ฮั่วเทียนเฉิงออกจากวังที่ทรุดโทรมด้วยความรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นศิษย์สำนักฆ่าคนตงหลิวเหล่านี้ไปตามถนน เขาก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเช่นกัน เมื่อเห็นการเสียชีวิตอันน่าสลดใจของศิษย์ในสำนัก เขารู้สึกว่าคนตงหลิวโหดร้ายเกินไปอะไรคือถูก แล้วอะไรคือผิด?จุดประสงค์ของตำหนักเทพในการสรรหานักปราชญ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คืออะไรกันแน่หากวันหนึ่ง ผู้อาวุโสหันพาคนเปิดทางสู่วิถีแห่งสวรรค์จริงๆ เขาจะสั่งสอนศิษย์ในสำนัก พัฒนาทักษะ ถ่ายทอดทุกสิ่งที่เขาเรียนรู้ให้กับคนในโลกจริงๆ ดังที่เขากล่าวไว้หรือไม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามีความเคารพสูงสุดต่อตำหนักเทพเสมอ ครั้งเดียวที่เขาลังเล คือตอนที่ผู้อาวุโสหันจัดการกับธิดาเทพเหมยชิงเกอ และวันนี้ เขาเกิดความลังเลอีกครั้งในตอนแรกคนฝึกฝนวรยุทธ์เสริมสร้างร่างกาย ชำระความชั่วขจัดความเลว แต่ตอนนี้กลับใช้เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจ เป็นการไม่จัดลำดับความสำคัญใช่หรือไม่?แม้ว่าจะมีวิทยายุทธ์ชั้นยอดซ่อนอยู่ในการไต่ทางขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์ แต่แล้วอย่างไรเล่า ดวงอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก ดวงจันทร์ยังคงตกจากทางทิศตะวันตก สิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงได้คือหัวใจของมนุษย์เท่านั
ขอบตาของโมริตะคาวาสึบาเมะเปลี่ยนเป็นสีแดง พูดเสียงสะอื้นว่า “พวกเขาเป็นกลุ่มคนน่าเกลียดมาก พวกเขาถูกตาต้องใจท่านแม่ข้า จึงจับพวกเรามาด้วยกัน ข้าพยายามดิ้นแต่ก็ถูกตีจนหมดสติไป พอตื่นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”ฮั่วเทียนเฉิงขมวดคิ้ว“แล้วแม่ของเจ้าล่ะ”โมริตะคาวาสึบาเมะหลั่งน้ำตา“นาง...นางถูกคนพวกนั้นฆ่าตายแล้ว”แม่ของเขาถูกฆ่าตายจริงๆ เขาเฝ้าดูตอนที่ชายหนุ่มร่างกำยำกว่าสิบคนในหมู่บ้าน ขืนใจแม่เขาจนตายแม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่มานานกว่าร้อยปี แต่ก็ยังไม่สามารถลืมทุกฉากในวันนั้นได้ แม้กระทั่งทุกรายละเอียดในเวลานั้นเขาอายุเท่าๆ กับตอนนี้ แม้ว่าในเวลาต่อมาเขาจะฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน แต่เขาก็ยังไม่สามารถระบายความเกลียดชังในใจได้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องประกายราวกับเลือดอยู่เบื้องหน้า โมริตะคาวาสึบาเมะตกอยู่ในห้วงภวังค์เวลาผ่านไปนานมากจน เขาลืมชื่อเดิมของเขาแล้ว จำได้เพียงว่าเขาฆ่าคนทั้งหมู่บ้านทั้งเมือง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับการลงโทษจากผลกรรมความชั่วร้ายจากวิถีแห่งสวรรค์ฮ่าๆ อะไรดี อะไรชั่ว ที่เขาแก้แค้นให้แม่ ไม่ใช่หลักคุณธรรมหรอกหรือนักพรตเต๋าหน้าซื่อใจคดที่ท่องได้แค่บทสวด จะไปรู้เรื
