Share

บทที่ 10 หาทางออกด้วยตัวเอง

เธอลุกขึ้นพร้อมกับเอามือนวดที่เอวไปด้วย แล้วไอกระแอมและพูดว่า "ข้าเป็นคนของหอฉงฮวา เพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน แต่ไม่ระวังเดินหลงทาง รบกวนท่านพี่ทหารช่วยชี้ทางให้หน่อยได้ไหม"

ตอนที่เดินมา เธอจำได้ว่าตัวเองเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าหอฉงฮวา ซึ่งเดินตรงไปตามทางนั้นก็จะไปถึงวังเย็น

พี่ทหาร?

เย่จิ่งอวี้หลี่ตาลง สายตาที่นิ่งลึกกวาดมองใบหน้าอินชิงเสวียน

นึกไม่ถึงว่าในวังแห่งนี้ยังมีบ่าวที่ไม่รู้จักตนเองอยู่ด้วย

น่าจะเป็นคนที่ติดตามพวกหญิงงามมา

เขาหันไปทางทิศตะวันตก พูดด้วยเสียงเย็นชา "เดินไปสุดทางนี้แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็จะเห็นหอฉงฮวาแล้ว"

อินชิงเสวียนฟังแล้วก็ชะงักค้าง ในยุคปัจจุบันเธอเรียกว่าเป็นจอมหลงทางเลย ขนาดมีจีพีเอสนำทางทางเธอยังสามารถหลงได้ เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า "ท่านพี่ทหาร รบกวนท่านไปส่งข้าระยะหนึ่งได้ไหม?"

แววตาเย่จิ่งอวี้ฉายแววเยือกเย็นลง

ขันทีหนุ่มคนนี้จะได้คืบเอาศอกมากไปแล้ว

เมื่อเห็นเขาทำหน้าไม่พอใจ อินชิงเสวียนก็เบะปาก

พิมพำเสียงเบา "ไม่ไปส่งก็ไม่ไปส่งสิ จะดุขนาดนี้ไปทำไม"

เธอนวดเอวตัวเองพลางพูดว่า "เดินไปทางนั้น เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาสินะ ขอบคุณมาก"

อินชิงเสวียนเองก็ไม่อยากเสียเวลากับคนแล้งน้ำใจ เธอหันหลังกลับอย่างแรง ทันใดนั้นเอวที่ล้มกระแทกพื้นเมื่อกี้นี้ก็เกิดเคล็ดเพิ่มอีก

ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา ทำให้ขาเธออ่อนแรงในทันที จนล้มในท่าหน้าขมำพื้น

อินชิงเสวียนตกใจมาก รีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง

ขอเพียงไม่ล้มโดนหน้า ที่อื่นเธอสามารถทนเจ็บได้

ในเสี้ยววินาทีวิกฤต มือหนึ่งยื่นมาจับเข็มขัดของเธอไว้ และดึงเธอลุกขึ้นมา

เมื่ออินชิงเสวียนยืนมั่นคงแล้ว เธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ

จึงพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเพราะความเคอะเขินว่า "ปล่อยมือ หากเอวข้าต้องหักเพราะเจ้ากระชาก เจอกันครั้งหน้าข้าจะให้เจ้าชดใช้"

พูดจบเธอก็ผลักเย่จิ่งอวี้ออก แล้วก้าวขาวิ่งไปข้างหน้า

เมื่อมองดูแผ่นหลังที่ตื่นตกใจของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มมุมปาก คนที่กล้าคิดบัญชีกับเขา เจ้าขันทีหนุ่มช่างไฟแรง ไม่รู้จักเกรงกลัวดั่งลูกวัวเพิ่งคลอดไม่กลัวเสือเสียจริง

แต่เพราะเหตุการณ์นี้ ทำให้ความโกรธของเย่จิ่งอวี้บรรเทาลงไม่น้อย

เขาเก็บกระบี่ แล้วเดินไปที่ห้องหนังสืออีกครั้ง

ขณะนั้น อินชิงเสวียนวิ่งด้วยความเร็วตลอดทาง และเลี้ยวขวาสองครั้ง ในที่สุดเธอก็หาป่าเล็กที่อวิ๋นฉ่ายทำกิจธุระส่วนตัวพบ

อวิ๋นฉ่าย? อวิ๋นฉ่าย?

