เธอลุกขึ้นพร้อมกับเอามือนวดที่เอวไปด้วย แล้วไอกระแอมและพูดว่า "ข้าเป็นคนของหอฉงฮวา เพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน แต่ไม่ระวังเดินหลงทาง รบกวนท่านพี่ทหารช่วยชี้ทางให้หน่อยได้ไหม"ตอนที่เดินมา เธอจำได้ว่าตัวเองเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าหอฉงฮวา ซึ่งเดินตรงไปตามทางนั้นก็จะไปถึงวังเย็นพี่ทหาร?เย่จิ่งอวี้หลี่ตาลง สายตาที่นิ่งลึกกวาดมองใบหน้าอินชิงเสวียนนึกไม่ถึงว่าในวังแห่งนี้ยังมีบ่าวที่ไม่รู้จักตนเองอยู่ด้วยน่าจะเป็นคนที่ติดตามพวกหญิงงามมาเขาหันไปทางทิศตะวันตก พูดด้วยเสียงเย็นชา "เดินไปสุดทางนี้แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็จะเห็นหอฉงฮวาแล้ว"อินชิงเสวียนฟังแล้วก็ชะงักค้าง ในยุคปัจจุบันเธอเรียกว่าเป็นจอมหลงทางเลย ขนาดมีจีพีเอสนำทางทางเธอยังสามารถหลงได้ เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า "ท่านพี่ทหาร รบกวนท่านไปส่งข้าระยะหนึ่งได้ไหม?"แววตาเย่จิ่งอวี้ฉายแววเยือกเย็นลงขันทีหนุ่มคนนี้จะได้คืบเอาศอกมากไปแล้วเมื่อเห็นเขาทำหน้าไม่พอใจ อินชิงเสวียนก็เบะปากพิมพำเสียงเบา "ไม่ไปส่งก็ไม่ไปส่งสิ จะดุขนาดนี้ไปทำไม"เธอนวดเอวตัวเองพลางพูดว่า "เดินไปทางนั้น เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาสิ
อินชิงเสวียนหันศรีษะกลับหลัง เธอก็เห็นทหารหนุ่มหน่าตาหล่อเหลาดั่งสวรรค์สรรสร้างที่พบเมื่อวานนี้อีกครั้งเธอหันหลังกลับไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกตื่นเต้น "ท่านพี่ทหาร ข้าหาเจ้าพบเสียทีนะ"เย่จิ่งอวี้มองหน้าเธอ ถามด้วยเสียงราบเรียบ "เจ้าหาข้าทำไม?"อินชิงเสวียนดึงแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ และลากเขาไปที่มุมหนึ่งเธอมองไปรอบๆ แล้วจึงพูดเสียงเบาว่า "ท่านพี่ทหาร ข้าน่ะแค่อยากให้เราร่ำรวยไปด้วยกัน""หืม?" แววตาของเย่จิ่งอวี้มืดลงเล็กน้อยในทันทีเจ้าสุนัขรับใช้ กล้าทำการค้าขายในวังเชียวรึอินชิงเสวียนรีบพูดต่อว่า "เจ้าวางใจ ของเหล่านี้ของข้ามีที่มาถูกต้อง ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้าขาย ข้าจะเก็บแค่ต้นทุนก็พอ"เธอหยิบกระจกบานเล็กออกมาจากอ้อมอก หลังจากที่เปิดออก ก็แกว่งไปมาตรงหน้าเย่จิ่งอวี้"เจ้าดูสิ กระจกบานนี้ทำมาจากอลูมิเนียมฟอยล์ มันส่องได้ชัดกว่ากระจกทองแดงเยอะเลย สนมนางในในวังต้องชอบมันแน่นอน"แล้วเธอก็หยิบขวดน้ำหอมแบบลูกกลิ้งขวดนั้นออกมา จากนั้นดึงมือของเย่จิ่งอวี้มาและทามันไปที่หลังมือของเขา"นี่คือน้ำหอมไข่มุกหลิวหลี กลิ่นหอมติดทนนาน ข้ากล้ารับประกันเลยว่าหากสนมนางในในวังใช้สิ่ง
อินชิงเสวียนกลับไปถึงวังแล้วแม้ว่าเธอจะเป็นจอมหลงทาง แต่ขอแค่ท่องไว้ว่าเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็ยังสามารถกลับถึงได้อย่างสบายๆอวิ๋นฉ่ายเฝ้ารออยู่ที่รูกำแพง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคลานเข้ามา เธอก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเจ้านาย"พระสนม ราบรื่นไหมเพคะ?"อินชิงเสวียนยืดตัวตรง"แม้ว่าจะมีติดขัดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าราบรื่น"อย่างแย่ก็แค่สูญเสียคะแนนสะสมไปนิดหน่อย แต่ก็ย่อมดีกว่าโดนเจ้าชาติชั่วสองคนนั้นโกง"ยายหลี่หลับแล้วหรือ?"อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบา "กำลังกล่อมองค์ชายน้อยอยู่ คงใกล้นอนแล้วเช่นกันเพคะ""เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ อย่ารบกวนพวกเขาเลย"อวิ๋นฉ่ายรับคำ แล้วพยุงอินชิงเสวียนเข้าไปในเรือนเมื่อเธอเข้าไปดูในช่องว่าง ก็อดดีใจไม่ได้ ในที่สุดพืชผักก็ออกดอกแล้ว ถ้านับเวลาตามนี้ละก็ ประมาณสักสามสี่วันก็คงจะติดผลแม้ว่าจะไม่ทันใจเหมือนตอนมือใหม่ แต่ได้เก็บเกี่ยวทุกครึ่งเดือน เธอก็ยังรับได้พอหลับตา เธอก็นึกถึงทหารที่พบวันนี้อีกที่อินชิงเสวียนดึงดันจะไปหาเขา ก็ไม่ได้เพียงเพื่อขายของเท่านั้น แต่เธออยากผูกสัมพันธ์อื่นกับเขาไว้ด้วยสองพี่น้องตระกูลหวังถ้ามีความสามารถก็คงไม่ต้องม
