เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่จิ้งเสียนก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีดึกดื่นป่านนี้ ฝ่าบาทกลับเรียกหาซูฉ่ายเวย หรือว่าต้องการให้หญิงสารเลวนั้นมาเข้าเฝ้าหลับนอนด้วยอย่างนั้นหรือ?หากนางได้มาเข้าเฝ้า เช่นนั้นแล้ววังหลังยังจะมีที่ว่างให้ตนได้อย่างไรนางรีบเอามือกุมท้องแล้วส่งเสียงร้องโอดโอย"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บเหลือเกินเพคะ"ชุ่ยจู๋ร้องขึ้นทันที "ฝ่าบาททรงโปรดช่วยเหลือพระสนมด้วยเพคะ พระสนมอาการโรคหัวใจกำเริบอีกแล้วเพคะ"เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่ง แววตาถากถางพูดขึ้นเรียบ ๆ ว่า "ทหาร รีบพาสนมเสียนเฟยไปหาหมอหลวงเดี๋ยวนี้"ลู่จิ้งเสียนเอามือกุมอก พูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้น "ฝ่าบาท อยู่กับหม่อมฉันเถอะนะเพคะ"เย่จิ่งอวี้คำรามเสียงเย็น "ข้าไม่ใช่หมอ อยู่กับเจ้าจะช่วยอะไรได้""ฝ่าบาท!"ลู่จิ้งเสียนไม่ยอมแพ้ ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง แต่ถูกขันทีหลายคนหามขึ้นมา ลู่จิ้งเสียนโมโหจนแทบกระอักเลือด ทั้งก่นด่าทั้งดีดดิ้น"ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมดเดี๋ยวนี้"ในขณะเดียวกัน ขันทีที่ต้องไปรับซูฉ่ายเวยก็มาถึงหอฉงฮวาซูฉ่ายเวยกำลังหลับสบาย จู่ ๆ ก็ได้ยินว่าฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้าก็ตื่นเต้นดีใจจนตกลงจากเตียง"เร็วเข้า รีบแต่งหน
อินชิงเสวียนเหลือบมองประตูวัง ข้างบนเขียนว่าหอฉงฮวาเดิมทีเธอรู้สึกผิดต่อสนมนางนี้เล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะตนที่ทำให้นางต้องว้าวุ่น แต่เมื่อดูท่าทางโกรธกริ้วของนางในตอนนี้นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าความกังวลของเธอนั้นไม่จำเป็นเลยแต่ทว่าอีกฝ่ายก็เป็นถึงสนม ถึงอย่างไรก็ต้องแสดงออกเสียหน่อยเธอรีบยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “คารวะพระสนม"ซูฉ่ายเวยก้มหน้ามองอินชิงเสวียนถือของอยู่ในอ้อมแขนก็พูดขึ้น "เจ้าถืออะไรอยู่ในมือ ไปขโมยมาจากไหน?"อยู่ดี ๆ ก็บอกว่าเธอขโมย อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ชอบใจเธอก้มศีรษะลงและแสดงความนอบน้อมต่อซูฉ่ายเวย“กระหม่อมไม่ได้ขโมย นี่เป็นสิ่งของที่ต้องมอบให้ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ"ซูฉ่ายเวยกวาดสายตาประเมินอยู่ชั่วครู่ สายตาก็ไปจับจ้องที่ใบหูของอินชิงเสวียน“เจ้าทาสรับใช้สามหาว เจ้ากล้าพูดไร้สาระ ฮ่องเต้บรรทมไปแล้ว เหตุใดถึงยังจะมารับของจากเจ้า เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าไปขโมยมาจากที่ไหนกันแน่"อินชิงเสวียนถูกหยิกจนเจ็บ จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันทียังไม่ได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เสียหน่อย ทำไมต้องกลัวแค่หญิงงามคนหนึ่งด้วยจากน
อินชิงเสวียนงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ทันที"นี่มันสำหรับข้าใช่หรือไม่?""เอ่อ....ใช่พ่ะย่ะค่ะ!"อินชิงเสวียนฝืนยิ้มเย่จิ่งอวี้หยิบเกี๊ยวมาอันนึ่งใส่เข้าไปในปากหลี่เต๋อฝูอุทานด้วยความตกใจ "ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!"ยังไม่ได้ตรวจสอบยาพิษเลยนะเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้กินมันเข้าไปโดยไม่มีความระแวดระวังใด ๆ อินชิงเสวียนเสียดาย หากรู้แต่แรกว่าเขาคือฮ่องเต้เฮงซวยนี่ ก็คงเอายาพิษใส่ให้กิน หรืออย่างน้อยยาถ่ายก็ยังดีกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามขึ้นว่า “แล้วนี่มันคือสิ่งใดอีก?"อินชิงเสวียนรู้สึกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแสร้งทำท่าทางนอบน้อม "สิ่งนี้เรียกว่าเกี๊ยว หรือเรียกอีกอย่างว่าหยวนเป่าพ่ะค่ะย่ะ"เย่จิ่งอวี้มองดูรูปร่างของเกี๊ยวซึ่งดูเหมือนเงินหยวนเป่าจริง ๆก็ถามขึ้นอีกว่า “เครื่องปรุงที่ใช้ทำเกี๊ยวก็มาจากฮว๋าเซี่ยเช่นกันหรือ?"อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "พ่ะย่ะค่ะ"แต่ในใจของเธอกำลังคิดหาวิธีหลบหนี หากตนไม่กลับไปทั้งคืน ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายจะต้องร้อนใจอย่างมากแน่ ๆไหนจะขันทีเฒ่าที่ชื่อหลี่เต๋อฝูนั่นอีก ชอบทำคอยาวจ้องมาที่ตน ไม่รู้ว่าต
"บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นคนของวังไหน ข้าจะให้หลี่เต๋อฝูไปเอามา"เย่จิ่งอวี้ได้แสดงความอดทนเป็นพิเศษต่อทาสรับใช้คนนี้อย่างมากแล้วอินชิงเสวียนสาปแช่งอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้สารเลวนี่คงไม่หลงกลง่าย ๆ จริง ๆเธอหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ จริง ๆ แล้วเมล็ดพันธุ์ก็อยู่กับตัวกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปเอาเดี๋ยวนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ เธอก็วิ่งออกจากตำหนักเฉิงเทียนไปเมื่อมองดูแผ่นหลังของเธอ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วแค่หยิบเมล็ดพันธ์ุออกมาทำไมต้องวิ่งออกไปข้างนอกด้วย ทาสรับใช้ผู้นี้ทำไมถึงทำตัวพิลึกพิกลเช่นนี้อินชิงเสวียนวิ่งมาถึงประตูแล้วก็เดินไปยืนที่เสาต้นหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เธอจึงรีบเข้าไปในมิติแล้วใช้คะแนนห้าแต้มแลกเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีออกมาเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องยากในการอธิบายที่มาของถุงพลาสติก เธอจึงแลกกระดาษหนังวัวออกมาใบหนึ่ง แล้วห่อเมล็ดทั้งหมดไว้แล้วนำออกมาเธอทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนชาวต้าโจว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเย่จิ่งอวี้เธอปลอบใจตัวเองแล้วเดินออกจากมิติมาหลี่เต๋อฝูบังเอิญเดินผ่านมาพอดี รู้สึกเพี
เช้าวันถัดมาอินชิงเสวียนตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตู เมื่อลืมตาขึ้นมาถึงคิดได้ว่าตนเองอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนมองดูตะวันทอแสงข้างนอก อินชิงเสวียนเดาว่าเย่เฉิงอวี้คงไปว่าราชการแล้ว ตนเองตื่นสายกว่าฮ่องเต้เสียอีก แบบนี้ดูจะไม่ดีเลยทีเดียวเมื่อเปิดประตูออกไป ก็มองเห็นเสี่ยวอานจื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู"เสี่ยวเสวียนจื่อ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที ให้คนอื่นเขารอจนร้อนอกร้อนใจไปหมดแล้วนะ"เสี่ยวอานจื่อกระทืบเท้าด้วยท่าทีกระแนะกระแหน จนอินชิงเสวียนที่มองดูถึงกับขนลุก"เสี่ยวอานจื่อกงกง เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ?"เสี่ยวอานจื่อยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว และจับไปที่เสื้อผ้าบนบ่าของอินชิงเสวียน"แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว ฝ่าบาทรับสั่งให้คนไปตัดถอนดอกไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียงออกและขุดเป็นแปลงผักแล้ว ตอนนี้รอเพียงเจ้าไปเพาะปลูก"อินชิงเสวียนเอามือทุบไปที่หัว ตนเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท"เช่นนั้นเราก็รีบไปดูกันเถอะ""เสี่ยวอานจื่อมองนาง "รีบไปเถอะ"อินชิงเสวียนออกจากห้อง ไป๋เสวี่ยก็ตามไปด้วยเสี่ยวอานจื่อตกใจ "ไม่ได้นะ ท่านไป๋เสวี่ยจะออกไปข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้"ตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยโดนกลั่นแกล้