“กลางวันแสกๆ มีผีที่ไหน ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ”ฮั่วเทียนเฉิงกระโดดลงไปที่พื้น ต้องรีบไปบอกเย่จิ่งหลานว่ามีคนอื่นซ่อนตัวอยู่บนเกาะทั้งสองกลับไปที่ค่ายชั่วคราว เหล่าศิษย์มารวมตัวกันที่กลางลาน ศพทั้งสองร่างถูกคลุมด้วยผ้าขาวซึ่งดูบาดตาบาดใจยิ่งนักเย่จิ่งหลานกำลังคุยกับหวังซุ่น เมื่อเห็นฮั่วเทียนเฉิงกลับมา ก็หันกลับมาถามว่า “ท่านฮั่วพบเบาะแสอะไรหรือเปล่า”ฮั่วเทียนเฉิงพยักหน้า“มีอยู่เล็กน้อย”เขาบอกเรื่องที่พบโมริตะคาวาสึบาเมะกับเย่จิ่งหลาน เย่จิ่งหลานตกใจเล็กน้อย“เด็กจากจงหยวน?”ฮั่วเทียนเฉิงพูดอย่างหนักแน่น “ยังเป็นเด็ก อายุประมาณแปดเก้าขวบ”“โอ้? เขาหน้าตาเป็นอย่างไร”ทันใดนั้นดวงตาที่เจ้าเล่ห์คู่หนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเย่จิ่งหลาน ซึ่งเจ้าของดวงตาคู่นั้น คือคนที่เกือบจะฆ่าอินชิงเสวียนหรือว่าที่เขาหนีกลับมาที่เกาะตงหลิว?ฮั่วเทียนเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตัวขาวหมดจด ดูเป็นผู้ใหญ่มาก นอกนั้น ก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ”“อื้ท ข้าเข้าใจแล้ว”เย่จิ่งหลานกลับมาที่ขั้นบันไดหน้าประตู แวะพูดกับเหล่าศิษย์ว่า “อาจมีศัตรูอยู่บนเกาะนี้ อย่าประมาทเด็ดขาด ทางที่ดีเวลาออกไ
กลางคืนมืดมากเงาดวงจันทร์กลืนหายไปในเมฆหนาทึบ ดาวบางดวงสว่างวับแวม เป็นแสงระยิบระยับที่ไม่ได้สว่างจ้าเหล่าศิษย์เหนื่อยล้าหลังจากกรำงานหนักมาหลายวัน เมื่อมาถึงแผ่นดินเป็นครั้งแรก พวกเขาทั้งหมดก็หลับสนิทไม่มีใครสังเกตเห็นการจากไปของเย่จิ่งหลานถึงกระนั้น เย่จิ่งหลานก็ยังคงระมัดระวัง จนกระทั่งอยู่ห่างจากวังไปไกล เขาจึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นสูงเต็มสัดส่วนหากอีกฝ่ายคือโมริตะคาวาสึบาเมะจริงๆ เขาจะต้องรู้จักตัวเอง บางทีตอนนี้อาจจะกำลังเดินอยู่ใกล้พระราชวังที่ทรุดโทรมแห่งนี้แล้วจะหลอกล่อเขาออกมาอย่างไรเย่จิ่งหลานครุ่นคิดขณะที่กำลังเดินทันทีที่มาถึงถนนสายเล็กที่ทอดไปสู่ใจกลางเกาะ ก็ได้ยินคนข้างหลังพูดแหย่ว่า “ศิษย์จากคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย ได้พบกันอีกแล้วนะ”เย่จิ่งหลานรู้สึกดีใจ หันหลังกลับช้าๆ แน่นอนว่าข้างหลังเขาสิบก้าวมีเด็กคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขาดรุ่งริ่งอยู่แม้ว่าแสงจันทร์จะสลัว แต่ก็ยังสามารถบอกได้ว่าใบหน้าสะอาดหมดจด ซึ่งค่อนข้างไม่สอดคล้องกันเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดเย่จิ่งหลานหัวเราะและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นพี่ชายน้อยนี่เอง ไม่ทราบว่าทำไมเจ้าถึงมาที่เกาะตงหลิวได้”