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มันคือสิ่งของของฮว๋าเซี่ย หากเสียนเฟยชอบ ก็มาดูก่อน"ลู่จิ้งเสียนนึกว่าเย่จิ่งอวี้จะมอบของพวกนี้ให้เธอ เธอจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้น"นี่คือกระจกงั้นหรือ ส่องชัดมากเลยเพคะ"จากนั้นก็หยิบลิปสติก ถามด้วยความตะลึง "แล้วนี่คืออะไรหรือเพคะ?"เย่จิ่งอวี้ขี้เกียจพูดกับเธอ เขาส่งสายตาไปให้หลี่เต๋อฝูหลี่เต๋อฝูจึงรีบโค้งตัวแล้วแนะนำ "นี่เรียกว่าลิปสติก ใช้แทนผงชาดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนี้คือน้ำหอม ทาแล้วจะมีกลิ่นหอมแตะจมูก กลิ่นจะคงอยู่นาน ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเขาเปิดฝาขวดน้ำหอมออก ลู่จิ้งเสียนก็ได้กลิ่นหอมในทันที และอดตาลุกววาวไม่ได้"ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันชอบทุกอย่างเพคะ"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ภายในแฝงแววเย้ยหยันและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "อย่างละหนึ่งพันตำลึง"ลู่จิ้งเสียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความตะลึงงัน"เอ่อ...ฝ่าบาทจะทรงขายของเหล่านี้ให้หม่อมฉันรึเพคะ?"เย่จิ่งอวี้พูดด้วยใบหน้าเฉยชาว่า "ตอนนี้ผู้คนอดอยากล้นบ้านเมือง ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน ข้าจะให้เสียนเฟยนำเงินเล็กน้อยมาช่วยเหลือเหล่าพสกนิก
เดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงถนนยาวหน้าตำหนักฉงหวู่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเดินมาไม่หลงทาง ดูท่าเดินถูกทางก็มีข้อดีเหมือนกันพอเดินมาถึงปากทาง อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และกังวลเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมาหน้าประตูตำหนักฉงหวู่เงาสูงโปร่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างทางแสงจันทร์ยามค่ำคืนยิ่งทำให้เงาของเขายืดยาวมากขึ้นผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้เขามองไปไกล และคิ้วขมวดเล็กน้อยพลางคิดใจในว่าควรพบกับบ่าวคนนี้รึไม่บางทีอาจเป็นเพราะบ่าวคนนี้ไม่รู้จักตนเอง จึงทำให้เย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกแปลกใหม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะการที่เขาไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน กล้าทำการค้าขายซึ่งๆ หน้าตัวเองก็ได้แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกกันผู้ติดตามออก และมาที่นี่คนเดียวเขามองดูพระจันทร์อีกครั้ง ตอนนี้เวลาสามทุ่มแล้วในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ได้ปะปนแววหงุดหงิดเล็กน้อยเจ้าสุนัขรับใช้ ใจกล้าจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ขณะที่กำลังจะหันหลังเข้าตำหนักฉงหวู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า "ท่านพี่ทหาร ใช่เจ้าไหม?"เย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนที่กำลังหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าเหมือนโจรในทัน
อวิ๋นฉ่ายเบะปาก"สองพี่น้องตระกูลหวังอีกแล้วแน่เลย พวกเราอย่าสนใจพวกเขาอีกเลยเพคะ"ยายหลี่พูดว่า "ต่อให้เราไม่ให้ของพวกเขา เราก็ไม่ควรจะปฏิเสธด้วยวิธีนี้ โบราณว่าไว้ลูกน้องเบี้ยล่างรับมือยากกว่าหัวหน้า ถ้าเราทำให้พวกเขาโกรธ แล้วเที่ยวออกไปพูดจาเลอะเทอะ จะเกิดปัญหากับวังเย็นของเราได้"อินชิงเสวียนคิดไปคิดมา เธอก็รู้สึกเช่นกันว่าที่ยายหลี่พูดมีเหตุผล"เช่นนั้นก็ไปรับมือกับพวกเขาหน่อย""พระสนมวางใจ บ่าวทราบว่าควรจะพูดอย่างไรเพคะ"ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยให้อินชิงเสวียน แล้วก็เดินไปที่ประตูวังพี่น้องตระกูลหวังเคยได้กินกำไร จึงไม่แปลกที่จะเฝ้ารอเฝ้าถาม แต่ทว่าเวลาก็ล่วงเลยไปสามสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ของ จึงอดร้อนใจไม่ได้ยายหลี่เดินไปถึงตรงประตู"ช่วงนี้เราไม่มีสินค้า รออีกสักระยะก็แล้วกัน"หวังเอ้อร์หวู่หัวเราะในลำคอ "ที่จริงจะเอาแบบนี้ก็ได้ ยายบอกต้นทางสินค้ากับพวกเรา เดี๋ยวพวกเราไปซื้อกันเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเอาเงินมาให้พวกเจ้า แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ?"ยายหลี่แค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สารเลวสองคนนี้ช่างโลภมากจริงๆ พอบรรลุเป้าหมายแล้วก็คิดจะถีบหัวส่งแต่เธอกลับยิ้มและพูดว่า "เรื่อง
หอฉงฮวาเจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนาเข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลยวิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลยจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรและเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้าซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอกเหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออกเมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแ
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตาเธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?""เอ่อ..."อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?""เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าใน