ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า "สงสารก็แต่คนแซ่อินนั่น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีรับสั่งให้แต่งงานเข้าจวนรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทก็ได้ครองบัลลังก์แล้ว แต่นางกลับถูกขับให้ไปอยู่ที่วังเย็นแทน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้เลยจริงๆ"เมื่อพูดจบ ไทเฮาก็วางตะเกียบในมือลง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องลู่จิ้งเสียนเห็นดังนั้นก็รีบถกกระโปรงแล้วเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า "มีสิ่งใดให้สงสารกันเพคะ หากว่าอินชิงเสวียนชอบอันผิงอ๋องจริง ก็ควรที่จะต่อต้านพระราชโองการจนถึงที่สุด นางไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด หากคนที่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคือหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็คงจะไม่เย็นชาต่อวังหลังเช่นทุกวันนี้"ไทเฮาตรัสตอบอย่างไม่พอพระทัยว่า "ตอนนั้นสถานการณ์มันไม่ชัดเจน จะให้ข้าเห็นด้วยได้อย่างไร หากว่าองค์รัชทายาทเสียอำนาจขึ้นมา เจ้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ตอนนี้เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก"เมื่อเห็นสีหน้าทะมึนทึงของไทเฮา ลู่จิ้งเสียนก็รีบร้อนคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัยทันที"ไทเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่พอใจ
พูดยังไม่ทันจบดี นางก็ต้องรีบปิดปากแล้วหันไปมองยังอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนยักไหล่ให้เหมือนไม่ใส่ใจอะไร จะคล้ายใครเหมือนใคร ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ก็เธอไม่ใช่แม่นิแต่ว่าถ้าฝ่าบาทหน้าตาแบบนี้จริง ก็ออกจะดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหน่อยหรือเปล่า!หน้าแบบนี้จะเอาอะไรไปสยบพวกขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหลายล่ะ?เมื่ออินชิงเสวียนจินตนาการไปถึงเจ้าหมาน้อยตอนโต ก็รู้สึกแอบขนลุกหน่อยๆเจ้าหมาน้อยยังคิดว่าอินชิงเสวียนแกล้งเขาเล่น จึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมายายหลี่รีบพูดต่อว่า "องค์ชายน้อยไม่ได้เห็นหน้าพระสนมมาหลายวันแล้ว จะต้องคิดถึงมากแน่ๆ พระสนมรีบเข้าไปอุ้มองค์ชายสักหน่อยเถิดเพคะ"ยายหลี่กลัวว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบเด็ก ถึงแม้ฝ่าบาทจะเลวร้ายเพียงไร แต่เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของพระสนมเอง หากว่าแม่แท้ๆ เองยังไม่รัก ก็คงจะน่าสงสารมากอินชิงเสวียนยื่นมือออกไปข้างหน้าทันที ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมอุ้ม ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบเด็ก แต่ว่าเด็กน้อยยังตัวเล็กมากๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอุ้มยังไง แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านั้นก็ย่อมหายไปเจ้าหมาน้อยใช้มือเล็กๆ กอดท
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขาละสายตาไปยังที่อื่น เผยให้เห็นถึงท่าทางที่ยากจะเข้าถึง"ข้าแค่เพียงกำลังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถคิดสิ่งที่วิเศษเช่นนี้ออกมาได้"อินชิงเสวียนถอดหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงได้พูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผายว่า "บ้านเมืองจะรุ่งเรืองหรือฉิบหาย ทุกคนล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบ ถึงบ่าวจะเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อแผ่นดินได้ ดังนั้นจึงพยายามคิดหาวิธีการออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้พิจรณาอีกที"เย่จิ่งอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนไฟในใจถูกจุดให้ลุกโชนคิดไม่ถึงเลยว่าขันทีตัวเล็กๆ จะสามารถพูดอะไรที่มีความหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้หากว่าขุนนางทุกคนในต้าโจวมีความคิดเช่นเดียวกับเขาได้ เช่นนั้นแผ่นดินนี้ก็คงไม่มีความเดือดร้อนอีกเสียดายเพียงแค่ เขาเป็นชายที่ถูกตอนแล้ว ไม่สามารถแต่งตั้งให้รับตำแหน่งในราชการได้ ไม่เช่นนั้น...