เมื่อมองไปยังสถานที่แปลกๆ นี้ ดวงตาของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เป็นประกายด้วยความตื่นตระหนกแต่ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเด็กเปรต เจ้าใช้ค่ายกลได้ด้วยรึ”เย่จิ่งหลานแค่นเสียงชิพูดว่า “นั่นมันไร้ระดับเกินไป นี่คือมิติจริงๆ เจ้าสามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้”โมริตะคาวาสึบาเมะไม่เชื่อเลย เขายิ้มเยาะและพูดว่า “ข้าไม่สนใจมิติอะไรนั่นของเจ้า ข้าจะส่งเจ้าไปพบยมบาลเดี๋ยวนี้”ยังพูดไม่ทันขาดคำ นิ้วทั้งห้าก็เหยียดออก และคว้าคอของเย่จิ่งหลานอย่างดุเดือดเย่จิ่งหลานโบกมือ โมริตะคาวาสึบาเมะก็ถูกสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นชนกระเด็นไปด้านข้างโมริตะคาวาสึบาเมะเอามือยันบนพื้น แล้วกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วเขามองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าระมัดระวัง ถามอย่างดุเดือด “เจ้าใช้เวทมนตร์อะไร”เย่จิ่งหลานพ่นควันออกมาอย่างสบายๆ“เจ้าแม่งหูหนวกไปแล้วหรือ ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่านี่คือมิติ คือมิติ หรือเจ้าคิดว่าข้าโง่จริงๆ กล้าออกไปเดินเล่นโดยไม่มีแผน เช่นนั้นก็น่าเสียใจกับวิญญาณในร่างกายนี้จริงๆ”“มิติ วิญญาณ? นี่หมายความว่าอย่างไร”โมริตะคาวาสึบาเมะเหมือนจะได้ย
ดูเหมือนว่าร่างกายถูกติดอยู่กับอะไรบางอย่าง ไม่สามารถหลุดพ้นได้เลย ความรู้สึกสิ้นหวังอันลึกซึ้งแล่นออกมาจากหัวใจของโมริตะคาวาสึบาเมะของสิ่งนั้นที่มากระทบแขนช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ถ้าโดนหัว หัวของเขาจะไม่แตกหรือเมื่อเห็นรูดำของปืนชี้มาที่เขา โมริตะคาวาสึบาเมะก็รู้สึกว่าผมตั้งชึ้นขึ้น รู้สึกเสียวสันหลังวาบเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการลงโทษความชั่วร้ายจากวิถีแห่งสวรรค์ แต่ในขณะนี้ มีความทรมานและความกลัวที่อธิบายไม่ได้นั้นพลันเกิดขึ้นในใจอย่างไรก็ตาม เย่จิ่งหลานยังคงเล็งเป้ามา พึมพำกับตัวเอง“ยิงตรงไหนดีนะ ให้เจ้าหมานี่ตายง่ายๆ ในวันเดียว เกรงว่าจะสบายไปหน่อยกระมัง”หน้าผากของโมริตะคาวาสึบาเมะมีเหงื่อออกอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งความตายก็ไม่น่ากลัวนัก บางทีช่วงที่ตายนั้น อาจไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความทุกข์ทรมานจากการรอคอยความตาย ความอัปยศอดสูและการทรมานอย่างโจ่งแจ้ง“ช้าก่อน”เมื่อเย่จิ่งหลานเล็งปืนไปที่เขา โมริตะคาวาสึบาเมะก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปเย่จิ่งหลานทำเหมือนจะตกใจ ทนทีที่สะบัดข้อมือ ปืนก็ดังปังข้อเท้าของโมริตะคาวาสึบาเมะ
เย่จิ่งหลานเลิกคิ้ว“ในเมื่อเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงเป็นสำนักถือสันโดษ ทำไมถึงให้เจ้าแอบเข้าไปอย่างง่ายดายขนาดนี้”โมริตะคาวาสึบาเมะกล่าวว่า “แม้ว่าอิ๋นเฉิงจะถือเป็นสำนักอันดับต้นๆ ในจงหยวน แต่ก็ยังแตกต่างจากสำนักทั่วไปเล็กน้อย เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ แม้ว่าทุกคนจะรู้วรยุทธ์ แต่ก็ไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดา ฉะนั้นจึงแอบเข้ามาได้ง่าย”เย่จิ่งหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เจ้าแอบขโมยวิชาฝังโลหิตมาจากอิ๋นเฉิงงั้นหรือ นั่นไม่ถูกสิ หากเจ้ามีชีวิตอยู่นานกว่าร้อยปี อย่างไรก็ต้องใช้หลายศพ แล้วก่อนหน้านี้เจ้าใช้อะไรประคองวิญญาณ”โมริตะคาวาสึบาเมะแค่นเสียงพูดว่า “ร่างอื่นที่ข้ากำลังพูดถึงคือร่างกายดั้งเดิมของข้า หากกำลังภายในแข็งแกร่งพอที่จะรักษาพลังชีวิตของตัวเองไว้ได้ การมีชีวิตอยู่สามถึงห้าร้อยปีก็ไม่ใช่ปัญหา น่าเสียดาย ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถฟื้นตัวได้ จึงต้องยอมเสี่ยง กลับไปยังจงหยวนเพื่อหาทางรักษา บังเอิญเป็นการเปิดเมืองอิ๋นเฉิงพอดี ทำให้ข้าได้ฉวยโอกาส ต่อมาเมื่อตระกูลโมริตะให้กำเนิดลูกชาย ข้าก็ได้ใช้วิชาฝังโลหิตกับเขา เพื่อรอโอกาสที่จะยึดร่างของเขา”เย
กระบองไฟฟ้าของเย่จิ่งหลานกระทบร่างของโมริตะคาวาสึบาเมะอีกครั้ง“เจ้าบอกว่าไม่มีทางแก้ไขไม่ใช่หรอกหรือ คราวนี้กลับบอกว่าได้?”โมริตะคาวาสึบาเมะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ถึงจะเอาเปลือกตาที่กลอกขึ้นลงได้“ในเมื่อมันเป็นศาสตร์ของพวกเขา แล้วทำไมจะแก้ไม่ได้ แม้ว่าจะแก้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ต้องมีวิธีที่จะยับยั้ง”เย่จิ่งหลานปิดกระบองไฟฟ้า แล้วหมุนไปมาบนมือ“จะแก้ไขได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญสำหรับข้า แต่เจ้าจะบอกให้ฟังก่อนก็ได้”โมริตะคาวาสึบาเมะรีบพูดว่า “เจ้าเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงและธิดาเทพแห่งตำหนักเทพมีความรักให้กัน ต่อมาพวกเขาคิดว่าธิดาเทพตายแล้ว จึงปิดเมือง ความจริงแล้วธิดาเทพยังมีชีวิตอยู่ ถูกขังอยู่ในตำหนักเทพ หากเจ้าเมืองเฮ่อยวนรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องดีใจแน่ๆ แม้ว่าเจ้าไม่ต้องการแก้ไขวิชาฝังโลหิต เขาก็จะพยายามช่วยเจ้าเต็มที่”เย่จิ่งหลานยกมือขึ้น และฟาดกระบองอีกครั้ง“ไอ้สารเลว ในเมื่ออิ๋นเฉิงถูกปิดแล้ว แล้วข้าจะไปหาเขาได้ที่ไหน หากเจ้าแค่พูดไร้สาระ ข้าจะช่วยให้เจ้าไปพบยมบาลซะ”โมริตะคาวาสึบาเมะกระตุกอีกครั้ง ในหัวคิดอยากถลกหนังของเย่จิ่งหลานนับครั้งไม่ถ้วน“แล้วเจ้าต้องการอะไรล่ะ”