ต้นไม้เพิ่งจะขุดขึ้นมา ทำให้ติดไฟยาก อินชิงเสวียนจึงให้คนหาไม้ฝืนมาจุดไฟเผาพร้อมกับพวกต้นไม้ด้วยทันใดนั้นก็มีควันขโมงขึ้นมา เย่จิ่งอวี้สำลักควันจนไอไม่หยุดหลี่เต๋อฝูรีบพูดขึ้นว่า "ฝ่าบาท ที่นี่ควันคลุ้งมาก เรากลับไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะเย่จิ่งอวี้ยกมือปิดจมูกไว้ แล้วพูดกับอินชิงเสวียนว่า "เผามันจนเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นแค่โรยมันไปบนหน้าดินใช่ไหม?"อินชิงเสวียนเองก็สำลักควันจนคอแห้งเช่นกัน ยกมือปิดปากแล้วพูดว่า "แค่กๆ พักไว้จนเย็นก็สามารถใช้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ตอบรับแล้วพูดว่า "หลี่เต๋อฝู เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ รอจนเถ้าถ่านโรยเสร็จหมดแล้วค่อยกลับห้องหนังสือ"หลี่เต๋อฝูหลุบตาลง"บ่าวน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ก้าวขาเดินไปแล้ว อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่กับที่กลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ควรจะตามไปด้วยหรือไม่?หลี่เต๋อฝูถือโอกาสมองไปที่ขาของอินชิงเสวียน โชคดีที่ยังมีเงาก็คงไม่ใช่ผีสางล่ะนะจากนั้นก็พูดเสียงสูงว่า "ยังไม่รีบตามเสด็จไปอีก ฝ่าบาททรงโปรดชาอุณหภูมิที่ร้อนกำลังดี ก่อนเสวยพระกระยาหารต้องทดสอบด้วยเข็มเงินเสียก่อน ฝ่าบาทไม่โปรดการบรรทมตอนกลางวัน ขณะที่กำลังอ่าน
สีหน้าอวิ๋นฉ่ายเปลี่ยนไปทันที เธอยกแขนขึ้นจับยายหลี่ไว้แน่นความตกใจกลัวฉายแววในดวงตาของยายหลี่ จากนั้นนางกัดฟันแน่น และหยิบเอาท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าประตูขึ้น"ยายแก่ ข้าคนนี้ไม่ยอมแพ้พวกเจ้าหรอก"อินชิงเสวียนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงสวมรองเท้าและตามออกไป"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"อวิ๋นฉ่ายรั้งเธอเอาไว้ ร้องไห้พร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไรเพคะ พระสนม พระองค์อย่าออกไปเพคะ"อินชิงเสวียนผลักอวิ๋นฉ่ายออก และเดินออกมาที่ประตูวังอย่างรวดเร็วก็ได้ยินเสียงหวังเอ้อร์หวู่พูดด้วยเจตนาไม่ดีว่า "ต่อไปถ้าปรนนิบัติข้าให้พอใจแล้ว รับรองเรื่องกินของพวกเจ้าไม่มีขาด ดังนั้นถ้ารู้ความก็รีบย้ายหินที่ปิดรูบนกำแพงออก ให้พวกข้าสองคนได้เข้าไปเล่นสนุกเสีย"หวังต้าหวู่ก็พูดสบทบตามว่า "เดิมทีว่าจะเข้าไปลิ้มรสพระสนมถูกปลดดูเสียหน่อย ใครจะไปนึกว่านางดันตายไปเสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ"เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อหันกลับหลัง ก็มองเห็นอวิ๋นฉ่ายน้ำตาไหลพราก นางส่ายหัวให้อินชิงเสวียน แล้ววิ่งเข้าไปในห้องวินาทีนั้น อินชิงเสวียนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวดูเหมือนสองสารเลวนั้นจ
เสี่ยวอานจื่อคุกเข่าลงอย่างร้อนรน"บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินว่าเป็นไทเฮา อินชิงเสวียนเองก็รีบคุกเข่าลงเช่นกันสายตาของเย่จิ่งอวี้มองไปที่ท้ายทอยของเธอ ความโกรธก็ฉายแววเล็กน้อยในดวงตาเจ้าบ่าวเลวเมื่อคืนนี้ก็หนีหายไปทั้งคืนทว่ากลับได้ยินไทเฮาตรัสว่า "ลุกขึ้นมาเถิด"อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าไทเฮารู้จักตนเองหรือไม่ เธอลุกไปยืนด้านข้างพร้อมก้มศรีษะต่ำเย่จิ่งอวี้กับไทเฮาเข้าไปในห้องหนังสือแล้วไทเฮานั่งลงบนเก้าอี้ หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบเบาๆ แล้วตรัสว่า "ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทสั่งให้คนขุดถอนต้นไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียง และปลูกเมล็ดข้าวสาลีอะไรสักอย่าง ข้าวสาลีคืออะไรหรือ?""สิ่งนี้เป็นของที่มาจากฮว๋าเซี่ย สามารถโม่เป็นอาหารที่มีลักษณะสีขาวละเอียด"เย่จิ่งอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็พูดต่อว่า "ตอนนี้ปัญหาภัยแล้งยังมิได้รับการแก้ไข เมล็ดพันธ์ุสำหรับปีหน้านั้นก็เป็นปัญหา หากเมล็ดพันธ์ุในสวนอวิ๋นเซียงสามารถเพาะปลูกได้สำเร็จ จะต้องมีเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีให้เก็บจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็นับว่ามีความหวังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหนทาง"ไทเฮายิ้มเบาๆ แล้วตรัสว่า "ฝ่าบาททรง
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี