กระบองไฟฟ้าของเย่จิ่งหลานกระทบร่างของโมริตะคาวาสึบาเมะอีกครั้ง“เจ้าบอกว่าไม่มีทางแก้ไขไม่ใช่หรอกหรือ คราวนี้กลับบอกว่าได้?”โมริตะคาวาสึบาเมะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ถึงจะเอาเปลือกตาที่กลอกขึ้นลงได้“ในเมื่อมันเป็นศาสตร์ของพวกเขา แล้วทำไมจะแก้ไม่ได้ แม้ว่าจะแก้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ต้องมีวิธีที่จะยับยั้ง”เย่จิ่งหลานปิดกระบองไฟฟ้า แล้วหมุนไปมาบนมือ“จะแก้ไขได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญสำหรับข้า แต่เจ้าจะบอกให้ฟังก่อนก็ได้”โมริตะคาวาสึบาเมะรีบพูดว่า “เจ้าเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงและธิดาเทพแห่งตำหนักเทพมีความรักให้กัน ต่อมาพวกเขาคิดว่าธิดาเทพตายแล้ว จึงปิดเมือง ความจริงแล้วธิดาเทพยังมีชีวิตอยู่ ถูกขังอยู่ในตำหนักเทพ หากเจ้าเมืองเฮ่อยวนรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องดีใจแน่ๆ แม้ว่าเจ้าไม่ต้องการแก้ไขวิชาฝังโลหิต เขาก็จะพยายามช่วยเจ้าเต็มที่”เย่จิ่งหลานยกมือขึ้น และฟาดกระบองอีกครั้ง“ไอ้สารเลว ในเมื่ออิ๋นเฉิงถูกปิดแล้ว แล้วข้าจะไปหาเขาได้ที่ไหน หากเจ้าแค่พูดไร้สาระ ข้าจะช่วยให้เจ้าไปพบยมบาลซะ”โมริตะคาวาสึบาเมะกระตุกอีกครั้ง ในหัวคิดอยากถลกหนังของเย่จิ่งหลานนับครั้งไม่ถ้วน“แล้วเจ้าต้องการอะไรล่ะ”
ทันทีที่โมริตะคาวาสึบาเมะเห็นหวังซุ่น เขาก็ด่าสาดเสียเทเสีย หวังซุ่นก็ไม่เกรงใจ พุ่งปราดเข้าไปต่อยเขาหลายครั้ง“เจ้าหมาแก่ คนที่ทำร้ายอาจารย์ข้าต้องเกี่ยวกับเจ้า”การต่อยเหล่านี้ไม่ทำให้โมริตะคาวาสึบาเมะรู้สึกเจ็บปวดหรือคันเลย แต่เป็นการดูถูกอย่างยิ่งเขาโกรธมากจนตาโปน ก่นด่าว่า “เจ้ามันคนทรยศบ้านเมือง”เย่จิ่งหลานขัดจังหวะทั้งสองคน“เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว จะถ่ายทอดวรยุทธ์อย่างไร ก็เร็วเข้า ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าไม่มีเวลาชักช้ากับเจ้า”โมริตะคาวาสึบาเมะระงับความโกรธชั่วคราว มองเย่จิ่งหลานแล้วพูดว่า “เจ้าจะรับประกันอย่างไรว่าเจ้าจะปล่อยข้าไป”เย่จิ่งหลานพ่นควันออกมา พูดอย่างใจเย็น “เจ้าต้องการหลักประกันอะไร สาบาน หรือเขียนเอกสารก็ได้ทั้งนั้น”โมริตะคาวาสึบาเมะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นมาพร้อมกัน ก่อนอื่นเจ้าต้องสาบาน แล้วเขียนเอกสารสัญญาด้วย”“ได้”เย่จิ่งหลานชูสามนิ้วออกมา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเย่จิ่งหลาน สัญญาว่าหลังจากที่ได้รับพลังแล้ว จะไม่ตามล่าโมริตะคาวาสึบาเมะอีกเลยชั่วนิรันดร์ ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ไม่ตายดี”หลังจากพูดจบ ก็หยิบกระดาษแผ
“บัดซบ เจ้าหมาบ้า รอข้าก่อนเถอะ”เย่จิ่งหลานกัดฟันสาปแช่งพลังที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องเกือบจะระเบิดร่างกายของเขา กำลังภายในยังคงไหลบนผิวหนัง เช่นเดียวกับมนุษย์ต่างดาวในทีวี ที่ผิวหนังปูดออกมาอย่างต่อเนื่อง“อ๊าก!”หวังซุ่นมีวรยุทธ์ระดับต่ำ จู่ๆ ก็ปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาเย่จิ่งหลานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกเขาตะโกนด้วยความยากลำบาก “หวังซุ่น เจ้าต้องอดทนไว้ เจ้าจะเป็นบ่าวรับใช้ของข้าไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ ถึงเจ้าตายเป็นผีข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากมุมปากของหวังซุ่น เขายิ้มอย่างอัปลักษณ์เล็กน้อย“ไม่เป็นไร ถ้าข้าตายก่อน ข้าจะรอท่านอ๋องน้อยที่สะพานไน่เหอ ท่านอ๋องน้อยจะได้ไม่หลงทาง”เย่จิ่งหลานตะโกนด่าอย่างอดทนต่อความเจ็บปวด “อย่าพูดคำที่เป็นลางร้ายแบบนั้น สงบอารมณ์ รวมพลังที่จุดศูนย์ เปลี่ยนพลังงานภายในให้เป็นกระแส หลอมรวมเข้าไปในจุดตันเถียน แล้วกระจายไปยังเส้นลมปราณในตัว แปลงเป็นของตัวเอง”นี่คือสิ่งที่เจ้าสำนักเซี่ยวพูดตอนที่สอนวิธีโคจรกำลังภายใน เย่จิ่งหลานจำได้ชัดเจน ตอนนี้เขาทำได้เพียงปฏิบัติไปอย่างไม่มีอะไรจะเสียแล้ว“ข้าน้อย...ทราบแล้ว”หวั
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็เห็นหวังซุ่นกระอักเลือดออกมาจากปาก“หวังซุ่น หวังซุ่น!”เย่จิ่งหลานพยุงหวังซุ่นขึ้นมาหัวใจของเขาเต้นแผ่วเบา ดูเหมือนว่าจะยังสามารถช่วยชีวิตได้เย่จิ่งหลานรู้ว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ของตัวเองไม่มีประโยชน์กับเขา จึงไม่ยอมให้เปลืองแรง หยิบขวดน้ำพุวิญญาณของอินชิงเสวียนขึ้นมาหนึ่งขวด บีบปากของหวังซุ่นให้อ้าออก แล้วให้เขาดื่มประมาณสิบห้านาที ในที่สุดหวังซุ่นก็ลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงไปชั่วขณะเขาพึมพำ “ท่านคือ...ยมบาลหรือ ที่แท้ยมบาลก็รูปงานเพียงนี้...”เย่จิ่งหลานเอื้อมมือไปตบหัวเขา“ยมบาลบ้านพ่องเจ้าน่ะสิ เจ้าจำข้าไม่ได้รึ”ขณะที่ฝ่ามือฟาดลงไป เย่จิ่งหลานก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งมือนี้...ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากจากหางตาของเขา จู่ๆ ก็มองเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเอง ดูเหมือนว่ามีบางอย่างกลับมาเป็นขนาดปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ“โอ้โห!”เย่จิ่งหลานวิ่งออกจากห้องรับแขกเล็กๆ อย่างรวดเร็วราวพายุ หากระจกมาส่องดูเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามในกระจกก็ตกตะลึงอี
ฮวาเชียนเข้าใจทันที ดวงตาแข็งกระด้าง ยื่นมือออกไปจับโมริตะคาวาสึบาเมะทันที“โจรชาติสุนัข คุณชายเย่ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าทำได้”นางไม่ได้พูดอะไรไร้สาระอีกต่อไป ใช้กระบี่แทงอกโมริตะคาวาสึบาเมะทันทีโมริตะคาวาสึบาเมะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เอื้อมมือออกไปคว้ากระบี่เขากัดฟันกรอด พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ได้ พวกเจ้ากล้าทำแบบนี้กับข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าไม่ได้ตายดี ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับ พวกเจ้าต้องได้รับเช่นกัน โดยเฉพาะเจ้า”เขาหันหน้ามา ‘มอง’ เย่จิ่งหลานด้วยเปลือกตาที่ไร้ลูกตาเขาพูดเน้นทีละคำ “ข้าคือเหตุและผล ข้าคือกรรม เจ้าจะถูกตามล่าและเนรเทศโดยคำสั่งลงโทษอันชั่วร้าย!”เลือดหยดหนึ่งกระทบหน้าผากของเย่จิ่งหลาน รวดเร็วราวกับสายฟ้า ก่อนที่เย่จิ่งหลานจะรู้ตัว เลือดก็ไหลซึมเข้าสู่ผิวหนังของเขาอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าโมริตะคาวาสึบาเมะยังอยากพูดอยู่ แต่ฮวาเชียนได้เหวี่ยงกระบี่สับหัวของเขาแล้วเย่จิ่งหลานรู้สึกเย็นเฉียบที่ระหว่างคิ้ว เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสมัน ก็ไม่พบอะไรเลยฮวาเชียนมองตามสายตาของเย่จิ่งหลาน แต่ไม่เห็นเลือดหยดนั้น จึงถามด้วยความประหลาดใจ “มีอะไร”เย่จิ่งหลานยิ้ม“ไม่เป