เธอเรียกไปสองครั้ง ทว่าไม่มีคนตอบ จึงเดาว่าอวิ๋นฉ่ายคงจะกลับไปแล้ว

อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ และรีบคลานกลับเข้าไปทางรูกำแพงเช่นกัน

ทันทีที่เข้าประตูมา เธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ อินชิงเสวียนจึงเร่งเท้าเดินเข้าไปขางใน

"มีอะไรหรือ?"

อวิ๋นฉ่ายกำลังคุกเข่าและร้องไห้อยู่บนพื้น ด้านข้างคือยายหลี่ที่ยืนปั้นหน้าเขียวอยู่

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน อวิ๋นฉ่ายก็หันหลังกลับอย่างตื่นเต้น

"พระสนม พระองค์ไปไหนมาเพคะ บ่าวใจหายใจคว่ำหมดเลย"

อินชิงเสวียนลูบเบาๆ ไปที่ศรีษะของอวิ๋นฉ่ายเหมือนอย่างที่ลูบหัวสุนัข และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ "ลุกขึ้นมาเถอะ ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังทำธุระ ก็เลยเดินเล่นไปรอบๆ หยุดร้องได้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว"

สีหน้าของยายหลี่ก็ยังคงย่ำแย่เช่นเดิม เธอยกกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลงเช่นกัน

"บ่าวทราบว่าพระสนมอยากออกไปข้างนอก แต่ก็ไม่ควรประมาทเช่นนี้ หากถูกจับได้ขึ้นมา จะต้องถูกตัดหัวเลยนะเพคะ พระสนมหวังมาตลอดว่าอยากพาองค์ชายน้อยออกไปหาใต้เท้ามิใช่หรือ หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ใครเล่าจะพาองค์ชายน้อยออกไปได้อีกเพคะ"

อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าตนเองนั้นปลากระดี่ได้น้ำเกินไปเช่นกัน

เธอไอกระแอม และพูดด้วยเหตุผลอันน้อยนิดว่า "เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า ข้ารับปากว่าวันหลังจะไม่ออกไปอีกแล้ว พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ เกิดกวนเจ้าหมาน้อยตื่น พวกเราก็อย่าหวังจะได้นอนกันเลย"

อินชิงเสวียนไม่กล้ามองยายหลี่ พูดจบก็เดินเข้าบ้านไปด้วยความร้อนตัว

เธอนอนลงบนเตียง ทว่าเอวและก้นของเทอยังคงเจ็บมาก นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอโดนทุ่ม โดยครั้งแรกนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เรียนเทควันโด

ต่อไปห้ามเข้าไปแตะคนอื่นจากด้านหลังอีกแล้ว

อินชิงเสวียนนอนไม่หลับ จึงเข้าไปในช่องว่าง เธอตักน้ำพุวิญญาณมาหนึ่งกะละมังแล้วแช่ตัว หลังจากอาบน้ำเสร็จสรรพก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่คิดไว้ ไม่ว่าจะตรงไหนก็รู้สึกสบายไปหมด

เธอกลับมาที่เตียง และไม่ทันไรก็ไปเฝ้าพระอินทร์เสียแล้ว

ในตอนที่สะลึมสะลือ เธอได้ยินเสียงยายหลี่พูดด้วยความโมโหว่า "เจ้าสองหมาชั่วช้าตระกูลหวัง นับวันก็ยิ่งไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา กระจกสองบานกับน้ำหอมสองขวด ไม่นึกเลยว่าจะให้พวกเราแค่สองร้อยตำลึง นี่มันตกชิ้นละห้าสิบตำลึงเท่านั้นเอง"

อินชิงเสวียนลุกนั่งทันที และเพิ่งพบว่าฟ้าสว่างมากแล้ว

"ยายหลี่ เจ้าหมาชั่วช้าสองคนนั้นพูดว่าอย่างไร?"

ยายหลี่รีบเดินเข้ามาข้างใน พูดอย่างโมโห "บอกว่าของขายยาก จึงต้องขายในราคาถูก"

อินชิงเสวียนเองก็รู้สึกเดือดปุดขึ้นมาเช่นกัน

"ไอ้สองชาติชั่วนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งโลภมาก ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ไปหาคนขายอื่นดีกว่า"

ยายหลี่พูดด้วยหน้านิ่ว "พวกเราอยู่ในนี้ ออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่สามารถติดต่อได้ก็มีแค่พวกเขาสองคน"