เมื่อเห็นว่าสายตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ฉายแววประหลาด อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อด้วยฐานะของเธอตอนนี้ จะต้องไม่พยายามเป็นจุดสนใจ ดังนั้นเธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งค
ที่วังเย็นเดิมทีอินชิงเสวียนก็จะออกไปแล้ว แต่เจ้าหมาน้อยไม่รู้เป็นอะไร พอกินนมเสร็จก็เริ่มร้องไห้ ไม่ว่าจะปลอบยังไงก็ไม่ยอมเงียบเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยร้องไห้จนหน้าตาแดงก่ำ ยายหลี่ก็เป็นกังวลจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มศีรษะ จวนจะร้องไห้ออกมาแล้ว"เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่องค์ชายน้อยยังดีๆ อยู่เลย ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ จึงร้องไห้มากมายเช่นนี้?""หรือว่าจะยังกินไม่อิ่ม อวิ๋นฉ่ายเจ้าไปชงนมมาเพิ่มสิ"เมื่อเห็นเจ้าหมาน้อยกำหมัดเล็กๆ แน่น น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง อินชิงเสวียนก็รู้สึกกระวนกระวายจนหน้าแดงตามไปด้วยอวิ๋นฉ่ายรับคำแล้วก็รีบไปชงนมมาเพิ่มอีกสองช้อน ชงเสร็จก็รีบเอาไปจ่อไว้ข้างปากของเจ้าหมาน้อยทันที แต่หมัดสีชมพูเล็กๆ กลับปัดออกทันที จากนั้นเด็กน้อยก็ยังร้องไห้ต่อไม่ยอมหยุดอินชิงเสวียนรีบเดินไปปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ในตอนกลางดึกเช่นนี้เสียงดังออกไปได้ไกลนักเชียว อีกอย่างที่หน้าประตูใหญ่ก็ยังมีสองพี่น้องตระกูลหวังยืนเฝ้าอยู่ด้วย ถึงแม้ที่ตั้งของวังเย็นจะห่างไกล แต่ก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาดหากว่ามีคนรู้ว่านางคลอดเด็กออกมาล่ะก็ ดีไม่ดีพวกนางทั้งหมดอาจจะต้องไปพบยมบาลเลยทันทีก็ได้"ไม่ร้องนะๆ ล
ซูฉ่ายเวยกำลังเตรียมตัวเข้านอน ก็ได้ยินคำพูดที่น่ายินดีเสียก่อนนางคว้าคอเสื้อของนางกำนัลคนหนึ่งมาถามเพื่อความแน่ใจ "ฝ่าบาทเสด็จมา? ข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่?"นางกำนัลซงลั่วพูดตอบอย่างดีใจว่า "เจ้านายได้ยินไม่ผิดแล้วเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ เจ้านายรีบออกไปรับเสด็จเถิดเพคะ"ซูฉ่ายเวยทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะนางเพิ่งจะถอดเครื่องประดับออก สีปากก็ลบออกแล้ว ชะ...เช่นนี้จะไปกล้าพบผู้คนได้อย่างไร"มานี่ รีบมาแต่งตัวให้ข้า เร็ว เอาเครื่องประดับของข้ามาด้วย สีทาปากด้วย"ซูฉ่ายเวยรีบร้อน จนทำเครื่องประทินโฉมต่างๆ หกลงเลอะพื้นห้องไปหมด เหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ก็ยิ่งพากันร้อนรนจนวุ่นวาย เพื่อจะช่วยซูฉ่ายเวยแต่งตัวได้แล้วเสร็จเย่จิ่งอวี้เดินลงมาจากเกี้ยวที่ประทับแล้ว เขากำลังใช้สายตาอันเย็นเยียบกวาดมองไปทั่วหอจากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "เรียกทุกคนที่อยู่ข้างในออกมาให้หมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขันทีและนางกำนัล"หลี่เต๋อฝูมองไปที่ฝ่าบาทหนึ่งครั้ง ในใจก็ได้แต่สงสัย เมื่อครู่เขายังคิดอยู่เลยว่าฝ่าบาทถูกใจในตัวหญิงงามนางนี้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูจะไม่ใช่อย่างนั้น"พ่ะย่ะค่ะ"เขาเดิน