หลังจากผ่านอุทยานหลวงแล้ว เฟยมั่วก็ส่งเสียงฟู่ยาวออกมา แล้วหันหลังกลับด้วยตัวเอง“หยุด~”เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือออกไปดึงสายบังเหียนเฟยมั่วร้องไม่หยุด เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว เดิมทีเขาฝึกมันให้เชื่องมาหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งเลย แต่วันนี้กลับไม่ปกติเย่จิ่งอวี้จึงปล่อยบังเหียนดูว่ามันต้องการทำอะไรสิบอึดใจต่อมา เฟยมั่วก็มาถึงหน้าคอกม้า ม้าตัวหนึ่งที่ขาวราวกับหิมะก็สบตาเย่จิ่งอวี้แผงคอของม้าตัวนี้สว่างราวกับสีเงิน ดวงตาเหมือนเสือ มีกำลังวังชายิ่งนัก กีบใหญ่เท่าชาม สุขุมเยือกเย็นดั่งท่อนเสา ช่างเป็นม้าเทพที่ไม่มีใครเทียบได้!จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาสว่างขึ้น มีม้าขาวรูปงามเช่นนี้ปรากฏตัวในวังตั้งเมื่อใดเฟยมั่วได้พาเย่จิ่งอวี้วิ่งมถึงม้าขาวแล้ว พวกมันสนิทสนมกันมากเมื่อขันทีดูแลม้าหลวงได้ยินเสียงร้องของเฟยมั่ว ก็รีบวิ่งออกไปทั้งหมด“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ ม้าตัวนี้เข้ามาในวังเมื่อไหร่”เย่จิ่งอวี้ถือบังเหียนขี่ม้าไว้ในมือ แล้วชี้ไปที่ม้าตัวสีขาวหัวหน้าขันรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท นี่คือม้าที่เจียงวูจัดหามาให้ ทรงประทานชื่อว่าหนิ
เย่จิ่งอวี้โกรธจนแค่นเสียงเฮอะออกมา เขาใช้แส้ม้าตีไหล่ของหลี่เต๋อฝูด้วยแรงที่ไม่เบาไม่หนัก“บ่าวสุนัข คำพูดนี้เจ้าก็เชื่องั้นหรือ”หลี่เต๋อฝูเหงื่อออกราวกับสายฝน แต่ทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “ชาวบ้านมักมีคำพูดว่าสัตว์เลี้ยงแทนคุณ ไป๋เสวี่ยได้รับการช่วยเหลือจากฝ่าบาท ในใจย่อมมีความกตัญญูเป็นล้นพ้น ครั้นเห็นว่าฝ่าบาทประชวรล้มหมอนนอนเสื่อ ไหนเลยจะไม่ร้อนใจ ฉะนั้น...จึง...”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงหึ แล้วพูดว่า “ฉะนั้นจึงไปหายามาให้ข้าอย่างนั้นสิ แล้วยาล่ะอยู่ที่ไหน”“เอ่อ...คงเป็นเพราะหนทางยาวไกล นายท่านไป๋เสวี่ยจึงยังไม่กลับมา”จากหางตาหลี่เต๋อฝูสามารถมองเห็นเม็ดเหงื่อที่ตกลงมาจากหน้าผาก ซึมเข้าไปในหินกรวดบนพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เสียงของเย่จิ่งอวี้เย็นชา“หลี่เต๋อฝู เจ้ายังกล้าโกหกข้ารึ หรือเจ้ากินดีหมีหัวใจเสือเข้าไป?”เสียงตวาดทุ้มลึก ทำให้หลี่เต๋อฝูตกใจจนสะดุ้งพูดซ้ำๆ “กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมมิกล้า เป็นพวกกระหม่อมที่ป้องกันหละหลวม ถึงทำให้นายท่านไป๋เสวี่ยวิ่งออกจากวัง กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่าง หวังว่าฝ่าบาทจะเมตตา เว้นโทษประหารชีวิตให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อมองดูปลาไห
ในเวลานี้ เย่จิ่งอวี้ได้ออกจากวังไปแล้วเขาได้ออกคำสั่งเด็ดขาด ผู้ใดก็ห้ามติดตามไป ฉินเทียนและคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนเป็นธรรมดาตลอดทางขี่ม้าไปอย่างอิสระไร้จุดหมาย สัมผัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลงโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาได้ผ่านตลาด มาถึงหน้าวัดที่เคยถูกโจมตีเมื่อยังเยาว์ ทันใดนั้นก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซม ตอนนี้ได้กลายเป็นอารามเต๋า นามว่าอารามซ่างชิงกวนข้างในนั้นเหมือนจะมีการเทศนาอยู่ เย่จิ่งอวี้ยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผูกเฟยมั่วไว้ที่ประตู แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป พื้นที่ในห้องโถงไม่เล็ก เวลานี้มีชาวบ้านนั่งอยู่จำนวนมาก ตรงหน้าพวกเขามีชายชราผมขาวเคราขาวนั่งอยู่ ใบหน้าของคนผู้นี้ดูสงบ ดวงตาเป็นประกายลักษณะสำรวม สวมใส่ชุดนักพรตเต๋าผ้าหยาบสีเทา ปักรวบผมด้วยปิ่นไม้ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นอมตะด้านหน้าของเขามีนักพรตน้อยวัยเยาว์นั่งอยู่แปดคน คนเหล่านี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดเก่าๆ เช่นกัน ชุดของบางคนยังมีรอยปะชุนด้วยซ้ำ พวกเขาแต่ละคนหลุบตาก้มหน้าต่ำ สีหน้าเคร่งขรึม ซึ่งความเคร่งขรึมนี้มิได้เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำ หากแต่มาจากธาตุแท้