อินชิงเสวียนนึกถึงทหารคนเมื่อคืนขึ้นมา

ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว น่าจะเป็นขุนนาง เขาต้องรู้จักคนไม่น้อยแน่นอน

ถ้าเขายอมช่วยตนเองขาย มันต้องได้ราคาดีกว่าหมาชั่วช้าสองคนนี้ขายแน่นอน

คนที่เข้ามาทำงานเป็นข้าหลวงต่างก็มุ่งหวังจะได้กินอิ่มนอนหลับ แล้วใครจะโง่ขนาดที่มีกำไรงามให้แต่ไม่เอาบ้าง

จึงพูดขึ้นว่า "เมื่อวานข้าได้พบกับทหารคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ หรือข้าลองไปถามเขาดู? หากสำเร็จ ข้าค่อยหาวิธีทำให้เจ้าหมาชั่วช้าสองคนนี้คายเงินที่พวกเขาโกงไปคืนเรา"

ยายหลี่ส่ายหน้า "ไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไปเพคะ"

อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าอึมครึม "เช่นนั้นยายหลี่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ?"

ยายหลี่เงียบไม่พูดทันที

อินชิงเสวียนเดินไปข้างยายหลี่ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น

"เจ้าวางใจเถอะ ใครจะไปคิดได้ว่าพวกเราออกมาจากวังเย็น หากมีคนถาม ข้าก็แค่พูดชื่อวังไหนก็ได้ไปสักแห่ง"

เธอหยุดเว้นช่วง แล้วพูดต่อว่า "แม้ว่าของเหล่านี้ท่านเซียนจะให้ข้ามา แต่มันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน ดังนั้นมันจะทุกข์ที่ข้า แล้วพวกเขาได้โกงกินง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้"

ยายหลี่เงยหน้าขึ้นทันที และถามด้วยความกังวล "พระสนมจ่ายค่าตอบแทนอะไรไปกันแน่เพคะ?"

"เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก"

อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อน แล้วพูดต่อว่า "เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้วกัน คืนนี้ข้าจะออกไปหาเขาดู"

ยายหลี่เห็นว่ายากจะเปลี่ยนใจเธอ จึงได้แต่พูดด้วยความจนใจ "พระสนม พระองค์ต้องระวังตัวให้มากๆ นะเพคะ หากถูกจับได้ ทุกอย่างก็จบแล้ว"

อินชิงเสวียนพยักหน้า แล้วก็เข้าไปในช่องว่าง

พืชผักของเธอยังไม่ออกดอก แต่คะแนนกลับลดลงเรื่อยๆ

เธอแลกซื้อกระจกสองบาน น้ำหอมแบบลูกกลิ้งสองขวด และลิปสติกสองแท่งมาด้วยความช้ำเนื้อช้ำใจ

ทันทีที่พ้นสามทุ่ม อินชิงเสวียนก็เปลี่ยนชุดขันทีและคลานออกจากรูบนกำแพง

เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา เธอจึงไม่ได้ให้อวิ๋นฉ่ายตามไปด้วย เธอกอดสเปรย์พริกไทยที่ใช้คะแนนแลกมาไว้ในอ้อมอก ถ้าทหารคนนั้นกล้าเปิดโปงเธอ เธอก็จะให้เขาได้สัมผัสความร้ายกาจของไฮเทคดูบ้าง

เมื่อเดินไปตามความทรงจำเมื่อคืนนี้ ในที่สุดอินชิงเสวียนก็หาตำหนักฉงหวู่พบหลังจากที่เดินหลงไปสองรอบ

เห็นเพียงข้างในนั้นมีเงาคนเยอะแยะ ดูเหมือนจะมีคนจำนวนไม่น้อย และด้านข้างประตูยังมีทหารที่สวมชุดเกราะยืนเฝ้าอยู่สองคนด้วย

ดูจากสถานการณ์นี้แล้วคงจะเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าง่ายๆ ไมไ่ด้

ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะถามทาสบ่าวดูดีไหม ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เยือกเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง "ผู้ใดมาทำลับล่อๆ ตรงนี้?"
Comments (2)
goodnovel comment avatar
Thunyapron Nana
โง่ ไม่มีสติปัญญา มีแต่ความปัญญาอ่อน ตายอีกรอบเหอะ อิโง่
goodnovel comment avatar
Nitpimpa Nitpimpa
ิคิดว่านางเอกเรื่องนี้ทำไมโง่งี่เง่าจัง​ นึกว่าจะมีสติปัญญาซะอีก​
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status