"มีอะไรหรือ?"หวังเอ้อร์หวู่ก็ตกใจจนทรุดนั่งลงบนพื้นวังเย็นในปัจจุบันก็คือวังเย็นซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิองค์ก่อน ว่ากันว่ามีนางสนมที่ถูกแขวนคออยู่ข้างใน แม้ว่าสถานที่นี้จะถูกทำความสะอาดอย่างดีหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ แต่ข่าวลือที่น่ากลัวมากมายก็ยังคงแว่วมาไม่ขาดสายหวังต้าหวู่พูดขึ้นอย่างขนหัวลุก "ข้ารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จริง ๆ นะ"หวังเอ้อร์หวู่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ไม่มีทาง กลางวันแสก ๆ พวกผีสางคงไม่กล้าออกมาอาละวาดหรอก"หวังต้าหวู่พิงประตูหายใจแรง"มันก็ไม่แน่นะ ข้าว่าเราอย่ามาอยู่ดูแลที่นี่เลยดีกว่า เงินพวกนี้เราไปขอแลกตำแหน่งกับทหารคนอื่นดีกว่า"แต่หวังเอ้อร์หวู่ยังคงต้องการสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น”ไม่ได้ ถ้าพวกเราไปจากที่นี่แล้ว หากพวกนางมีของมาขายอีกก็คงไปหาคนอื่น เงินเป็นกอบเป็นกำขนาดนี้ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าของพวกนี้นอกวังขายดีขนาดไหน"หวังต้าหวู่หยุดพูดทันที ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าความจนอีกแล้วเมื่อนึกถึงเงินแล้ว ความกล้าก็กลับมาอีกครั้ง“ข้าจะลองขว้างก้อนหินอีกก้อนเข้าไปตรงนั้น”ทั้งสองปีนขึ้นไปบนประตูวังและขว้างก้อน
"โอ๊ย!"อินชิงเสวียนกรีดร้องโดยไม่รู้ตัวจากนั้นเธอก็รู้สึกว่าเอวถูกรั้งแน่น เย่จิ่งอวี้ลากเธอไปด้านหลัง“ไป๋เสวี่ย หยุดเดี๋ยวนี้"เย่จิ่งอวี้ดุเสียงดังไป๋เสวี่ยไม่ได้กระโจนใส่คน มันหมุนตัวไปรอบ ๆ และวิ่งไล่เธอ โดยมีอุ้งเท้าปุกปุยสองข้างโอบเอวของอินชิงเสวียนอยู่ มันอ้าปากกว้าง ดวงตาประจบประแจง และหางใหญ่ของมันแกว่งไปมาราวกับว่ามันกำลังจะบินออกไปจากนั้นอินชิงเสวียนถึงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นไป๋เสวี่ย เธอหลุดถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเอื้อมมือมาลูบเบา ๆ ที่หัวอันใหญ่โตของมัน“อยากให้ข้าตกใจตายเลยหรือไง”ไป๋เสวี่ยไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร อย่างไรก็ตามมันมีความสุขมากที่ได้เจอกับอินชิงเสวียน และมันยังได้กลิ่นหอมของเนื้อ อดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้นไปมา ส่งเสียงครวญครางในลำคอ และอ้อนวอนอยากจะขอกินสักคำอินชิงเสวียนหยิบซาลาเปาที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งโยนเข้าไปในปากอันใหญ่โตของมัน ไป๋เสวี่ยวางอุ้งเท้าของมันลงทันทีและกินหมดภายในสามคำเย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจไป๋เสวี่ยเดิมทีไม่เคยใกล้ชิดกับใคร ขันทีในวังมักจะถูกมันกัด แต่ทำไมจึงสนิทชิดเชื้อกับขันทีหนุ่มเช่นนี้?ในขณะที่คิดเกี่ยวกับ
อินชิงเสวียนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่แล้วก็นอนไม่หลับอีกเธอปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่ต้องบอกว่าทรมานขนาดไหนเมื่อก่อนมักจะได้ยินคุณย่าพูดว่านอนหลับมันทรมาน อินชิงเสวียนคิดว่าแกคงพูดเกินจริง ตอนนี้เมื่อประสบกับตัวเองโดยตรงถึงรู้ว่าเกือบตายเธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงทั้งวัน ข้าวก็แทบจะไม่ได้กิน ทุกข์ทรมานจนดวงอาทิตย์ลับของฟ้า เมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นอินชิงเสวียนจึงรู้สึกง่วงอวิ๋นฉ่ายอยากถามเธอว่าคืนนี้จะออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นพระสนมของตนดูท่าทางไม่ค่อยดี จึงกลืนเอาคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาลงท้องไปอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้าสว่างไสวแล้วเธอบิดขี้เกียจอย่างสบาย ๆ แต่ในใจยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่การนอนไม่หลับนั้นมันทรมานราวเหมือนจะตายเลยจริง ๆเมื่อเจ้าหมาน้อยได้ยินเสียงแม่ของเขา ก็ร้องอุแว้ ๆ ขึ้นมาทันทีอินชิงเสวียนเดินออกไปที่ห้องด้านนอก แล้วอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาดูเหมือนเจ้าหมาน้อยจะรู้จักแม่ของเขาแล้ว กวัดแกว่งมือเท้าด้วยความดีใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ดวงตาสีเข้มของเขาโค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ สองอัน อินชิงเสวียนมองอย่างอารมณ์ดี หอมเข้