก็จะกลายเป็นผู้กล้า”ชายหน้าตาท่าทางนักเลงอีกคนพูดว่า “แม่นางเก่อพูดถูก หัวหลุดก็เป็นแผลใหญ่ไม่เท่าชาม น่ากลัวตรงไหน ในเมื่อเรากล้ามา ก็ไม่คำนึงถึงเรื่องแบบนี้”“ถูกต้อง หากเราสามารถแลกชีวิตเพื่อความสงบสุขชั่วนิรันดร์ของคนในเป่ยไห่ ก็นับว่าตายคุ้มค่าแล้ว ชื่อเสียงจะดำรงอยู่ตลอดไป”ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยเย่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าเริ่มกลัวแล้วหรอกนะ”เย่จิ่งหลานหัวเราะลั่น พูดอย่างองอาจ
หญิงชราคนหนึ่งพูดว่า “หรือว่าอ๋องโมริตะกลับมาแล้ว?”หลายคนมองหน้ากัน อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ายินดีตอนนี้จักรพรรดิสิ้นแล้ว คนที่เหลืออยู่บนเกาะก็มีแค่คนแก่อ่อนแอและพิการ อาหารหมดไปนานแล้ว หวังเพียงว่าอ๋องโมริตะจะกลับมาโดยเร็ว มารับผิดชอบสถานการณ์โดยรวม พาพวกนางออกจากเกาะอันแห้งแล้งแห่งนี้เด็กที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเป็นท่านอ๋องจริง แล้วทำไมพวกเขาไม่กลับมาที่เกาะล่ะ? แล้วเจ้าสิ่งใหญ่โตมโหฬารนั่นมันอะไร”ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูวัตถุใหญ่ยักษ์สีดำนั่นอีกครั้งใช่ ถ้าอ๋องโมริตะกลับมา เขาต้องกลับเข้ามาในเกาะโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน จะจอดอยู่ในทะเลได้อย่างไรชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ“เรากลับกันก่อน ไปถามหัวหน้าก่อนว่านั่นคืออะไรกันแน่”ทุกคนรีบปีนออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน คนสูงอายุหลายคนก็มาที่ชายฝั่ง แต่ไม่มีใครเข้าใจว่านั่นคืออะไรคนที่มีทักษะทางน้ำที่ดีต่างก็ไปเป่ยไห่กันหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่ค่อยเก่งกาจด้านวรยุทธ์ จึงไม่มีใครกล้าออกไปตรวจสอบ ในใจรู้สึกถึงเงามืดอึมครึมอยู่มิวายวัตถุนี้โตนี้ อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
เย่จิ่งหลานไม่ได้พูดอะไร เขามองอย่างเฉยเมยออกคำสั่ง “ค้นหาต่อไป!”เก่อหงยวนขมวดคิ้ว มองไปที่ฮวาเชียนอีกครั้งฮวาเชียนถอนหายใจเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกส่วนตัวเย่จิ่งหลานได้เคลื่อนไหวไปยังกลางเกาะแล้วมีเสียงร้องไห้ดังระงมตลอดทาง รวมถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองของราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อเย่จิ่งหลานมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง อารมณ์สงบราวกับน้ำเป็นคนควรมีความเห็นอกเห็นใจก็จริงอยู่ แต่ต้องแยกแยะเป็นคนๆ ไป ตามที่เต้าสำนักเซี่ยวกล่าว คนเหล่านี้คือคนที่ถูกขับไล่ออกมา หากพวกเขาพัฒนาไปทางที่ดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อจงหยวน นั่นก็ช่างเถิดแต่คนเหล่านี้กลับมีเจตนาชั่วร้ายให้ได้ ก่ออาชญากรรมหลายครั้ง หากปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอด เช่นนั้นชาวเป่ยไห่จะต้องประสบหายนะอย่างแน่นอนนี่ก็เหมือนการเผชิญหน้ากับลูกของตัวเองและคนอื่น หากสามารถมีชีวิตรอดได้เพียงคนเดียว เกรงว่าจะไม่มีใครเลือกอย่างหลัง เย่จิ่งหลานก็เช่นเดียวกันเพียงแต่ไม่คาดคิด ว่าการศึกคราวนี้เกาะตงหลิวจะส่งหัวกะทิออกไปหมด โชคดีที่ในเป่ยไห่มีหลายสำนัก หากโชคไม่ดีกลายเป็นพวกเขาที่ตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านี้ จุดจบคงจะน่าเศร้ากว่าวันนี้หลายเ
ราวๆ สามสิบนาที เย่จิ่งหลานก็เดินตามหวังซุ่นไปยังถ้ำที่ถล่มเมื่อมองเห็นฉากทรุดโทรมตรงหน้า เย่จิ่งหลานก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ”หวังซุ่นก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน“ตอนที่ข้าจากไป ยังอยู่ดีอยู่ชัดๆ”เย่จิ่งหลานก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วยืนนิ่ง“สถานการณ์บนเกาะตงหลิวเป็นอย่างไร บอกว่าพวกเจ้ายังมีจักรพรรดิอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มีคนแข็งแรงเลย”หวังซุ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เกาหัวแล้วพูดว่า “ใช่ขอรับ มีจักรพรรดิอยู่จริง แม้ว่าตงหลิวจะทำการโจมตีครั้งใหญ่ แต่คงไม่ให้จักรพรรดิออกหน้า หรือว่า...มีบางอย่างเกิดขึ้นบนเกาะ”ฮวาเชียนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “หรือมีคนล่วงหน้ามาเกาะตงหลิวก่อนเราก้าวหนึ่ง?”เย่จิ่งหลานขมวดคิ้วและพูดว่า “หรือว่ามีคนจากจงหยวนพบเกาะตงหลิวแล้ว?”หวังซุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “คงไม่ใช่ ถ้ามีคนรู้ตำแหน่งเฉพาะของเกาะ ก็ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวันนี้”คำพูดนี้ถูกต้อง เย่จิ่งหลานเหลือบมองถ้ำที่พังทลายลง พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “อาจเป็นความขัดแย้งภายในหรือไม่ หรือมีคนทำเพื่อบรรลุจุดประสงค์บางอย่าง หรือมีคนอยากฝังกลบความลับจึงทำลายถ้ำ ทำลายทั้งเกาะต
ศิษย์ของสำนักเทียนเตาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะทันตอบสนอง มือของเด็กก็เจาะทะลุหน้าอก จับหัวใจของเขาอย่างแม่นยำและอำมหิตเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูดังขึ้น หัวใจของศิษย์สำนักเทียนเตาก็ถูกฉีกกระชากออกไปเด็กเหลือบมองหัวใจที่เปื้อนเลือดซึ่งยังคงเต้นอยู่ในมือด้วยความรังเกียจ ในอดีตเขาเกลียดคนหยาบที่พึ่งพาการกินเนื้อคนเพื่อเลื่อนระดับวรยุทธ์ตนเอง แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงเดินตามเส้นทางเดียวกันกับพวกเขาเท่านั้นการแข่งขันระหว่างตำหนักเทพหอทองคำและเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะก็ตาม จะมีการจัดพิธีส่งมอบวิถีแห่งสวรรค์ ซึ่งนั่นเป็นโอกาสของเขา“แม่งเอ้ย!”เด็กน้อยก่นด่าด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว เดินมาที่แอ่งน้ำ ล้างเลือดที่มือ นั่งขัดสมาธิ ครู่ต่อมา ก็ขมวดคิ้วขึ้นไม่รู้ว่านังนั่นใช้กลอุบายอะไรกับเขา นับตั้งแต่ออกจากเป่ยไห่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็รู้สึกใจคอไม่ดีอาการบาดเจ็บภายในนั้นยากต่อการฟื้นตัว ซึ่งถือว่าผิดปกติจริงๆ หรือว่า...นังเด็กบ้านั่นมีความสามารถในการแย่งชิงโชคลาภของคนได้?ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้น เขาก็รู้สึกว่าไร้สาระ ถ้านางมีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน ต่างนึกถึงพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของชาวตงหลิวครั้งนี้ลงจอดบนเกาะง่ายเกินไป ง่ายจนพวกเขาเกือบลืมไปว่าชาวตงหลิวเก่งเรื่องไศยศาสตร์มนต์ดำเช่นนี้ในการรุกรานเป่ยไห่ครั้งก่อน ยังมีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บด้วยวิธีเดียวกันศิษย์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “เจ้าผีตงหลิวโง่เขลา ถ้าเก่งนักก็ไสหัวออกมา สู้ตายกับข้า”ทันทีที่คนผู้นั้นพูดจบ ศิษย์สองคนก็วิ่งมามา โดยอุ้มศพของศิษย์สำนักเทียนเตาที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้มีคนตะโกนอย่างเศร้าเสียใจ “ศิษย์พี่หลิว!”เย่จิ่งหลานรุดหน้าไปตรวจบาดแผลทันที หัวใจของคนผู้นั้นหายไป ไม่มีทางช่วยชีวิตได้มีคนทยอยเสียชีวิตไปสองคน หัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยเมฆดำมืด“คุณชายน้อยเย่ เราควรทำอย่างไรดี”สีหน้าของฮวาเชียนก็ดูยุ่งยากเช่นกันเย่จิ่งหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถอยกลับไปที่วังของพวกเขาก่อน หวังซุ่น เจ้ามากับข้า”เดิมทีเย่จิ่งหลานไม่ต้องการให้หวังซุ่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนใจหวังซุ่นเป็นคนท้องถิ่น สามารถสื่อสารกับคนในท้องถิ่นได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเขาจะเข้าใจภาษาตงหลิว แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งห